มู่นวลนวลไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดตลกตรงไหน อย่างไรก็ตามอยู่ๆซือเฉิงยวี่ก็หัวเราะออกมา
คนในวงการบันเทิงที่ประสบความสำเร็จอย่างซือเฉิงยวี่ ไปที่ไหนก็ถูกปาปารัสซี่ตามถ่ายตลอด จริงๆแล้ว
มู่นวลนวลก็ไม่อยากจะเจอหน้าเขาเท่าไหร่ เพราะกลัวที่จะถูกถ่ายติดไปด้วย
อย่างไรก็ตามซือเฉิงยวี่เป็นคนที่ความจำดีมาก แค่เห็นเธอจากด้านหลังก็จำได้แล้ว แถมยังเป็นฝ่ายทักเธอก่อนด้วย
ถ้าเธอถูกปาปารัสซี่ถ่ายภาพเธอจะต้องตกเป็นข่าวพาดหัวอีกครั้งแน่นอน
เธอคิดชื่อพาดหัวข่าวออกแล้วด้วยซ้ำ
ตัวอย่างเช่น [สะใภ้ตระกูลโม่แอบนัดพบกับคนในวงการอย่างลับๆ] หรืออะไรสักอย่าง
แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
ดังนั้นมู่นวลนวลจึงไม่ได้พูดอะไรกับซือเฉิงยวี่มากนัก เธอยิ้มอย่างสุภาพที่สุด: “ฉันมีอะไรต้องทำขอตัวก่อนนะคะ”
“ไว้เจอกันนะ” ซือเฉิงยวี่กระพริบตา และท่าทีของเขายังคงอ่อนโยน
สถานการณ์นี้ทำให้มู่นวลนวลทำตัวไม่ถูก และออกไปจากตรงนั้นอย่างเร่งรีบ
ซือเฉิงยวี่หันไปมองมู่นวลนวลเดินจากไปจนพ้นสายตา ถึงกลับมาเดินไปข้างหน้าต่อ
อยู่ๆนั้นผู้จัดการที่อยู่ข้างหลังเขาก็พูดว่า: “พี่เฉิงยวี่ ผู้หญิงคนนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณชายโม่รึเปล่า วันนั้นเหมือนผมเห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกันที่จินติง”
“จริงเหรอ ฉันก็ไม่รู้” ซือเฉิงยวี่เดินไปข้างหน้าโดยที่ศีรษะของเขาก้มลง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปอย่างเห็นได้ชัด เขาซ่อนความรู้สึกไว้ลึกๆ
ซือเฉิงยวี่มาที่นี่ในวันนี้ จุดประสงค์ของเขาก็เพื่อเตรียมตัวสำหรับภาพยนตร์เรื่องต่อไป
หนังเรื่องใหม่ที่เขาจะถ่ายเป็นแนวดราม่าระทึกขวัญและในเรื่อง เขาแสดงเป็นนักจิตวิทยา ดังนั้นวันนี้เขาจึงตั้งใจไปที่คลินิกจิตวิทยาเพื่อสัมผัสความรู้สึกสักหน่อย
หลังจากทั้งสองคนเดินเข้าไป ที่ด้านหลังโมม่ถิงเซียวและชือเย่ปรากฏตัวที่ทางเดิน
โม่ถิงเซียวมองเห็นเหตุการณ์ที่ซือเฉิงยวี่และมู่นวลนวลคุยกันอยู่ก่อนหน้านี้
ชือเย่มองไปที่โม่ถิงเซียว และเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พูด
ตารางงานของซือเฉิงยวี่แน่นมาก ดังนั้นเขาอยู่กับนักจิตวิทยาไม่นานก็ออกมาแล้ว
ทันทีที่เขาออกมาเขาเห็นโม่ถิงเซียวยืนอยู่ตรงทางเดิน
เขาประหลาดใจ: “ถิงเซียว? นายก็มาที่นี่ด้วยหรอ?”
หลังจากพูดจบเขาก็เหมือนจะนึกอะไรออก“ คุณกับมู่นวลนวลมาด้วยกันสินะ”
โม่ถิงเซียวไม่พูดอะไร ยกมือขึ้นและส่งสัญญาณให้ชือเย่เดินออกไป
ในตอนที่ชือเย่เดินออกไป ผู้จัดการของซือเฉิงยวี่ก็เดินออกไปอย่างรู้สถานการณ์
ทำให้เหลือเพียงแค่พวกสองคนในทางเดิน
สีหน้าของโม่ถิงเซียวเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็ยังแตกต่างจากสีหน้าที่ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้า
เขาจ้องมองไปที่ซือเฉิงยวี่: “พี่ชาย ก่อนนี้ผมก็บอกคุณก่อนแล้วว่าเธอคือมู่นวลนวล”
“ ฉันรู้ว่าเธอชื่อมู่นวลนวลและชื่อของเธอก็น่ารักดี” รอยยิ้มของซือเฉิงยวี่ยังคงเหมือนเดิมและอ่อนโยนมาก
โม่ถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าเขากำลังตัดสินใจบางอย่าง น้ำเสียงเรียบๆของเขาแต่ฟังดูหนักแน่น: “มู่นวลนวลหน้าตาคล้ายกับชิงหนิงมาก แต่เธอไม่ใช่ชิงหนิงหรอกนะ”
ใบหน้าที่อ่อนโยนของซือเฉิงยวี่หายไปในพริบตา เมื่อเขาลืมตาขึ้นและหลังจากนั้นก็พูดเสียงดังว่า “หุบปาก!”
โม่ถิงเซียวเงียบลงและหยุดพูด
หลังจากนั้นไม่นานซือเฉิงยวี่ก็สงบลงและใบหน้าของเขากลับมาอ่อนโยนตามปกติ
“ถิงเซียว ฉันแค่บังเอิญพบกับมู่นวลนวลแค่นั้น” หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็มองไปที่โม่ถิงเซียวอย่างสังเกต: “นายดูค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับเธอนะ”
โม่ถิงเซียวเหล่ตาเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลง “เธอเป็นภรรยาของผม”
“ทำไมนายถึงใช้ชื่อน้องชายของฉันในการโกหกมู่นวลนวลล่ะ” น้ำเสียงของซือเฉิงยวี่ฟังดูเหมือนคำถามสบาย ๆ แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา: “ถ้าเสี่ยวเฉินรู้เข้า เขาคงจะต้องคิดเงินค่ายืมชื่อของเขาจากคุณแน่”
โม่ถิงเซียวเหลือบมองเขาอย่างนิ่งๆน้ำเสียงของเขาลดลงเล็กน้อย: “พี่ชาย ชิงหนิงจากไปนานแล้ว คุณก็ควรที่จะเริ่มเดินออกมาได้แล้วนะ”
หลังจากพูดจบเขาก็จากไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของซือเฉิงยวี่
…
มู่นวลนวลหลังออกมาจากห้องจิตบำบัด ในใจเธอก็คิดถึงแต่เรื่องของโม่ถิงเซียว และเดินช้าๆ
บี๊บ –
เสียงแตรรถดังขึ้นที่ข้างหลังของเธอ
ทำไมคนสมัยนี้ถึงได้ใจกล้าหน้าด้านนัก ทั้งที่เธอก็เดินบนทางม้าลายแล้ว ยังจะบีบแตรเพื่อให้เธอหลีกทางให้อีก
เธอหันหน้าไปโดยไม่สบอารมณ์และรถสีดำก็หยุดอยู่ข้างหลังเธอพอดี ที่หน้าต่างรถปรากฎใบหน้าที่หล่อเหลาของ “โม่เจียเฉิน” อยู่
โม่เจียเฉินหันหน้ามองมาที่เธอ ด้วยสีหน้าเซ็งๆ “ขึ้นรถ”
ทำไมเขาก็มาที่นี่?
แม้ว่าเธอจะงงๆ แต่การกระทำของเธอก็ดูไม่ได้สงสัยอะไรนัก และยังเปิดประตูเข้าไปในรถ
ก่อนที่เธอจะพูดอะไรโม่ถิงเซียวก็พูดออกมาก่อน: “อย่าถามฉันด้วยคำถามไร้สาระที่ว่า ‘ทำไมฉันถึงมาที่นี่?’”
มู่นวลนวลยังไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ถูกพูดดักไว้แล้ว
ง่ายๆก็คือไม่ต้องพูดอะไรสินะ
โม่ถิงเซียวหันศีรษะและมองไปที่เธอ เห็นเธอดูครุ่นคิด เขาก็แอบอมยิ้มออกมา แต่ไม่มีรอยยิ้มในน้ำเสียงของเขา: “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
มู่นวลนวลหันหน้ากลับมาและยิ้มอย่างเคร่งขรึม“ ฉันไม่อยากตอบคำถามที่ไม่มีประโยชน์อะไรแบบนี้”
ชือเย่ที่ขับรถอยู่ข้างหน้า ที่ได้ฟังบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
แต่ไม่นานหลังจากที่มองเห็นโม่ถิงเซียวชำเลืองมองเขาจากกระจกมองหลังอย่างเย็นชาเขาก็แทบจะปิดปากลงทันที
มู่นวลนวลที่เพิ่งขึ้นรถและไม่ทันสังเกตว่าชือเย่เป็นคนขับ: “ชือเย่ คุณชายของนายวันนี้ไม่ได้ออกไปไหนเหรอ”
ชือเย่เหลือบมองไปที่โม่ถิงเซียวที่กำลังนั่งที่ด้านหลังอย่างเงียบ ๆ และส่ายหัว: “ไม่ครับ”
มู่นวลนวลพยักหน้า และสงสัยแล้วว่าจะทำอะไรให้โม่ถิงเซียวหลังจากกลับบ้านตอนเที่ยง
หลังจากคิดได้แล้วเธอก็เอื้อมมือไปสะกิด “โม่เจียเฉิน”
“ คุณกำลังทำอะไร?” โม่ถิงเซียวหันศีรษะไปมองเธออย่างไร้อารมณ์
มันน่ากลัวจริงๆที่ถูก “โม่เจียเฉิน” จ้องมองแบบนี้
มู่นวลนวลขยับตัวกลับ: “นายบอกกับฉันมาตรงๆดีกว่า พี่ชายของนายชอบกินอะไรกันแน่”
วันนี้มู่นวลนวลสวมเสื้อแจ็คเก็ตขนเป็ดสีขาว ผมมัดหางม้า ใบหน้ารูปไข่ที่ปราศจากเครื่องสำอางแต่ยังคงงดงามและบอบบางเธอดูเรียบง่ายไร้เดียงสาเหมือนเด็กผู้หญิงที่ยังไม่เคยเผชิญโลก
เธอมองเขาด้วยดวงตาที่สวยงามและสดใสที่เหมือนแมวของเธอ รอให้เขาตอบกลับ
โม่ถิงเซียวยื่นมือออกไปเพื่อคลายเนคไทของเขาและเสียงของเขาฟังดูแหบกว่าเดิมเล็กน้อย: “ทำไมคุณถึงต้องสนใจเขามากขนาดนั้น?”
“ฉันเป็นภรรยาของเขา ถ้าไม่ให้ฉันสนใจเขา จะให้ฉันสนใจนายหรือไง” นึกถึงสิ่งที่ “โม่เจียเฉิน” ทำกับเธอก่อนหน้านี้ มู่นวลนวลก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขา
“โม่เจียเฉิน” ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทำเป็นไม่สนใจและพูดต่อ: “ด้วยสภาพร่างกายของลูกพี่ลูกน้องของฉัน พวกคุณจึงไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนสามีภรรยาปกติได้ เขาอาจจะไม่สามารถสืบทอดตระกูลโม่ได้ด้วยซ้ำ และคุณก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ แต่ก็ยังจะดื้อดึงอยู่กับเขาต่อไป คุณมีแผนอะไรกันแน่?”
มู่นวลนวลไม่ได้ยินคำถากถางในน้ำเสียงของ “โม่เจียเฉิน” น้ำเสียงของเขาเหมือนอยากรู้อยากเห็นมากกว่า
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจที่จะอธิบายให้เขาฟัง
“แผนอะไรนะ” มู่นวลนวลครุ่นคิดสักพักแล้วพูดอย่างจริงจัง: “อาจเป็นเพราะความรับผิดชอบล่ะมั้ง แม้ว่าฉันจะถูกแม่บังคับให้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของคุณ แต่ถ้าวันนั้นฉันขัดขืน เธอก็จะพลอยรับมันไปอย่างไม่มีทางเลือก ตั้งแต่ฉันแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของคุณ ฉันก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ในการเป็นภรรยาและ … ”
มู่นวลนวลหยุดไปสักพัก และถอนหายใจ: “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผู้คนในเมืองเซี้ยงไฮ้ไม่น้อย ที่เอาเรื่องของโม่ถิงเซียวมาเป็นเรื่องพูดคุยหลังอาหารค่ำ แต่จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้นี่นา เขาก็เป็นแค่เหยื่อเท่านั้น เขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครๆ ”