ในที่สุดโม่ถิงเซียวก้กลับมาที่ห้องทำงาน ซึ่งตอนนั้นผ่านไปสี่สิบนาทีแล้ว
ระหว่างนั้นโม่จิ่นหยุนโทรหาโม่ถิงเซียว แต่โม่ถิงเซียวไม่รับสาย
ทันทีที่โม่ถิงเซียวเข้ามา โม่จิ่นหยุนก็เดินมาหาเขาด้วยความโกรธและถามว่า:“นายไปไหนมา?”
“ประชุม” โม่ถิงเซียวเดินผ่านเธอและไปนั่งลงที่หลังโต๊ะทำงาน
โม่จิ่นหยุนกลอกตาและถามอย่างไม่แน่ใจ:“เมื่อกี้นายไปประชุม?”
โม่ถิงเซียวจ้องมองเธอด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา:“มีอะไรก็ว่ามา”
โม่จิ่นหยุนก็ไม่ได้สงสัยอะไร ในความคิดของเธอโม่ถิงเซียวดูเหมือนยากที่จะคาดเดามาโดยตลอดจนเธอชินแล้ว
เธอเดินไปที่หน้าโต๊ะทำงานของโม่ถิงเซียว:“ฉันไม่ได้เจอมู่มู่หลายวันแล้วก็เลยคิดถึงเธอนิดหน่อย วันนี้เลยไปที่บ้านนาย และฉันมีบางอย่างจะบอกนาย”
ในขณะที่พูดเธอก็หยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาจากกระเป๋า และวางลงข้างหน้าโม่ถิงเซียว จากนั้นก็กดปุ่มเล่น
มีเสียงรบกวนในการบันทึกเสียง จากนั้นก็มีบทสนทนาระหว่างผู้หญิงสองคน
“ที่เธออยู่ข้างๆ ถิงเซียว ไม่ใช่เพราะอำนาจและเงินของเขาหรอ?เธอต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากเขา?”
“ถ้าฉันต้องการอำนาจและเงินของเขา ทำไมถึงต้องไปจากเขาเพราะแค่คุณเอาเงินมาให้?อยู่เคียงข้างเขาและเป็นแม่ของลูกเขาจะดีกว่าไหม?”
“ว่าแต่คุณจะให้เงินฉันแล้วไปจากโม่ถิงเซียวเท่าไหร่?ถ้าจำนวนเงินมันทำให้ฉันพอใจ ฉันจะลองพิจารณาดู”
เสียงของผู้หญิงทั้งสองคนสามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร และโม่จิ่นหยุนก็รู้ว่าโม่ถิงเซียวฟังออก
เธอปิดการบันทึกเสียงและพูดอย่างเฉียบขาด:“ถิงเซียว นายก็ได้ยินแล้ว คำพูดนี้ออกมาจากปากของมู่นวลนวล เพียงแค่ฉันเอาเงินมาล่อ เธอก็จะยอมไปจากนาย ผู้หญิงแบบนี้หรอที่นายต้องการ ?”
ในมุมมองของโม่จิ่นหยุน เมื่อผู้ชายคนหนึ่งได้ยินผู้หญิงแบบนี้ก็ล้วนแต่รู้สึกรังเกียจ
ยิ่งไปกว่านั้นโม่ถิงเซียวยังเป็นประธานของโม่กรุ๊ป และมีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในโม่กรุ๊ป
ผู้ชายแบบนี้จะยอมให้ผู้หญิงของตัวเองหวังทรัพย์สินและอำนาจของตัวเองได้ยังไง
โม่จิ่นหยุนมีความปรารถนาดีอยู่ในใจ แต่เธอลืมไปว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรโม่ถิงเซียวกับเธอไม่ใช่คนบนถนนเดียวกัน
เดิมทีเธอคิดว่าหลังจากที่โม่ถิงเซียวฟังเสียงบันทึกนี้แล้ว เขาจะต้องเกลียดมู่นวลนวลมาแน่ๆ
แต่โม่ถิงเซียวเพียงแค่ถามเธอว่า:“เธอคิดจะจ่ายเงินเท่าไหร่ เพื่อให้มู่นวลนวลไปจากฉัน?”
เห็นได้ชัดว่าโม่จิ่นหยุนไม่รู้ว่ามู่นวลนวลสูญเสียความทรงจำ
โม่จิ่นหยุนสีหน้าเปลี่ยน:“ถิงเซียว นายหมายความว่าไง?”
ใบหน้าของโม่ถิงเซียวยังคงไม่มีการแสดงออกใดๆ แต่โม่จิ่นหยุนรู้สึกว่ามันอันตรายอย่างบอกไม่ถูก
หากเธอตอบคำถามนี้ได้ดี อาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นรอเธออยู่
โม่ถิงเซียวเบ้ปากและมีความเย็นชาที่ระหว่างคิ้ว:“ฉันถามเธอก่อน เธอตอบคำถามของฉันก่อนสิ”
“ฉันก็แค่หลอกเธอ ไม่คิดว่าเธอจะอดใจไว้ไม่ไหว” ในเวลานี้โม่จิ่นหยุนก็ฉลาดเช่นกัน เธอไม่กล้าที่จะตอบคำถามของเขาตรงๆ
ทันใดนั้นเสียงของโม่ถิงเซียวก็เบาลง:“เธอไม่ชอบมู่นวลนวล และเหตุการณ์ระเบิดบนเกาะในตอนนั้น เธอผิดที่ไม่ให้ทีมกู้ภัยช่วยค้นหามู่นวลนวล ใช่ไหม?”
“ตอนนั้นฉันกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของนาย นายบาดเจ็บสาหัสมาก นายเป็นน้องชายแท้ๆของฉัน แน่นอนว่าฉันต้องสนใจนายก่อน ตอนนั้นกูจื่อหยานและพวกเขาก็ไปช่วยมู่นวลนวลแล้ว และตอนนี้เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรอ ?”
เดิมทีโม่จิ่นหยุนรู้สึกผิด แต่เมื่อมาถึงตอนท้าย เธอไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกผิด แต่เธอยังรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผล
จู่ๆ โม่ถิงเซียวก็ยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นเย็นชาพอๆ กับท่าทีของเขา
“แต่ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าฉันกับกูจื่อหยานไม่ได้สนิทสนมกัน ในเมื่อไม่ได้สนิทสนมกัน ทำไมเขาถึงต้องไปช่วยมู่นวลนวล?”
“มู่นวลนวลกับกูจื่อหยานสนิทสนมกันไง ความสัมพันธ์ของดาราคนนั้นกับมู่นวลนวลก็ดีมากไม่ใช่หรอ?”
โม่จิ่นหยุนรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่โชคดีที่คิดจะต่อสู้ครั้งสุดท้าย
“โม่จิ่นหยุน เธอคิดว่าฉันโง่รึไง” โม่ถิงเซียวพูดบอกกล่าว
โม่จิ่นหยุนก็หน้าซีด:“ถิงเซียว……”
ทุกข้ออ้างและเหตุผลของเธอ ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยช่องโหว่
โม่ถิงเซียวแสดงความไม่อดทน เขาก้มลงมองเอกสารตรงหน้าและพูดอย่างเป็นกันเอง:“ฉันให้โอกาสเธอแล้วนะ แต่เธอไม่พูดความจริง ออกไปเถอะ”
ในน้ำเสียงของเขาไม่มีร่องรอยของการต่อว่าหรือความโกรธ เหมือนกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับลูกน้อง……ไม่สิ น้ำเสียงที่เขาพูดกับซือเย่ดีกว่าน้ำเสียงในตอนนี้มาก
โม่จิ่นหยุนอยากจะแก้ต่างให้ตัวเอง แต่พอเธอเปิดปาก เธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างปิดกั้นอยู่ที่ลำคอของเธอ และเธอไม่สามารถพูดอะไรได้เลยสักคำ
เธอหันหลังเดินออกไปแล้วหลังจากนั้นก็ปิดประตู เธอยื่นมือออกไปปิดหน้าของตัวเอง
เธอปวดตาและมีน้ำตาไหลออกมา
เธอคือคุณหนูคนโตที่แสดเย่อหยิ่งของตระกูลโม่ เธอคือคนที่คนดังนับไม่ถ้วนขอความช่วยเหลือ เธอจะร้องไห้ไม่ได้……
ในห้องทำงานของท่านประธาน
สายตาของโม่ถิงเซียวมองไปที่ปากกาบันทึกเสียง
เมื่อกี้โม่จิ่นหยุนเดินอย่างเร่งรีบและไม่ได้หยิบปากกาบันทึกนี้ออกไปด้วย
โม่ถิงเซียวยื่นมือไปหยิบและฟังเสียงบันทึกอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หัวเราะเยาะ และวางปากกาบันทึกไว้ข้างๆ
……
เรื่องที่โม่จิ่นหยุนมาหาถึงหน้าประตู ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมู่นวลนวลเลย
โม่จิ่นหยุนเกลียดเธอมากขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมโม่จิ่นหยุนถึงเกลียดเธอ
ในตอนนี้การสูญเสียความจำดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ
เธอไปทำอาหารที่ห้องครัว โม่มู่ก็ขับรถของเล่นไปที่ห้องครัว
ช่วงนี้โม่มู่ติดเธอมากเป็นพิเศษ
เธอได้ยินการเคลื่อนไหวและหันไปมองโม่มู่:“หนูเข้ามาทำไม?”
โม่มู่นั่งอยู่ในรถของเล่น กระพริบตาและพูดว่า:“หนูอยากช่วยแม่”
“ได้เลย”
หลังจากที่มู่นวลนวลพูดจบ เธอก็เอาม้านั่งเล็กๆมาวางไว้หน้าอ่างล้างจาน จากนั้นก็เอาผักสีเขียวและมะเขือเทศไปให้เธอล้างที่นั่น
ในตอนที่มู่นวลนวลทำอาหาร โม่มู่ก็เฝ้าดูอยู่ข้างๆ
พอเห็นว่ามู่นวลนวลใส่อะไรลงไปในหม้อ เธอก็พึมพำว่าอยากกินอันนั้น ดูเหมือนว่าอยากจะกินมาก
มันคืออาหารทานเล่น
เมื่อถึงเวลาเสิร์ฟอาหาร เธอหยิบชามของโม่มู่ออกมาและให้โม่มู่พานำไปที่ห้องอาหารด้วยตัวเอง
โม่มู่ดูมีความสุข หลังจากวางชามลงบนโต๊ะอาหารแล้วก็มองเธอด้วยสีหน้าพอใจ:“หนูวางเรียบร้อยแล้ว”
มู่นวลนวลหยิบปีกไก่ชิ้นหนึ่งยื่นให้เธอ:“ให้รางวัลปีกไก่หนึ่งชิ้น”
เมื่อโม่ถิงเซียวกลับมา เขาก็เห็นฉากนั้นเข้าพอดี
โม่มู่ถือชามใบเล็กของตัวเอง เธอแทะปีกไก่จนปากมัน มู่นวลนวลถือโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสามร้อยหกสิบองศา
โม่ถิงเซียวยื่นเสื้อสูทในมือให้คนรับใช้แล้วเดินเข้าไป
โม่มู่เหลือบไปเห็นโม่ถิงเซียวและส่งเสียงเรียก:“พ่อ”
“อึ้ม”
โม่ถิงเซียวตอบรับและหันไปมองมู่นวลนวล
มู่นวลนวลรู้สึกว่าสายตาของโม่ถิงเซียวที่มองเธอดูแปลกๆ นิดหน่อย