มู่นวลนวลงุนงงอยู่สักพัก และเดินกลับไปที่ฉินซุ่ยซาน
เวลานี้เป็นเวลาอาหาร ในร้านอาหารมีคนเต็มไปหมด
มู่นวลนวลกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร โดยเธอนั่งหันหน้าไปทางห้องรับรองพิเศษที่โม่ถิงเซียวเดินเข้าไป
ก่อนหน้านี้โม่ถิงเซียวบอกว่ามาทานข้าวข้างนอก เธอยังคิดว่าเข้ามาด้วยกันกับกูจื่อหยาน ที่แท้ก็เพิ่งมาถึง
แต่ถ้าโม่ถิงเซียวนัดทานข้าวกับกูจื่อหยาน กู่จื่อหยานต้องมาถึงก่อนเวลาอย่างแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นโม่ถิงเซียวนัดกับใคร?
หลังจากนั้นไม่นานคนคุ้นเคยก็เดินเข้ามาในร้านอาหาร มู่นวลนวลมองตามเขา และเห็นว่าเดินเข้าไปในห้องรับรองพิเศษที่โม่ถิงเซียวเข้าไปเมื่อกี้ สีหน้าของเธอก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ห้องโถงกับห้องรับรองพิเศษแยกออกเป็นสองส่วน แต่ห้องรับรองพิเศษจะสงบเงียบกว่า
“เธอดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอกำลังมองใครอยู่?” ฉินซุ่ยซานที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอก็หันมองตามสายตาของเธอ และเห็นโม่ชิงเฟิงเดินเข้าไปในห้องรับรองพิเศษพอดี
สีหน้าของฉินซุ่ยซานดูตื่นเต้น และพูดกระซิบกับเธอว่า:“นั่นไม่ใช่โม่ชิงเฟิงหรอ?อดีตพ่อสามีของเธอ!”
“ใช่” มู่นวลนวลตอบ แล้วก็คิดในใจ
โม่ถิงเซียวนัดทานข้าวกับโม่ชิงเฟิง?
ตอนนี้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน ทำไมถึงนัดทานข้าวกันตามลำพังได้ล่ะ?
หรือว่าเรื่อง “ข่าวลือ” เป็นโม่ถิงเซียวที่ให้คนปล่อยข่าวออกไป ดังนั้นโม่ชิงเฟิงจึงต้องมาเจรจากับโม่ถิงเซียว?
“เธอรู้ไหม?ตอนนี้ฉันอยากจะบอกนักข่าวมากๆ” ฉินซุ่ยซานพูดจบแล้วก็ส่ายหัว:“แต่ต่อให้ฉันบอกนักข่าว แต่ก็ไม่มีใครกล้าสัมภาษณ์พ่ออดีตสามีของเธอ”
“พ่ออดีตสามีอะไร เธออย่าพูดตะกุกตะกักอย่างนี้สิ” ที่สำคัญคือฟังแล้วไม่สบอารมณ์
ฉินซุ่ยซานนิ่งสงบ และมองมู่นวลนวลอย่างไม่กระพริบตา
“มีอะไร?” มู่นวลนวลผงะไปชั่วขณะ:“ถ้าชอบเรียกแบบนั้นจริงๆก็ไม่เป็นไร……”
จู่ๆฉินซุ่ยซานก็พูดอย่างสบายๆว่า:“พูดตามตรงนะ อันที่จริงฉันก็ไม่เชื่อว่าเธอกับโม่ถิงเซียวหย่ากันแล้วจริงๆ”
“ห่ะ?” มู่นวลนวลกระพริบตา:“งั้นหรอ?ดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักโม่ถิงเซียวดีเลยนะ……”
“แค่รู้สึก!แค่รู้สึกเธอเข้าใจไหม?ก็แค่บางคนที่ถูกตาต้องใจ แต่ใช่อยากจะเป็นคนเลวเป็นมือที่สามแบบนั้น และดูเหมือนโม่ถิงเซียวจะเป็นคนที่รักเดียวใจเดียวไม่เปลี่ยนแปลง ฉันแค่สงสัยว่าพวกเธอไม่ได้หย่ากัน แต่ว่า……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉินซุ่ยซานก็หยุดชะงัก
มู่นวลนวลถูกฉินซุ่ยซานมองจนรู้สึกอึดอัด เธอเลิกคิ้วและถามว่า:“แต่ว่าอะไร?”
ฉินซุ่ยซานค่อยๆพูดทีละคำ:“เธอทิ้งเขา!”
“อะแฮ่ม……” มู่นวลนวลสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปในปาก:“ตอนที่เธอพูดอย่าเว้นวรรคนานได้ไหม?”
ฉินซุ่ยซานเบิกตากว้าง:“เธอทิ้งเขาจริงๆหรอ?”
เธอก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น หรือว่าเธอเดาถูก?
“พรุ่งนี้เธอยังต้องนั่งเครื่องบิน กินให้เสร็จแล้วรับกลับไปพักผ่อนเถอะ ถ้ายังเผือกต่อ เธอก็ต้องไปเป็นปาปารัสซี่แล้วล่ะ……”
“ถ้าฉันเป็นปาปารัสซี่ ฉันก็จะขุดข่าวของเธอทุกวันเลย!”
“……”
หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารเสร็จแล้ว ฉินซุ่ยซานก็ถูกผู้ช่วยของเธอโทรมาตามกลับไป
มู่นวลนวลจ้องมองไปทางห้องรับรองพิเศษที่โม่ถิงเซียวอยู่ แต่ก็ไม่เห็นเขาออกมา
มู่นวลนวลลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ตัดสินใจที่จะไปดู
“หนึ่ง สอง สาม……”
ก่อนหน้านี้ที่มู่นวลนวลเดินตามหลังโม่ถิงเซียวมาเธอนับไว้ มันเป็นหกรับรองพิเศษห้องที่หก
เธอยืนอยู่หน้าห้องรับรองพิเศษ และพิงผนังข้างวงกบประตู ในขณะที่เธอกำลังจะแนบหูฟัง เธอก็เห็นบริกรเดินมา เธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและแสร้งทำเป็นว่าคุยโทรศัพท์
ในขณะที่เธอแสร้งทำเป็นว่าคุยโทรศัพท์ก็สังเกตว่ามีคนเดินมาหรือไม่ไปด้วย
เธอรอให้ทางเดินไม่มีคน จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ และในขณะที่กำลังแนบหูฟัง เธอก็ได้ยินเสียง “เอี๊ยด” ประตูถูกเปิดออกจากข้างใน
มู่นวลนวลตัวแข็งทื่อและยังไม่เห็นชัดเจนว่าเป็นใคร เธอรู้สึกว่ามีมือมาจับที่ไหล่ของเธอ จากนั้นเธอก็ถูกผลักออกไปด้านข้าง
“ปัง” เสียงประตูห้องรับรองพิเศษถูกปิด
เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นโม่ถิงเซียว สีหน้าของเขาเคร่งขรึม
มู่นวลนวลรู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดวางตัวไม่ถูก เธอคงต้องพูดอะไรสักอย่าง
เธอถามด้วยความรู้สึกผิด:“คุณเป็นอะไร?”
โม่ถิงเซียวไม่พูดไม่จา เขาจูงมือเธอเดินไปที่ทางเข้าลิฟต์ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
เขาเดินอย่างรวดเร็ว มู่นวลนวลตามเขาไม่ทันจนแทบจะถูกลากไป
สีหน้าของโม่ถิงเซียวไม่ค่อยสู้ดีนัก และตัวของเขาก็มีกลิ่นอายที่เป็นอันตราย มู่นวลนวลไม่กล้าพูดอพไร
โม่ถิงเซียวพามู่นวลนวลตรงไปที่ห้องพิเศษของเขาในร้อนอาหารจินติ่ง จากนั้นก็ปล่อยมือเธอ
มู่นวลนวลลูบข้อมือของตัวเองที่ถูกบีบจนเจ็บ เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินโม่ถิงเซียวถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม:“ทำไมเธอถึงไม่อยู่ตรงนั้น?”
มู่นวลนวลรีบพูดว่า:“ฉันมาทานข้าวกับฉินซุ่ยซาน”
โม่ถิงเซียวสีหน้าเย็นชา:“ฉันถามเธอว่าทำไมถึงไปอยู่หน้าห้องรับรองพิเศษเธอคิดจะทำอะไร?”
“ฉันก็เห็นคุณกับพ่อคุณเข้าไปในห้องรับลองพิเศษทีละคน ก็เลย……”
มู่นวลนวลพูดว่า “พ่อคุณ” สองคำนี้ก็ทำให้โม่ถิงเซียวยิ่งโกรธ เขาพูดขัดจังหวะเธอด้วยสีหน้าที่ดุร้าย และพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง:“พ่อคุณ?”
มู่นวลนวลรีบเปลี่ยนคำพูด:“โม่ชิงเฟิง……”
ตอนที่เธอ “แต่งงาน” กับโม่ถิงเซียวแรกๆ โม่ชิงเฟิงเคยมาพบเธอครั้งหนึ่ง
ในตอนนั้นเธอแค่คิดว่าโม่ชิงเฟิงเป็นคนที่ดูห่างเหิน ในฐานะพ่อเขาอาจมีความยากลำบากใจของตัวเอง
แต่แล้วก็มีหลายสิ่งหลายอย่างมาลบล้างความคิดในใจของเธอจนหมดสิ้น
ในแง่ของญาติพี่น้องและครอบครัว มู่นวลนวลเป็นคนที่ใจอ่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ยอมแพ้หลังจากที่ทนอยู่ในบ้านตระกูลมู่หลายปีขนาดนั้น
เรื่องที่เกี่ยวกับลูกนอกสมรสของโม่ชิงเฟิง ในมุมมองของมู่นวลนวลก็ไม่ใช่ความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ หากสิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของซือเฉิงยวี่เป็นเรื่องจริง
โม่ถิงเซียวก้มหน้ามองมู่นวลนวลที่มองเขาด้วยความกระวนกระวายใจว่าเขาจะโกรธ แววตาของเขาดูทำอะไรไม่ถูก เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่จริงจัง:“ต่อไปถ้าเจอโม่ชิงเฟิงให้เดินหลบไป”
“อ้อ” มู่นวลนวลพูดอย่างไม่ใส่ใจและถามว่า:“คุณกับเขาคุยอะไรกัน?”
“เรื่องส่วนตัวนิดหน่อย” หลังจากที่โม่ถิงเซียวพูดจบ เขาก็หันไปนั่งบนโซฟา
เขาลดสายตาลงและพับขาสองข้างเข้าหากัน ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะพูดอะไรมากนัก
เวลาผู้ชายคนนี้มีเรื่องอะไรแล้วไม่อยากจะบอกเธอก็มักจะแสดงท่าทีแบบนี้ แต่เรื่องนี้มู่นวลนวลก็พอจะเข้าใจเขา
มู่นวลนวลนั่งลงข้างๆเขา:“เรื่อง‘ข่าวลือ’เกิดอะไรขึ้น?คุณให้คนปล่อยข่าวออกไปหรอ?”
ในเมื่อเขาไม่อยากจะพูด เธอก็ทำได้เพียงแค่ถาม
“ไม่ใช่” เขาไม่ได้ให้คนปล่อยข่าวออกไป เขาเพียงแค่ส่งอีเมลไปให้นักข่าวของสื่อหนึ่งเป็นการส่วนตัวเท่านั้น