คนที่ถูกแย่งโทรศัพท์ไปก็แย่งโทรศัพท์คืนและผลักซือเฉิงยวี่:“คุณมาแย่งโทรศัพท์ของคนอื่นทำไม!”
แต่ซือเฉิงยวี่เหมือนไม่ได้ยิน เขาพูดพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าที่เหมือนกับยิ้มไปด้วยร้องไห้ไปด้วยและวิ่งออกไปข้างนอก
“คนคนนี้ท่าจะบ้า!”
“ถ้าไม่อย่างนั้นตอนนี้ในสังคมมีคนเป็นโรคประสาทเยอะมาก”
……
ซือเฉิงยวี่วิ่งไปขึ้นรถที่ข้างถนนขับและจะขับรถไปที่บ้านเก่า
แต่เขาถูกขัดขวางไว้:“คุณซือ ถ้าคุณกลับมาที่บ้านตระกูลโม่ตอนนี้ โม่ถิงเซียวไม่ปล่อยคุณไปแน่”
“หลีกไป” เหมือว่าซือเฉิงยวี่จะบ้าไปแล้ว เขาผลักมือออกและขับรถไปที่บ้านตระกูลโม่ทันที
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเขามีโอกาสหนีออกนอกประเทศ
แต่เขายังไม่บรรลุจุดประสงค์ ดังนั้นเขาจึงไม่ออกนอกประเทศ
เขากับโม่ถิงเซียวมีสายเลือดเดียวกัน
มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องไม่มีเห็นแสงสว่างไปตลอดชีวิต ในขณะที่โม่ถิงเซียวสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นเป็นปกติ
มีเหตุผลอะไรที่โม่ถิงเซียวควรมีชีวิตที่ดีและมีความสุขมากกว่าเขา?
ยิ่งเขาเปรียบเทียบกับโม่ถิงเซียว เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ในใจของเขาไม่ยอมและเคียดแค้นมากขึ้น
ทำลายชีวิตของโม่ถิงเซียว ทำลายทุกอย่างของโม่ถิงเซียว
เมื่อเขาคิดว่าจุดจบสุดท้ายของโม่ถิงเซียวจะกลายเป็นเช่นเดียวกับเขา เขาก็รู้สึกมีความสุขมากจนแทบบ้า
แต่คิดไม่ถึงว่าโม่ถิงเซียวจะหาชิงหนิงเจอ
ชิงหนิงเป็นของเขา!
ซือเฉิงยวี่ขับรถไปถึงบ้านเก่าตระกูลโม่อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ในบ้านเก่ามีแต่คนของโม่ถิงเซียว ทันทีที่ซือเฉิงยวี่มาถึงประตูบ้านเก่าก็มีบอดี้การ์ดไปรายงานกับโม่ถิงเซียว
หลังจากที่จอดรถซือเฉิงยวี่ก็วิ่งเข้าไปในบ้านเก่า
แต่เมื่อเขามาถึงหน้าประตูเขาก็ถูกบอดี้การ์ดขวางไว้แต่:“คุณซือ”
แววตาของซือเฉิงยวี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่หลังจากที่ถูกบอดี้การ์ดขวางไว้ เขาก็ดูโมโหขึ้นมา:“ฉันต้องการพบโม่ถิงเซียว ถ้าเขายังต้องการลูกสาวของเขาก็ปล่อยให้ฉันเข้าไป ไม่งั้นแค่ฉันโทรไปกริ๊งเดียว เด็กตัวกระจิดริดคนนั้นก็จะหายไปจากโลกนี้!”
ในเวลานี้ซือเย่ก็เดินออกมา
เามองไปที่ซือเฉิงยวี่ด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ:“ปล่อยให้เขาเข้ามา”
เมื่อบอดี้การ์ปล่อยตัว ซือเฉิงยวี่ก็รีบเดินเข้ามา เขาคว้าคอเสื้อของซือเย่:“ชิงหนิงอยู่ที่ไหน ฉันต้องการพบเธอ!”
ซือเย่ถูกซือเฉิงยวี่กระชากและจ้องมองอย่างไม่กระพริบตา เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ:“ผมเข้าใจความรู้สึกที่คุณซืออยากเจอคุณซู แต่สำหรับวิธีทีที่คุณจะได้เจอคุณซู คุณก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”
เมื่อซือเฉิงยวี่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำเสียงฮึ และปล่อยซือเย่
ซือเย่เซไปสองก้าวก่อนจะยืนนิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
เขาดูแลเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาและพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม:“คุณชายให้เวลาคุณสามวัน”
“ไม้ต้องถึงสามวัน” ซือเฉิงยวี่เม้มริมฝีปาก และยิ้มอย่างอธิบายไม่ถูก:“เอาปากกากับกะดาษมาให้ฉัน”
ซือเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วให้คนไปหยิบกระดาษกับปากกามาให้ซือเฉิงยวี่
ซือเฉิงยวี่เขียนที่อยู่ลงบนกระดาษ:“หลังจากสามวัน เจอกันที่นี่ ให้เขาพาชิงหนิงมา ฉันจะพาลูกสาวของเขามารอ อย่าเล่นตุกติกนะ ไม่งั้นถึงตอนนั้นแล้วใครก็อย่าคิดที่จะมีชีวิตกลับไป!”
หลังจากที่พูดจบเขาก็ยัดกระดาษโน้ตใส่ที่มือของซือเย่ แล้วมองไปที่หน้าต่างบนชั้นสองจากนั้นก็จากไป
ซือเย่หยิบกระดาษโน้ตในมือขึ้นมาดู และพบว่ามันเป็นภาษาอังกฤษที่มีความยาวมาก
เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หน้าต่างบนชั้นสอง
ตอนนี้เขากับมู่นวลนวลยืนอยู่ข้างหน้าต่างและมองไปที่ซือเฉิงยวี่
หัวใจของมู่นวลนวลเต้นระรัวเมื่อเห็นซือเฉิงยวี่
เธอกลัวว่าซือเฉิงยวี่ จะไม่กินอาหารชุดนี้
สุดท้ายที่อยู่ที่ซือเฉิงยวี่เขียน หัวใจของเธอก็เต้นตามปกติ
ซือเย่เดินไปที่ประตูและยกมือขึ้นเคาะประตูสองครั้ง เขาผลักประตูเข้ามาและส่งกระดาษที่เขียนที่อยู่ให้โม่ถิงเซียวด้วยความเคารพ
มู่นวลนวลหันหน้าไปมอง จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์และค้นหาที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
“หาเจอแล้ว เป็นเกาะเล็กๆ ใกล้กรีซที่นั้นมีเกาะส่วนตัวขายมากมาย……”
โม่ถิงเซียวลดสายตาลง และเจอกับดวงตาที่วาววับของมู่นวลนวลนวลพอดี
ในดวงตาของเธอมีความตื่นเต้นดีจ ความคาดหวังและความกังวล อารมณ์ทั้งหมดผสมกันทำให้เธอดูมีพลังขึ้นเล็กน้อย
เขาไม่ได้เห็นมู่นวลนวลแบบนี้มานานแล้ว
โม่ถิงเซียวโน้มตัวไปจูบที่หน้าผากของเธอ จากนั้นก็ยื่นมือไปลูบหัวของเธอ:“ไปรับมู่มู่กลับมาด้วยกันนะ”
ดวงตาของมู่นวลนวลสว่างขึ้นและน้ำตาของเธอก็ไหลพราก เธอพยักหน้าอย่างแรง
โม่ถิงเซียวยิ้มและพูดอย่างมีเลศนัย:“งั้นช่วงสองสามวันนี้เธอก็พักผ่อนให้ดีๆ”
มู่นวลนวลพยักหน้า:“อึ้ม”
……
โม่ถิงเซียวออกมาจากห้องและซือเย่ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ตามไป
“ส่งคนไปคอยจับตาดูซือเฉิงยวี่ ถ้าเขามีการเคลื่อนไหวผิดปกติให้มารายงานฉันได้ทุกเมื่อ” โม่ถิงเซียวเดินไปข้างนอกพลางออกคำสั่งกับเขา
“ครับคุณชาย ผลการประเมินอาการของคุณหญิงซือออกมาแล้ว คุณลองดูหน่อย”
โม่ถิงเซียวรับผลการประเมินอาการที่ซือเย่ส่งให้ไปดู
หลังจากที่เขาดูเสร็จ เขาก็ถามซือเย่ด้วยสีหน้าที่เฉยเมย:“บ้าไปแล้วจริงๆ?”
“ครับ” ซือเย่ก้มหน้าลงและไม่กล้ามองไปที่โม่ถิงเซียว
เขารู้สึกว่าโม่ถิงเซียวในตอนนี้มีบางอย่างแตกต่างจากเมื่อก่อน ดูเหมือนว่าจะเย็นชามากขึ้น
โม่ถิงเซียวส่งผลการประเมินอาการให้ซือเย่:“งั้นส่งเธอไปในที่ที่เธอควรไป”
เมื่อซือเย่นึกถึงโม่เจียเฉิน เขาก็ลังเล:“คุณชาย……”
โม่เจียเฉินเป็นลูกชายของโม่เหลียนกับซือหมิงฮวน และโม่เจียเฉินกับโม่ถิงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องการเตือนโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวหันหน้ามาและขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ฟังไม่เข้าใจหรอ?งั้นฉันจะพูดตรงๆ ส่งเธอไปที่โรงพยาบาลบ้า”
ในเมื่อโม่ถิงเซียวพูดแบบนี้ ซือเย่ก็ทำได้เพียงพยักหน้า:“ครับ รับทราบ”
เมื่อโม่ถิงเซียวกับซือเย่ลงไปชั้นล่างก็เห็นโม่จิ่นหยุนนั่งอยู่ในห้องโถง
โม่จิ่นหยุนไปทำธุระที่ตางจังหวัดเมื่อสองสามวันก่อน และเพิ่งกลับมาวันนี้
เห็นได้ชัดว่าเธอเห็นข่าวแล้ว เมื่อเธอเห็นโม่ถิงเซียว เธอก็ถามด้วยน้ำเสียงที่อยากรู้:“ข่าวพวกนั้นมันเกิดอะไรขึ้น?แล้วที่นี่ก็มีบอดี้การ์ดเต็มไปหมด นายคิดจะทำอะไร?พ่อล่ะ?เขาถุกลักพาตัวไปอย่างที่เป็นข่าวรึเปล่า?ผู้หญิงที่นายพากลับมา มันเกิดอะไรขึ้น?”
เธอถามเป็นชุด แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากโม่ถิงเซียวเลย
ในขณะที่เธอกำลังจะโกรธ เธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ในห้องโถงดังขึ้น
โม่จิ่นหยุนหันไปมองซือเย่:“ไปรับโทรศัพท์สิ”
ซือเย่ไม่ขยับ เขาเป็นคนของโม่ถิงเซียว แน่นอนว่าเขาไม่ฟังที่โม่จิ่นหยุนพูด
“นาย……ดีมาก!” โม่จิ่นหยุนโมโหซื่อเย่ เธอจึงทำได้เพียงไปรับโทรศัพท์ด้วยตัวเอง
โม่จิ่นหยุนรับโทรศัพท์:“ที่นี่บ้านตระกูลโม่ ต้องการพูดกับใครคะ?”
เสียงของโม่ชิงเฟิงดังมาจากโทรศัพท์:“จิ่นหยุน ฉันเอง พ่อไง ช่วยพ่อด้วย……”