ครั้งแรกที่เธอรู้ว่าโม่ถิงเซียวหาผู้หญิงคนหนึ่งมาแปลงโฉมให้เป็นซูชิงหนิง มู่นวลนวลก็ตั้งคำถามด้วยความตกใจ
และต่อมาเมื่อรู้ว่าซูชิงหนิงสมัครใจ ความคิดของเธอก็ซับซ้อนเล็กน้อย
เธอรู้สึกเหมือนใช้คนอีกคนเพื่อแลกกับลูกสาวของตัวเอง
ชีวิตไม่สูงไม่มีต่ำ มีแต่คนเห็นแก่ตัว
เมื่อเห็นมู่นวลนวลไม่พูดอยู่นาน ซูซิงหนิงก็ยิ้มและปลอบใจเธอ:“คุณหญิง คุณไม่จำเป็นต้องคิดว่าคุณเป็นหนี้อะไรฉัน ฉันเต็มใจ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชาย ฉันคงตายไปนานแล้ว”
แม้ว่ามู่นวลนวลจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตั้งแต่เด็กๆ แต่เมื่อเทียบกับโม่ถิงเซียวแล้ว เธอก็รู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมาของเธอไม่ได้เป็นอะไรที่แย่มาก
เธอก้มหน้าและครุ่นคิดสักครู่:“ขอบคุณนะ”
หลังจากคิดๆดูแล้ว เธอก็เตือนซูชิงหนิงว่า:“ซือเฉิงยวี่คนนี้เจ้าเล่ห์มาก เมื่อถึงตอนนั้นคุณจะระวังทุกๆอย่าง”
……
ตอนที่เครื่องบินมาถึงเกาะก็เป็นเวลาเช้าตรู่ ครบสามวันพอดีหลังจากที่นัดกับซือเฉิงยวี่
เมื่อมู่นวลนวลกับโม่ถิงเซียวมาถึง ซือเฉิงยวี่ก็ยังไม่มา
คนของโม่ถิงเซียวค้นทุกอย่างบนเกาะทั้งภายในและภายนอก แต่ไม่พบอะไรเลย นอกจากคนรับใช้เพียงไม่กี่คนที่คอยเฝ้าบ้าน
มู่นวลนวลมองไปที่ทะเลสีคราม และถามโม่ถิงเซียวด้วยความกระสับกระส่าย:“เขาจะเปลี่ยนใจไม่มาแล้วรึเหปล่า?”
โม่ถิงเซียวกระพริบตาเล็กน้อย:“ไม่หรอก ฉันรู้จักเขาดี”
ทั้งสองคนรู้จักกันมาหลายปี และมักจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่เสมอ
ความคล้ายคลึงกันระหว่างเขากับซือเฉิงยวี่คือการเป็นคนที่มุ่งมั่นกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า
การมีชีวิตอยู่ของซูชิงหนิงสำคัญมากสำหรับซือเฉิงยวี่
ซือเฉิงยวี่รู้สึกว่ามู่หวันฉีคล้ายกับซูชิงหนิง ดังนั้นเขาจึงคบมู่หวันฉี และปล่อยให้มู่หวันฉีกระทำความผิดโดยไม่ขัดขวาง
เขาอดทนกับมู่หวันฉีได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าของเลียนแบบที่โม่ถิงเซียวเตรียมไว้ให้เขาอย่างสมบูรณ์แบบ
ซือเฉิงยวี่ต้องมาอย่างแน่นอน
มู่นวลนวลติดตามโม่ถิงเซียวและรอให้ซือเฉิงหยู่มาอย่างใจจดใจจ่อ
พวกเขารอตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก และในที่สุดซือเฉิงยวี่ก็มาพร้อมกับความมืด
ซือเฉิงยวี่นั่งเรือมา เขาพาคนมากมาย
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันในห้องโถงของคฤหาสน์
ซือเฉิงยวี่ซื้อเกาะนี้ และสร้างลาดจอดเครื่องบินกับคฤหาสน์ที่หรูหรา
มือของซือเฉิงยวี่แนบชิดลำตัวในระหว่างที่เดินทาง
ซือเฉิงยวี่เดินออกมาอย่างช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองไปที่โม่ถิงเซียวและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนอย่างแต่ก่อน:“เรือช้าไปหน่อย ทำให้นายต้องรอนานแล้ว ถิงเซียว”
โม่ถิงเซียวสีหน้าเย็นชา:“เด็กล่ะ?”
ซือเฉิงยวี่ปรบมือและเห็นหญิงวัยกลางคนเดินอุ้มเด็กทารกออกมา
มู่นวลนวลที่ยืนอยู่ข้างหลังโม่ถิงเซียว เมื่อเธอเห็นหญิงวัยกลางคนเดินอุ้มเด็กทารกออกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างหน้าและพูดพึมพำ:“มู่มู่……”
โม่ถิงเซียวจับเธอไว้ สายตาของเขาจ้องมองไปที่ซือเฉิงยวี่:“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอเป็นลูกสาวของฉัน?”
“เหอะ!” ซือเฉิงยวี่หัวเราะ:“นายฉลาดขนาดนี้”
หลังจากที่ซือเฉิงยวี่พูดจบ หญิงวัยกลางคนอีกคนก็อุ้มเด็กทารกออกมา
สีหน้าของมู่นวลนวลดูตกใจ สักพักก็ได้ยินเสียงของซือเฉิงยวี่พูดอย่างไม่แยแส:“ลองทายสิว่าคนไหนเป็นลูกสาวของนาย?”
หลังจากที่พูดจบ ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังซือเฉิงยวี่ส่งปืนให้เขา
ซือเฉิงยวี่เป่าปากกระบอกปืน และเล็งปืนพกไปที่เด็กทารกทั้งสอง เขายิ้มอย่างอ่อนโยน:“ฉันเคยได้ยินมาว่าพ่อแม่และลูกจะมีจิตที่สื่อถึงกัน ฉันเชื่อว่าพวกคุณจะเดาได้ถูก”
มู่นวลนวลกัดริมฝีปาก:“ซือเฉิงยวี่ พวกเขาเป็นเด็กทารกที่ยังพูดไม่ได้และเดินไม่ได้!”
แม้ว่าซือเฉิงยวี่จะไม่ได้อธิบาย แต่ความหมายของเขาก็ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าโม่ถิงเซียวกับมู่นวลนวลเลือกคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็จะถูกเขาฆ่า……
เขาเสียสติไปแล้ว
“นวลนวล ถ้าเธอไม่สามารถเลือกได้และต้องการเท่าเทียมกัน แต่เธอต้องเคารพกฎของเกม ไม่อย่างงั้น……” เมื่อพูดถึงตรงนี้ซือเฉิงยวี่ก็หยุดพูดไปชั่วขณะ สีหน้าของเขาค่อยๆเคร่งขรึม:“พวกแกเลิกคิดไปได้เลย!”
“เฉิงยวี่”
ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหลังทุกคน
มู่นวลนวลหันหน้ากลับมาพร้อมกับพวกเขา และเห็นซูชิงหนิงเดินลงมาจากข้างบน
ซูชิงหนิงผมยาวถึงเอว เธอสวมชุดสีขาวดูอ่อนโยนและสวยงาม
สายตาของเธอจ้องมองไปที่ซือเฉิงยวี่:“ไม่ได้เจอกันหลายปี คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะ”
ในขณะที่เธอกำลังพูด เธอก็เดินไปหาซือเฉิงยวี่
มู่นวลนวลสังเกตเห็นว่าสีหน้าของซือเฉิงยวี่เปลี่ยนไปทันทีที่เขาเห็นซูชิงหนิง
ความตกใจ ความประหลาดใจ ความตื่นเต้น ความดีใจ……อารมณ์มากมายแสดงออกผ่านใบหน้าของเขา
“ชิง……ชิงหนิง?” ปืนในมือของเขาตกลงที่พื้น
ซูชิงหนิงเดินผ่านฝูงชนไปที่ข้างหน้าซือเฉิงยวี่:“ฉันเอง”
เมื่อซือเฉิงยวี่เห็นหน้าตาของซูชิงหนิง ซึ่งเป็นใบหน้าเดียวกับซูชิงหนิงในความทรงจำของเขา และเขาก็แทบทนจะไม่กระพริบตา
ซูชิงหนิงยื่นมือไปจับมือของซือเฉิงยวี่และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล:“เฉิงยวี่ ทำไมคุณกับถิงเซียวถึงกลายเป็นแบบนี้?ฉันไม่รู้ว่าระหว่างพวกคุณมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกัน แต่เด็กไร้เดียงสา คุณคืนเด็กให้พวกเขาได้ไหม?”
มู่นวลนวลบีบมือของตัวเองแน่นอย่างประหม่า เธอจิกเล็บลงบนฝ่ามืออย่างแรง แต่เธอไม่รู้สึกเจ็บใดๆ
ซือเฉิงยวี่ดูเหมือนถูกมนต์สะกดของซูชิงหนิง เขาพยักหน้าอย่างไม่สนใจอะไร
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของมู่นวลนวล แต่ก่อนที่ความประหลาดใจนั้นจะออกมาจากความคิดของเธอ เธอได้ยินซือเฉิงยวี่พูดว่า:“ชิงหนิง พวกเราไม่ต้องรีบร้อน มาเล่นเกมสนุกกับฉันสิ มันเป็นเกมที่น่าสนใจมาก หลังจากที่เล่นเกมจบ ผมจะพาคุณกลับบ้าน”
หลังจากที่ซือเฉิงยวี่พูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองโม่ถิงเซียว:“ถิงเซียว วันนี้ฉันเดินทางเหนื่อยมาก เราค่อยมาต่อกันพรุ่งนี้นะ”
หลังจากที่พูดจบแล้ว เขาก็พาคนออกไป
บนเกาะนี้ไม่ได้มีคฤหาสน์หลายหลัง แต่ซือเฉิงยวี่ก็พาคนไปอยู่ที่คฤหาสน์อื่น
ทันทีที่ซือเฉิงยวี่จากไป ซูชิงหนิงก็ล้มลงที่พื้น
เมื่อมู่นวลนวลเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปช่วยเธอ
ซูชิงหนิงคว้าแขนของมู่นวลนวลแล้วพูดด้วยความกลัว:“ฉันคิดว่าเขาดูออกว่าฉันเป็นตัวปลอม”
เมื่อมู่นวลนวลได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ เธอยังไม่ทันได้ถามโม่ถิงเซียวก็ได้ยินเสียงของโม่ถิงเซียวดังขึ้น:“เดิมทีเขาก็รู้ว่เธอเป็นตัวปลอม”
มู่นวลนวลมองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ:“คุณพูดอะไร?ซือเฉิงยวี่รู้ว่าเธอเป็นซูชิงหนิงตัวปลอม แล้วเขาจะเอามู่มู่ตัวจริงมาแลกได้ยังไง?”
เธอรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น
โม่ถิงเซียวพูดเตือนสติเธอ:“มู่หวันฉี”
เมื่อหมู่นวลนวลได้ยินคำนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมา:“ความหมายของคุณคือ……”
“ใช่” โม่ถิงเซียวไม่รอให้เธอพูดจบก็พูดขัดจังหวะเธอ และมองเธออย่างลึกซึ้ง:“ทุกคนมีความหลุ่มหลงในใจ”
มู่นวลนวลนึกขึ้นได้ว่าการที่ซือเฉิงยวี่รู้เห็นเป็นใจและรักใคร่มู่หวันฉีนั้น เป็นเพราะมู่หวันฉีหน้าตาคล้ายกับซูชิงหนิง