มู่นวลนวลถามโม่มู่ว่า:“หนูลงมาจากไหน?”
“ลงมาจากชั้นบน”
เมื่อกี้มู่นวลนวลสังเกตเห็นว่าบันไดในคฤหาสน์นั้นทั้งสูงทั้งยาว และเมื่อได้ยินที่โม่มู่พูด เธอก็หันหน้าไปมองโม่ถิงเซียว
เมื่อโม่ถิงเซียวเห็นว่ามู่นวลนวลจ้องมองตัวเองราวกับกำลังประณาม เขาขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าเขาเอาขนมที่ไหนมายื่นให้โม่มู่
หลังจากนั้นก็พูดว่า:“รางวัล”
โม่มู่หยิบขนมด้วยใบหน้าที่มีความสุข เธอดึงมันสองครั้งและพบว่าไม่สามารถฉีกได้ จากนั้นก็ยัดมันกลับเข้าไปในมือของโม่ถิงเซียว และพูดด้วยเสียงออดอ้อน:“พ่อช่วยแกะให้หนูหน่อย”
โม่ถิงเซียวฉีกถุงขนมและป้อนให้โม่มู่
โม่มู่ชอบขนมและวิ่งด้วยความพึงพอใจ
ในเมื่อถูกโม่มู่ค้นพบแล้ว โม่ถิงเซียวก็เดินเข้าไปอย่างองอาจและถามมู่นวลนวล:“เมื่อก่อนคุณก็ทำอาหารหรอ?”
มู่นวลนวลเหลือบมองเขา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ไม่รู้สิ”
เธอสูญเสียความทรงจำ แล้วเธอจะจำเรื่องเมื่อก่อนได้ยังไง?
โม่ถิงเซียวสำลักกับคำตอบของเธอ
มู่นวลนวลครุ่นคิดอยู่สักครู่และถามว่า:“คุณจำอะไรไม่ได้จริงๆหรอ?”
“ไม่อย่างนั้นล่ะ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของโม่ถิงเซียวก็ไม่ค่อยดีนักและมีกลิ่นอายมืดมนระหว่างคิ้ว
แต่แปลกมากที่มู่นวลนวลไม่รู้สึกกลัว แต่เธอกลับมีความรู้สึก “ร่วมทุกข์ร่วมสุข”
มู่นวลนวลหั่นผักไปพลางพูดไปพลาง:“ฉันประสบอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อน และคุณก็สูญเสียความจำเมื่อสามปีก่อน บางทีเราก็อาจจะประสบอุบัติเหตุเดียวกันก็ได้?”
สถานะที่ลี่จิวเหิงเป็น “คู่หมั้น” นั้นไม่จริง เรื่องเหล่านั้นที่เขาบอกเธอก่อนหน้านี้ก็ยกเลิกไปเช่นกัน
โม่ถิงเซียวปิดปากเงียบ:“สืบดูก็รู้แล้ว”
มู่นวลนวลหยุดการเคลื่อนไหวในมือของเธอและเงยหน้าขึ้นมองเขา
โม่ถิงเซียวร่ำรวยมาก ถ้าเขาอยากจะสืบเรื่องเมื่อสามปีที่แล้ว ก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ลี่จิ่วเหิงพูดถูก เงื่อนไขที่เธอตกลงกับโม่ถิงเซียว อันที่จริงแล้วมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
ได้อยู่ข้างๆโม่มู่ และได้รู้เรื่องเมื่อก่อนของเธอได้ด้วย
มู่นวลนวลไม่ได้พูดอะไรอีก
เรื่องแบบนี้โม่ถิงเซียวน่าจะรู้ดี และไม่จำเป็นต้องให้เธอพูดมาก
ดูเหมือนว่าโม่ถิงเซียวจะสนใจ และอยู่ดูเธอทำอาหารที่ห้องครัว
โม่มู่ถือจานแล้วเกือบจะชนเขา จึงพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า:“พ่ออย่ามาขวางมือขวางเท้าตรงนี้สิ”
โม่ถิงเซียวกอดอก:“บ้านของพ่อ พ่ออยากอยู่ตรงไหนก็จะอยู่ตรงนั้น”
น้ำเสียงที่ไร้เหตุผลนี้……
มู่นวลนวลรู้ว่าเขาน่าเบื่อและไม่อยากที่จะสนใจเขา
……
หนึ่งชั่วโมงต่อมา มู่นวลนวลก็ทำอาหารเสร็จ
เมื่ออยู่ที่โต๊ะอาหาร โม่ถิงเซียวก็เห็นว่าในจานสามสี่ใบเต็มไปด้วยอาหารที่น่ากินและน่ารัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นของโม่มู่
ที่เหลืออีกสองจานเป็นกับข้าวและอีกหนึ่งจานเป็นซุป นี่น่าจะเป็นอาหารของเขากับมู่นวลนวล
โม่ถิงเซียววางตะเกียบลงข้างๆ:“มู่นวลนวล!”
“หึ้ม?” มู่นวลนวลตอบอย่างใจลอย เธอยิ้มและตักอาหารให้โม่มู่:“ลองดูว่าอันนี้อร่อยไหม มันคือ ‘กระต่ายน้อย’ ใช่ไหม?”
โม่ถิงเซียวยื่นมือไปกดหัวคิ้วของตัวเอง และมีความโกรธจางๆ ในเสียงของเขา:“ในตู้เย็นไม่มีอาหาร หรือคุณคิดว่าผมหมดตัวแล้ว?กระจอกจนต้องกินอาหารสองอย่างนี้?”
มู่นวลนวลไม่ได้เงยหน้าขึ้นพูดอย่างเฉยเมยว่า:“ถ้าคุณไม่อยากกินก็ให้คนใช้ไปทำ แล้วอีกอย่างก็ไม่บังคับให้คุณกิน”
เมื่อโม่ถิงเซียวได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้ว เขายังไม่ทันได้พูด คนรับใช้ก็พูดว่า:“ผู้ช่วยซือมาค่ะ”
โม่ถิงเซียวเหลือบไปมองมู่นวลนวล เขาทำเสียงฮึอย่างเย็นชาแล้วลุกขึ้นออกไป
หลังจากที่เขาออกไป มู่นวลนวลก็เงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองไปยังทางที่เขาจากไป
ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวมากขนาดนั้น
ในห้องหนังสือ
ซือเย่พาคนถือเอกสารมามากมายมาให้โม่ถิงเซียว
เมื่อโม่ถิงเซียวเข้ามาเห็นเอกสารมากมายก็ตกตะลึง
ก่อนหน้านี้เขาสั่งให้ซือเย่จัดการเรื่องเมื่อก่อนของเขา รวมไปถึงเรื่องระหว่างเขากับมู่นวลนวลทั้งหมดให้จัดเรียงเป็นข้อมูลมาให้เขา
แต่ไม่คิดว่าจะมีข้อมูลมากมายอย่างนี้
โม่ถิงเซียวยื่นมือออกไปวางขนเอกสารสองทีและพูดว่า:“อยู่ที่นี่หมดแล้วหรอ?”
ซือเย่พูดอย่างเคารพ:“นี่เป็นเพียงส่วนสำคัญเท่านั้น ถ้าคุณชายต้องการข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ อาจต้องใช้เวลาในการจัดการมากกว่านี้”
โม่ถิงเซียวพลิกสองหน้าอย่างลวกๆ และพูดว่า:“ฉันรู้แล้ว”
หลังจากที่ซือเย่จากไป โม่ถิงเซียวก็เริ่มเปิดอ่านข้อมูล
เรื่องนี้เหลือเชื่อเหมือนกับว่ากำลังอ่านเรื่องของคนอื่น
เขาไร้สาระมาก ปลอมเป็นลูกพี่ลูกน้องไปหลอกมู่นวลนวล?
อีกอย่างมู่นวลนวนคนนี้ก็ไร้สาระพอกัน ยังแกล้งขี้เหร่อีก?
ไม่ขี้เหร่ก็ไม่ได้ไม่สวยสักเท่าไหร่……อื้ม ก็แค่สวยกว่าผู้หญิงคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้น
โม่ถิงเซียวดูอยู่อย่างนั้นและไม่ได้ออกจากห้องหนังสือ
ในห้องอาหารชั้นล่าง
โม่มู่กินอิ่มแล้วก็กระโดดเล่นไปมา เมื่อเห็นว่าโม่ถิงเซียวยังไม่ลงมา มู่นวลนวลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
โม่ถิงเซียวไม่มากินข้าวจริงๆ หรอ?
ขี้น้อยใจขนาดนั้นเลย?
มู่ถิงนวลถามคนรับใช้คนหนึ่งว่า:“โม่ถิงฌซียวล่ะ?”
คนรับใช้พูดอย่างเคารพ:“คุณชายอยู่ที่ห้องหนังสือ”
มู่นวลนวลลังเลอยู่สักครู่ และตัดสินใขขึ้นไปตามโม่ถิงเซียวที่ชั้นบน
เธอเดินไปที่หน้าประตูห้องหนังสือ และยกมือขึ้นเคาะประตู
หลังจากนั้นไม่นานเสียงทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งก็ดังมาจากข้างใน:“มีอะไร?”
มู่นวลนวลพูดว่า:“ฉันเอง”
วินาทีต่อมาเสียงฝีเท้าที่ดูอึดอัดก็ดังขึ้นในห้อง จากนั้นประตูก็เปิดออกจากด้านใน
โม่ถิงเซียวยืนอยู่ที่ประตูและไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะให้เธอเข้าไป เขาเพียงแต่ถามอย่างเฉยเมย:“มีธุระหรอ?”
มู่นวลนวลถามอย่างไม่แน่ใจ:“คุณไม่ทานข้าวหรอ?”
โม่ถิงเซียวดูเหมือนจะคิดอยู่สองสามวินาทีและพูดว่า:“ต้มบะหมี่เนื้อมาชามหนึ่ง”
“บะหมี่เนื้อ?” นี่เขากำลังใช้ให้เธอไปต้มบะหมี่ให้เขาหรอ?
ดูเหมือนว่าเขาว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง และโม่ถิงเซียวพูดเสริมว่า:“เผ็ดๆนะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาใช้คางชี้ไปที่มู่นวลนวล เป็นการบอกใบ้ว่าให้เธอลงไปได้แล้ว
มู่นวลนวลหันกลับไปที่ชั้นล่างโดยไม่รู้ตัวและทันใดนั้นก็หันกลับมา:“โม่ถิงเซียว คุณเห็นฉันเป็นอะไร?ฉันทำอาหารให้มู่นวลนวลเพราะฉันเต็มใจ แล้วทำไมฉันต้องทำอาหารให้คุณด้วย?”
“ก่อนหน้านี้คุณให้ผมไปสืบเรื่องเมื่อก่อนไม่ใช่หรอ?อยากดูไหม?” โม่ถิงเซียวถอยออกไปด้านข้างเล็กน้อย และมู่นวลนวลก็เห็นเอกสารมากมายในห้องหนังสือ
มู่นวลนวลถามว่า:“นั่นคืออะไร?”
โม่ถิงเซียวยิ้มอย่างมีเลศนัย:“คุณอยากดูไหม”
มู่นวลนวลสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับไปต้มบะหมี่ให้โม่ถิงเซียวที่ห้องครัวชั้นล่าง โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ดูไม่ออกเลยว่าคนที่เย็นชาอย่างโม่ถิงเซียวจะชอบกินเผ็ด
มู่นวลนวลอยากจะพริกขี้หนูลงไปในชามของโม่ถิงเซียว แต่คิดๆแล้วก็ไม่ดีกว่า
เธอยื่นหน้าของเธอเข้าไปและวางบะหมี่ลงตรงหน้าโม่ถิงเซียวอย่างไม่เต็มใจ:“บะหมี่ของคุณ”
โม่ถิงเซียวไม่พูดอะไรและนั่งกินบะหมี่
แต่เขากินไปได้คำเดี๋ยวก็หยุดชะงัก
นี่เป็นรสชาติที่คุ้นเคย
มู่นวลนวลพลิกดูข้อมูลและเมื่อเห็นเนื้อหาในหน้าแรก เธอก็หันไปมองที่โม่ถิงเซียว:“ไร้เดียงสา”