โม่ชิงเฟิงถูกโม่ถิงเซียวต่อยจนเลือดกบปากและไม่สามารถพูดอะไรได้
“แก……” เขาอ้าปากแล้วกระอักเลือดออกมา
“ถิงเซียว คุณอย่าต่อยอีกเลย เดี๋ยวเขาก็ตายหรอก……” โม่เหลียนเดินเข้ามาดึงโม่ถิงเซียว แต่ก็ถูกเขาสะบัดออกจนล้มลงไปที่พื้นอย่างแรง
โม่เหลียนเอามือลูบหน้าอกแล้วลุกขึ้นนั่ง:“ถิงเซียว ฉันรู้ว่าพวกเราคิดผิด แต่……”
จู่ๆโม่ถิงเซียวก็ปล่อยโม่ชิงเฟิงและหันหน้าไปมองเธออย่างเย็นชา เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง:“รู้ไหมว่าซือหมิงฮวนตายได้ยังไง?”
เมื่อโม่เหลียนได้ยินที่เขาพูดก็กระพริบตาด้วยความสงสัย:“เรื่องของซือหมิงฮวน……ไม่ใช่อุบัติเหตุหรอ?”
เธอหันไปมองที่โม่ชิงเฟิง:“เรื่องของหมิงฮวนคุณเป็นคนทำหรอ?”
โม่ชิงเฟิงนอนอยู่บนพื้น เขาหายใจไม่ค่อยสะดวกและไม่มีแรงที่จะตอบโม่เหลียนเลย
โม่เหลียนปิดหน้าและร้องไห้ด้วยความเสียใจ:“ฉันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายหมิงฮวน ฉันไม่เคยต้องการทำร้ายใครทั้งนั้น แต่ในปีนั้นพวกเราทำผิดเรื่องหนึ่งแล้วก็ต้องโกหกเรื่องหนึ่ง และทำผิดต่อไปเรื่อยๆแล้วก็ต้องใช้คำโกหกนับไม่ถ้วนเพื่อปัดป้อง……”
โม่ถิงเซียวไม่มีกระจิตกระใจที่จะฟังคำสารภาพของโม่เหลียนที่นี่
ในโลกนี้ความผิดบางอย่างสามารถให้อภัยได้ และมีความผิดบางอย่างที่คุณจะไม่สามารถให้อภัยได้ไปตลอดชีวิต
แม่ของเขา ชีวิตของซือเฉิงยวี่
นักโทษบางคนถูกกำหนดให้ไม่ได้รับการอภัย
โม่ถิงเซียวยืนขึ้นและเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
เขาเปิดประตูห้องใต้ดินที่มีซือเย่กับบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ข้างนอก
เมื่อเห็นโม่ถิงเซียวออกมา พวกเขาก็เรียกด้วยความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน:“คุณชาย”
“พาเขาไปหาหมอ อย่าปล่อยให้เขาตาย” โม่ถิงเซียวพูดอย่างไม่แสดงท่าทีใดๆ
ซือเย่เหลือบมองไปข้างใน:“ครับ”
ทันใดนั้นก็มีเสียง “ปัง” ดังมาจากข้างใน
โม่ถิงเซียวไม่ได้หันกลับไปมอง เขายืนอยู่ตรงข้ามเขาซือเย่อที่มองเข้าไปข้างในและพูดว่า:“คุณหญิงซือชนกำแพงเพื่อฆ่าตัวตาย”
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของโม่ถิงเซียวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาเพียงพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา:“เข้าไปดูสิว่าตายรึยัง”
ซือเย่รู้ว่าความสัมพันธ์ของโม่ถิงเซียวกับโม่เหลียนนั้นค่อนข้างดี แต่เขาไม่คิดว่าวันนี้พวกเขาจะเดินมาถึงจุดนี้
เขาเงยหน้าขึ้นมองโม่ถิงเซียว สีหน้าของโม่ถิงเซียวเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ซือเย่ใจสั่นและเดินเข้าไปดูลมหายใจของโม่เหลียน
หลังจากนั้นเขาก็กลับมายืนข้างๆโม่ถิงเซียว:“ยังหายใจอยู่ครับ”
“อย่าปล่อยให้พวกเขาตาย” โม่ถิงเซียวพูดจบแล้วก็เดินจากไป
ความตายมันง่ายเกินไปสำหรับพวกเขา
สำหรับโม่ถิงเซียวแล้วมันคือความเกียจชังที่ยากจะอธิบาย
……
โม่ถิงเซียวไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องอื่น จากนั้นก็กลับไปหามู่นวลนวลที่ห้อง
แต่เมื่อเขากลับมาที่ห้องก็พบว่ามู่นวลนวลไม่ได้อยู่ในห้อง
สีหน้าของโม่ถิงเซียวเปลี่ยนเป็นเย็นชาและพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า:“มู่นวลนวลไปไหน?”
บอดี้การ์ดรีบตอบทันที:“คุณหญิงไปเยี่ยมเจ้าสัวโม่ครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นโม่ถิงเซียวก็เดินไปที่ลานบ้านของเจ้าสัวโม่
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ อากาศค่อนข้างหนาว
เมื่อโม่ถิงเซียวเดินไปก็เห็นมู่นวลนวลกับเจ้าสัวโม่นั่งอยู่ที่ชายคา
เจ้าสัวโม่ยังคงนั่งเอียงหัวอยู่บนรถเข็นอย่างไม่มีสติสัมปชัญญะและสีหน้าไร้ความรู้สึกและจิตวิญญาณ
มู่นวลนวลนั่งอยู่ข้างๆเขาและพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ไม่รู้ว่าเจ้าสัวโม่ได้ยินหรือไม่ เขายิ้มเป็นครั้งคราว แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังยิ้มเจื่อนๆ
หลังจากที่โม่ถิงเซียวเห็นมู่นวลนวลแล้ว เขาก็เดินเข้าไปหาเธอ
มู่นวลนวลรู้สึกได้ว่ามีคนมา เธอหันกลับไปมองและส่งเสียงเรียกเขา:“โม่ถิงเซียว”
โม่ถิงเซียวรีบเดินไปหาเธอ ใบหน้าของเขาสงบนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงโกรธ:“ฉันบอกให้เธอพักผ่อนอยู่ที่ห้องไม่ใช่หรอ?”
“นอนไม่หลับก็เลยมาเยี่ยมคุณปู่ ตั้งแต่ฉันกลับมาจากซิดนีย์ก็ยังไม่ได้มาเยี่ยมเขาเลย” มู่นวลนวลจับมือเจ้าสัวโม่ไว้
ชายชราที่เคยที่เคร่งขรึมและดูน่าเกรงขามกลายเป็นอย่างนี้ ใครได้เห็นก็ต้องรู้สึกโศกเศร้า
โม่ถิงเซียวมองไปที่เจ้าสัวโม่ และสั่งบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆว่า:“เข็นคุณปู่เข้าไป”
หลังจากนั้นเขาก็จะพามู่นวลนวลกลับไปที่ห้อง
“ฉันอยากอยู่ที่นี่สักพัก……” มู่นวลไม่อยากไปกับเขาและอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเจ้าสัวโม่
มู่ถิงเซียวไม่พูดอะไรสักคำ เขาอุ้มเธอขึ้นมา
เมื่อถึงหัวมุมเขาก็หันกลับไปมองทางห้องของเจ้าสัวโม่
ตอนนี้คุณปู่เป็นแบบนี้ บางทีก็อาจจะเป็นเรื่องดี
……
เมื่อกลับมาถึงห้องโม่ถิงเซียวก็กดมู่นวลนวลลงบนเตียง:“พักผ่อนห้ดี ฉันจะเฝ้าเธอ”
มู่นวลนวลรู้สึกว่าตั้งแต่เธอถูกซือเฉิงยวี่จับตัวไปและได้รับบาดเจ็บ โม่ถิงเซียวก็ระมัดระวังในเรื่องหยุมหยิมมากเกินไปและหวาดระแวงไปหมด
“ฉันก็แค่บาดเจ็บเล็กน้องจริงๆ” ในช่วงนี้มู่นวลนวลได้อธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังหลายครั้งมาก
โม่ถิงเซียวมองเธอและห่มผ้าห่มให้เธอ เขานั่งลงข้างเตียงโดยไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับว่าถ้าเธอไม่หลับเขาก็จะเฝ้าเธออยู่ตรงนี้อย่างนี้
มู่นวลนวลจนปัญญา เธอจึงทำได้เพียงหลับตาลง
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พบว่าตัวเองนอนไม่หลับ เธอจึงลืมตาขึ้นก็พบว่าโม่ถิงเซียวยังคงเฝ้ามองเธออยู่เหมือนเดิม
เมื่อเห็นมู่นวลนวลตื่นขึ้นมา ดวงตาของโม่ถิงเซียวก็หรี่ลงอย่างเป็นอันตราย
มู่นวลนวลจึงหลับตาลงและพูดกับเขา:“คุณจะเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรอ?คุณไม่ไปตามหาซือเฉิงยวี่รึไง?”
“พรุ่งนี้เขาจะเป็นฝ่ายมาหาถึงหน้าประตู” หลังจากที่มู่ถิงเซียวพูดจบเขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย:“ตอนนี้นอนได้แล้ว”
“ฉันนอนไม่หลับ” มู่นวลนวลสูดหายใจเข้าลึกๆ:“ฉันแค่คิดว่ามู่มู่ยังอยู่ในมือของซือเฉิงยวี่ ฉันก็นอนไม่หลับ”
เธอได้เห็นแล้วว่าซือเฉิงยวี่กลายเป็นคนที่วิปริตไปแล้ว เวลาที่เขาบ้าขึ้นมาเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ทันทีที่เธอหลับตาลง ในหัวของเธอก็จะปรากฏภาพที่ซือเฉิงยวี่ทำร้ายมู่มู่
เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะโชคดี
ในช่วงหลายวันมานี่โม่ถิงเซียวค่อยดูแลเธออย่างใกล้ชิด แม้ว่าเธอจะให้ความร่วมมืออย่างดีในการกินยาและนอนหลับเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แต่เธอก็แทบจะนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
เธอมักจะหลับตาลงอย่างมีสติในความคิดที่มืดมน และเมื่อคิดถึงมู่มู่เธอก็หนาวสั่นไปทั้งตัว
ไม่มีความหวังสำหรับคนที่เอาขาก้าวลงไปในนรกแล้วข้างหนึ่ง
กรามของโม่ถิงเซียวเกร็งและมือของเขาก็กำไว้แน่นบนเตียง แต่น้ำเสียงของเขาสงบมาก:“ตอนนกลางคืนจะพาเธอไปเจอคนคนหนึ่ง”
“ใคร?” มู่นวลนวลลืมตาขึ้น
“ถึงตอนกลางคือเธอก็จะรู้”
……
เมื่อถึงตอนเย็น มู่นวลนวลก็ลงไปทานข้าวที่ชั้นล่าง
เมื่อมู่นวลนวลมาถึงห้องอาหาร เธอก็พบว่ามีคนคนหนึ่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว
คนคนนี้เป็นผู้หญิง
ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเห็นโม่ถิงเซียวและมู่นวลนวลเดินเข้ามา เธอก็ยืนขึ้นแล้วยิ้ม และพูดว่า:“สวัสดีค่ะ ฉันคือซูชิงหนิง”