สีหน้าของโม่ถิงเซียวยังคงเคร่งขรึม และเดินเข้ามาโดยไม่พูดไม่จา
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปาก และโยนหมายศาลลงบนโต๊ะข้างๆ:“งั้นหลังจากนี้ ฉันก็ต้องเป็นนกที่อยู่ในกรงเพื่อรอวันขึ้นศาล เป็นจำเลยที่ยอมให้คนในตระกูลโม่ของพวกคุณใส่ร้ายป้ายสียังไงก็ได้ ใช่ไหม?”
โม่ถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยลมหายใจที่เยือกเย็นและเต็มไปด้วยแรงกดดัน
จากนั้นเขาก็ค่อยๆพูดว่า:“ไม่หรอก”
มู่นวลนวลตะลึงไปชั่วขณะ
โม่ถิงเซียวจ้องมองเธอและพูดซ้ำ:“จะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น”
มู่นวลนวลยิ้ม:“แล้วแต่คุณจะพูด”
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เชื่อคำพูดของโม่ถิงเซียว
เรื่องมาถึงตอนนี้แล้วเธอจะไม่เป็นคนโง่ที่เชื่อในตัวโม่ถิงเซียวอีก
เมื่อคืนเธอรู้สึกแปลกๆที่จู่ๆโม่ถิงเซียวก็กลับมานอนบ้าน
ที่แท้วันนี้ก็มีหมายศาลมาส่ง
……
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ โม่ถิงเซียวก็ออกไป
อาจจะไปที่บริษัทหรือไม่ก็ไปโรงพยาบาล
มู่นวลนวลยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่างชั้นสอง และมองดูโม่ถิงเซียวขึ้นรถจากไป จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเซินเหลียง
“เสี่ยวเหลียง ฉันมีเรื่องจะให้เธอช่วย”
“เรื่องอะไร เธอว่ามาเลย” เมื่อเธอขอร้องมาเซินเหลียงก็ตอบสนอง
แต่มู่นวลนวลก็ไม่ได้เรียกร้องกับเซินเหลียงจนมากเกินไป
“ช่วยหานักข่าวหรือปาปารัสซี่ให้มาที่คฤหาสน์ของโม่ถิงเซียว”
เมื่อเซินเหลียงได้ยินว่าเธอต้องการหานักข่าว ใจของเธอก็แน่นและน้ำเสียงของเขาก็เริ่มจริงจัง:“นวลนวล เธอจะทำอะไร?”
“ฉันมีแผนของตัวเอง” มู่นวลนวลหยุดชะงักแล้วพูดว่า:“เธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันรู้จักหนักเบา”
เมื่อเซินเหลียงได้ยินเธอพูดอย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
หลังจากวางสายแล้ว มู่นวลนวลก็นั่งนิ่งๆสักพัก ก่อนที่จะเริ่มโยนข้าวของในห้อง
เธอทุบข้าวของในห้องจนแตก
การที่เธอทุบข้าวของดึงดูดคนรับใช้ให้มา
บนพื้นในห้องเต็มไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจาย ในมือของมู่นวลนวลถือโคมไฟและกำลังจะฟาดลงที่พื้น
สีหน้าที่เย็นชาของเธอแสดงถึงความแน่วแน่ ทำให้คนรับใช้นึกถึงโม่ถิงเซียว
มู่นวลนวลฟาดโคมไฟในมือลงกับพื้น
ปัง——
โคมไฟแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
หลังจากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น ในดวงตาของเธอว่างเปล่า และพูดอย่างเย็นชาว่า:“ไม่ต้องเข้ามา”
เมื่อคนรับใช้ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่กล้าเข้าไป ได้แต่มองมู่นวลนวลด้วยความประหม่า และกลัวว่าเธอจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บ
ถ้าคุณหญิงเกิดพลาดพลั้งบาดเจ็บ คนรับใช่เหล่านั้นก็ต้องมารับผิดชอบ
คนรับใช้รีบเกลี่ยกล่อมมุ่นวลนวล:“คุณหญิง คุณใจเย็นๆ พวกเราไม่เข้าไป”
ในขณะนี้ป้าหูก็เดินมาหลังจากได้ยินเสียง
เมื่อเห็นความยุ่งเหยิงในห้องป้าหูก็ถึงกับผงะ:“คุณหญิง คุณเป็นอะไร?มีเรื่องอะไรฉันจะโทรไปหาคุณชายให้เขากลับมาแล้วค่อยคุยกัน?”
“ไม่ต้องโทรหาโม่ถิเซียว” มู่นวลนวลก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และเดินหลบเศษข้าวของ:“พวกเธอไม่ต้องมาสนใจฉัน แล้วก็ห้ามโทรหาโม่ถิงเซียว ตอนนี้ฉันหงุดหงิดมาก แล้วก็ไม่อยากเห็นพวกเธอ ออกไปให้หมด”
ป้าหูส่งเสียงเรียกด้วยความลำบากใจ:“คุณนาย”
มู่นวลนวลขมวดคิ้วและมองเธอ:“ป้าก็ออกไปด้วย!”
ป้าหูไม่เคยเห็นมู่นวลนวลดหยาบเถื่อนและไม่มีเหตุผลอย่างนี้มาก่อน
เธอมาอยู่ที่คฤหาสน์ตั้งนานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นมู่นวลนวลโกรธมากขนาดนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดในช่วงนี้ ป้าหูก็เข้าใจความคิดของมู่นวลนวล
ป้าหูหันไปพูดกับคนรับใช้ว่า:“ออกไปให้หมด”
ป้าหูพาคนรับใช้เหล่านั้นออกจากคฤหาสน์ ไปที่ลานบ้าน
อากาศยังคงหนาวอยู่ มู่นวลนวลยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่างชั้นสอง เธอเห็นคนรบใช้หนาวสั่นอยู่ที่ลานบ้าน และเห็นบอดี้การ์ดโทรหาโม่ถิงเซียว
เธอมีเวลาไม่มาก
เธอไปหาเสื้อกันหนาวในตู้เสื้อผ้าที่หนาๆมาเปลี่ยน และยังใส่หมวกแก๊ป เธอใส่โน้ตบุ๊ค สมุดทะเบียนบ้าน พาสปอร์ตและของอื่นๆลงในกระเป๋าเป้ จากนั้นก็สะพายกระเป๋าลงไปชั้นล่าง
เธอสะพายกระเป๋าไปที่ห้องครัว
มีห้องเอนกประสงค์อยู่ด้านหลังของห้องครัว และในห้องเอนกประสงค์มีประตูหลัง คนรับใช้ใช้ประตูนี้ในการขนวัตถุดิบในการทำอาหาร
แต่ประตูหลังนี้ก็มีบอดี้การ์ดคอยเฝ้าอยู่เช่นกัน
มู่นวลนวลวางกระเป๋าไว้ในห้องเอนกประสงค์ เธอเจอขวดน้ำมันเบนซินในห้องเอนกประสงค์ หลังจากนั้นเธอก็ล็อกประตูหลังแล้วเดินไปที่ห้องโถง เธอปิดประตูห้องโถงและล็อกด้านในไว้
แม้ว่ามู่นวลนวลจะไม่รู้ว่าโม่ถิงเซียวให้คนวางขวดน้ำมันเบนซินไว้ทำไม แต่ตอนนี้มันมีประโยชน์มากสำหรับเธอ
มู่นวลนวลถือน้ำมันเบนซินขึ้นชั้นสอง แล้วค่อยๆเริ่มเทลงจากทางเดินทีละน้อย และสุดท้ายเธอก็กลับมาที่ห้องโถง
เธอจุดไฟแช็กแล้วเหลือบมองไปทางประตู
บอดี้การ์ดที่นอกประตูรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเคาะประตูอยู่สักพัก
“คุณหญิง!คุณหญิงคุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
มู่นวลนวลไม่ลังเล เธอโยนไฟแช็กลงบนโซฟาที่ราดน้ำมันเบนซินไว้
เสียงโครมครามไหม้ไปถึงชั้นสอง และไฟก็แรงมาก
มู่นวลนวลรีบกลับไปที่ห้องเอนกประสงค์ที่อยู่หลังห้องครัว พบกระเป๋าของเธออยู่ด้านหลังและซ่อนอยู่หลังประตู เธอเจอกระเป่าเป้ของเธอที่ซ่อนอยู่หลังประตู
เนื่องจากไฟจากโซฟาในห้องขับแขก และลามไปยังทางเดินบนชั้นสอง ตำแหน่งของไฟอยู่ตรงกลางคฤหาสน์ ดังนั้นหลังจากที่เวลาผ่านไปเจ็ดถึงแปดนาที ไฟก็ร้อนมาก บอดี้การ์ดเริ่มทุบประตู
มีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ที่ประตูหลังไม่มากนัก พวกเขารีบทุบประตูอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็รีบเข้าไป
ช่วงนี้เรื่องของเจ้าสัวโม่ได้ถูกแพร่กระจายทางอินเทอร์เน็ต คนรับใช้และบอดี้การ์ดในคฤหาสน์ก็ทราบเรื่องนี้
และมู่นวลนวลก็ไม่ใช่เด็กสาวที่อายุยี่สิบต้นๆ เธออดไม่ได้ที่จะอยากฆ่าตัวตายภายใต้ความกดดันมากมายเช่นนี้ ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่ามู่นวลนวลเผาคฤหาสน์เพื่อที่จะฆ่าตัวตาย
พวกเขาทุบประตูให้เปิดออก และรีบเข้าไปข้างใน
มู่นวลนวลเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม และพวกเขาก็ไม่ทันได้สังเกต เธอจึงแอบวิ่งออกไป
คฤหาสน์ของโม่ถิงเซียวตั้งอยู่กลางหุบเขา มู่นวลนวลสงสัยว่าตอนที่เขาสร้างคฤหาสน์นี้ และซื้อที่ดินไว้ทั้งหมดนี้ไว้ เพราะไม่อยากให้มีคฤหาสน์อื่นมาอยู่ใกล้ๆ
นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกในการหลบหนีของมู่นวลนวลด้วย
เธอซ่อนตัวอยู่ในป่าและเฝ้าดูอย่างเย็นชา ขณะที่บอดี้การ์ดและคนรับใช้รีบเข้าไปในคฤหาสน์ แต่เนื่องจากไฟที่ร้อนเกินไป ทุกคนจึงวิ่งออกมาและคฤหาสน์ก็ถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟ
ในตอนนี้ก็มีรถสองคันมาจอดอยู่ที่ทางเข้าคฤหาสน์
นักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ประตูคฤหาสน์และเริ่มถ่ายภาพอย่างเมามัน และนักข่าวก็ถามคำถามกับคนรับใช้
เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นชั่วขณะ
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปาก และหันหลังเดนลงภูเขาไปตามทางเล็กๆ
เป้าหมายของเธอสำเร็จแล้ว
ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เธออดทนอดกลั้นกับตระกูลมู่มามากพอแล้ว
เธออดทนอดกลั้นกับตระกูลโม่ เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดของเธอที่มีต่อเสี่ยวชูเหอ
แต่หลังจากเกิดเรื่องของเจ้าสัวโม่ เธอก็อดทนจนมาถึงตอนนี้เพราะเธอเชื่อใจโม่ถิงเซียว
แต่พวกเขาทั้งหมดทำให้เธอผิดหวัง
บางทีโม่ถิงเซียวอาจจะไม่ได้โกหก เขาจะไม่ปล่อยให้เธอตกเป็นจำเลยให้คนในตระกูลโม่ใส่ร้ายป้ายสี
และเธอไม่อยากจะใช้ทัศนคติที่ต่ำต้อยเช่นนี้ เพื่อกำหนดโชคชะตาของผู้ชายคนหนึ่ง