โม่ถิงเซียวไม่สนใจกูจื่อหยานที่กำลังเป็นบ้าอยู่ เขาหันไปมองยังทิศทางที่มู่นวลนวลอยู่ราวกับว่าเขารับรู้ได้ และมองไปเห็นเธอขณะที่กำลังจะวิ่งหนีไปพอดี
มู่นวลนวลฝืนที่จะเดินต่อไป จึงถูกเขาเรียกให้หยุด
“มู่นวลนวล”
มู่นวลนวลหันไปมองหน้าเขา หัวเราะออกมาอย่างทื่อๆ แล้วพูดว่า “พวกนายคุยกันต่อเลย ฉันแค่เดินผ่านมา”
พูดจบ เธอก็เดินผ่านไปทางด้านข้างของเขา ไปรินน้ำในครัว
ตอนเดินออกมา โม่ถิงเซียวกับกูจื่อหยานไม่ได้คุยกันอยู่
พอกูจื่อหยานเห็นมู่นวลนวลก็หัวเราะแหะๆ “นวลนวล เซินเหลียงโทรหาเธอบ้างไหม”
“โทรมา” มู่นวลนวลเดินถือแก้วน้ำไปนั่งลงบนโซฟาที่ว่างอยู่ข้างหน้าพวกเขา
เมื่อกูจื่อหยานได้ยินดังว่า ประกายในดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา
แต่เมื่อได้ฟังประโยคถัดไปที่มู่นวลนวลพูดออกมา ประกายในดวงตาก็มอดลงทันที
“เธอพูดกับฉันว่า นายเป็นไอ้ขยะ” ขณะพูดเธอยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น ดูท่าทางแล้วเธอไม่ได้มีเจตนาไม่ดี
แต่กูจื่อหยานฟังแล้วก็รู้สึกแย่มาก
“ฉันถูกใส่ความ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับผู้หญิงสองคนนั้นเลย วันนั้นคือฉัน…….” จู่ๆกูจื่อหยานก็ชะงัก หันไปมองโม่ถิงเซียวหนึ่งที แล้วก็หุบปากลง
ทำไมโม่ถิงเซียวต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย เอาจินติ่งกับเชิ่งติ่งมาผูกอยู่ภายใต้ชื่อของเขา ทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปมั่วๆ
“วันนั้นฉันดื่มมากไป ก็เลยนอนค้างที่จินติ่งเลย แล้วก็ไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงสองคนนั้นด้วย”
“นายไปอธิบายกับเซินเหลียงเองเหอะ” มู่นวลนวลมองกูจื่อหยานอย่างเย็นชา
กูจื่อหยานกล่าวเสริมอย่างอึกอัก “แต่เธอไม่รับโทรศัพท์ฉัน”
“นายก็ไปหาเธอได้นี่ นายน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเธออยู่ที่ไหน ถ้าแม้แต่เรื่องเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้นายยังจัดการไม่ได้ งั้นต่อไปก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเธอแล้วแหละ” มู่นวลนวลตัดสินใจไม่พูดต่อ ดื่มน้ำหนึ่งคำแล้วจึงลุกขึ้นยืน
โม่ถิงเซียวที่ไม่ส่งเสียงมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ยื่นแขนมาหยิบแก้วน้ำในมือถือไปดื่ม
“อันนั้นคือที่ฉัน…….” ดื่มอยู่
มู่นวลนวลเห็นว่าเขาดื่มไปแล้ว ก็เลยกลืนคำพูดประโยคหลังลงคอ แต่ใบหูของเธอเริ่มมีสีแดงระเรื่อ
เธอไม่ได้หน้าด้านหน้าทนเหมือนโม่ถิงเซียว แถมตอนนี้ยังมีคนอื่นอยู่ด้วยอีก
แก้วมู่นวลนวลก็ไม่สนใจจะเอากลับแล้ว รีบวิ่งหนีขึ้นข้างบนไป
กูจื่อหยานมองดูเธอขึ้นชั้นบนไป หลังจากนั้นก็พูดตามที่คิดกับโม่ถิงเซียวว่า “เมื่อก่อนฉันไม่เคยคิดว่ามู่นวลนวลจะพูดได้คมกริบขนาดนี้”
ไม่รอให้โม่ถิงเซียวตอบ เขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ฝีปากการพูดแบบนี้ อีกหน่อยก็คงเทียบชั้นนายได้แล้วนะ”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ไปหาดาราตัวน้อยของนายเถอะ” โม่ถิงเซียวพูดจบก็ลุกขึ้นหวังจะขึ้นไปบนบ้าน
กูจื่อหยานกล่าว “ขออยู่กินข้าวด้วยไม่ได้หรอ”
โม่ถิงเซียวหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไสหัวไป”
เพราะได้อาศัยประโยชน์จากโม่เจียเฉิน เช้านี้เขาเลยได้กินก๋วยเตี๋ยวที่เค็มจนขมไปชามหนึ่ง
ตั้งแต่ที่มู่นวลนวลได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงว่าเขาคือโม่ถิงเซียว ก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เขา และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำกับข้าวเลย
ตัวเขายังไม่มีอะไรกิน แล้วกูจื่อหยานยังจะมาขอข้าวเขากินอีกหรอ
กูจื่อหยานไม่รู้ว่าตัวเองไปสะกิดต่อมอะไรของคุณชายโม่เข้า แต่ตอนนี้เขามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบไปสะสาง ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้
……..
โม่ถิงเซียวกลับมาถึงห้องนอน ก็เห็นมู่นวลนวลกอดคอมอยู่ที่โซฟา
เธอใส่หูฟัง ตาก็มองดูหน้าจอไม่กะพริบ ราวกับว่ากำลังดูหนังอยู่
โม่ถิงเซียวเดินไปหา เอนตัวไปมองดู ปรากฎว่าเธอกำลังดูหนังของซือเฉิงยวี่อยู่
เขาปิดหน้าจอคอมเธอลงด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
มู่นวลนวลถอดหูฟังออก ถามอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “คุณทำอะไร”
เธอเกือบจะระเบิดลง แต่เพราะรู้สึกวิตกกังวลจึงหยุดเอาไว้เสียก่อน สีหน้าที่แสดงออกมาแม้จะไม่ได้เปลี่ยนมากนัก แต่ในสายตาก็มีความโกรธแฝงเอาไว้อยู่เล็กๆ
ดูแล้วน่ารักดี
มุมปากโม่ถิงเซียวยกขึ้น มองเธอราวกับจะยิ้ม “เธอได้ยินหมดแล้วหรอ”
มู่นวลนวลแกล้งโง่ “ได้ยินอะไร”
“ข่าวของจื่อหยาน เป็นคนตระกูลมู่ซื้อสื่อทำข่าวออกมา อำนาจของจื่อหยานในวงการบันเทิงมีอยู่ไม่น้อย จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือหันเหความสนใจของฝูงชน แล้วก็ยังดึงเอามู่กรุ๊ปออกมาจากสถานการณ์ที่สาหัสที่สุดอีกด้วย”
น้ำเสียงของโม่ถิงเซียวเนิบช้า พูดอย่างใจเย็น แต่เขาก็ตรึงสายตาไว้ที่มู่นวลนวลอย่างชิดใกล้ สังเกตดูการตอบสนองของเธอ
“ใครเป็นคนทำกัน” มู่นวลนวลคิดแล้ว ก็เอ่ยถึง “มู่หวันฉีหรอ”
คนในตระกูลมู่ที่เป็นบ้า นอกจากมู่หวันฉีแล้ว เธอก็นึกถึงใครไม่ออกอีก
แม้ว่ากูจื่อหยานจะเป็นคนในอุตสาหกรรมบันเทิง แต่ว่าเชิ่งติ่งมีเดียนั้นถือได้ว่าเป็นมังกรตัวใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิงเลยก็ว่าได้ ยิ่งใหญ่กว่ามู่กรุ๊ปตั้งไม่รู้กี่เท่า
คนแบบเขา ถูกคนอื่นลากลงมาคลุกฝุ่น หรือใช้เป็นโล่บังกระสุน มีหรือจะปล่อยมู่กรุ๊ปรอดไปได้ง่ายๆ
เธอได้ยินที่กูจื่อหยานพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว
โม่ถิงเซียวปิดปากเงียบไม่ตอบว่าที่มู่นวลนวลคิดถูกหรือไม่ถูก และพูดอย่างจริงจังว่า “เธออยากให้ฉันช่วยมู่กรุ๊ปให้พ้นจากวิกฤตินี้ไหม”
“คุณหมายความว่าอย่างไร” มู่นวลนวลรู้สึกว่ามีอะไรแฝงอยู่ในคำพูดเขา
“ถ้าเธออยากให้ฉันช่วย ฉันก็จะช่วย ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันยื่นมือเข้าไปช่วย ฉันก็จะไม่ยุ่ง” โม่ถิงเซียวยิ้มออกมาบางๆ สายตาสื่อเห็นได้อย่างเด่นชัดว่ากำลังให้ท้ายเธออยู่
มู่นวลนวลรู้สึกมาตลอดว่า รูปร่างหน้าตาของโม่ถิงเซียวดูดีโดดเด่นเกินธรรมดา น้อยคนนักในวงการบันเทิงที่จะดูดีกว่าเขา และถึงมี คุณสมบัติของคนนั้นก็ไม่มีทางที่จะดีเหนือไปกว่าโม่ถิงเซียวได้
เธอถูกเขามองด้วยสายตาส่งเสริมให้ท้าย มู่นวลนวลจึงใจลอยไปชั่วขณะหนึ่ง
นี่เขากำลังเริ่มยั่วยุเธออีกแล้วอย่างงั้นหรอ
เพียงแค่เธอเอ่ยปาก เขาก็จะทำจริงตามนั้นหรือ
ทั้งสองคนต่างก็สบตามองกัน ไม่มีใครเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดออกมาก่อน และไม่มีฝ่ายใดถอนสายตาออกจากกัน
จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก “นายน้อย นายหญิง ได้เวลาทานอาหารแล้วครับ”
มู่นวลนวลจึงพึ่งมีสติกลับคืนมา กัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันอยากให้คุณช่วยมู่กรุ๊ป”
“ได้”
โม่ถิงเซียวก็ตอบเธออย่างชัดเจน ไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากช่วยมู่กรุ๊ปจากใจจริง เธอเพียงแค่ไม่เชื่อในสิ่งที่โม่ถิงเซียวพูดออกมา
เขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการช่วยมู่กรุ๊ปเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก และรังแต่จะสร้างความยุ่งยากให้เสียมากกว่า
คนฉลาดเขาไม่ยอมทำกันหรอก
…….
เมื่อโม่ถิงเซียวตกปากรับคำว่าจะช่วยมู่กรุ๊ป ก็เริ่มเคลื่อนไหวในทันที
เริ่มจากลบเนื้อหาด้านลบทั้งหมดเกี่ยวกับมู่กรุ๊ปบนอินเทอร์เน็ตไม่ให้หลงเหลืออยู่เลย บริษัทที่คิดจะยกเลิกสัญญากับมู่กรุ๊ปก็ค่อยๆ ทยอยกันเปลี่ยนใจกลับมา
ผ่านไปไม่นาน สถานการณ์ของมู่กรุ๊ปก็กลับคืนเป็นปกติ
ถึงขนาดที่ว่ามีคนมาหาถึงที่บริษัทเพื่อเสนอเงินทุนหมุนเวียนให้
มู่นวลนวลเห็นทุกอย่างผ่านสายตาของเธอ จิตใจรู้สึกสับสน
เธอคิดว่าโม่ถิงเซียวเพียงแค่พูดไปอย่างงั้น ไม่คิดว่าเขาจะลงมือทำจริง แล้วยังช่วยซะจนถึงที่สุดขนาดนี้
บางครั้ง บนอินเทอร์เน็ตจะมีข้อความถกเถียงกันเรื่องเบื้องหลังโรงงานมู่กรุ๊ปโผล่ขึ้นมา แต่กระทู้นั้นก็จะถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็ว
พวกสื่อกับผู้มีอิทธิพลบนเวยป๋อต่างก็พากันลืมเรื่องนี้ไปหมดทั้งสิ้น และไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาพูดอีก
และเซินเหลียงที่โปรโมตหนังอยู่ต่างประเทศก็ได้กลับมาที่เซี่ยงไฮ้แล้ว มู่นวลนวลที่เงินเดือนพึ่งออก เลยนัดเธอออกมาทานข้าวด้วยกัน
ตอนเลิกงาน คนที่มารับมู่นวลนวลกลับไม่ใช่ซือเย่ แต่เป็นพนักงานขับรถคนอื่น
มู่นวลนวลพอขึ้นรถก็พูดชื่อร้านอาหารขึ้นมา “ไปส่งฉันที่ร้านอาหารนี้ก็พอแล้ว แล้วก็ไม่ต้องอยู่รอรับฉัน ฉันจะกลับเอง”
โม่เจียเฉินที่ปีนี้มีรายรับจากสมุดการบ้านอู้ฟู่ร่ำรวย ก็หันมาถามเธอ “เธอจะไปไหน”
“กินข้าวกับเพื่อน”
“ผมก็จะไปด้วย”
มู่นวลนวลไม่อยากพาเขาไปด้วย แต่จนแล้วจนรอด สุดท้ายก็บอกปัดไม่ได้ จึงพาโม่เจียเฉินไปด้วย
พอเซินเหลียงเห็นโม่เจียเฉินก็ถามมู่นวลนวล “นี่เด็กบ้านไหนเนี่ย ฉันไม่รู้เลยว่าลูกญาติบ้านไหนของตระกูลมู่จะมียีนส์ที่ดีแบบนี้”
โม่เจียเฉินเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม ผมหยักศก ผิวขาวนวล ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา พอยิ้มทีก็น่ารักจนโลกละลายได้
โม่เจียเฉินเริ่มแนะนำตัวเองอย่างคล่องแคล่ว “ผมชื่อโม่เจียเฉินครับ”
“พรูด!” เซินเหลียงพ่นน้ำชาที่ตนพึ่งจะยกขึ้นดื่มออกมา