การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 69

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 69 – คำร้องขอ

“อ๊ะ.. นี่มันชุดของเพื่อนน่ะ”

ฉันหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดออกไป บ้าเอ้ย ไม่เคยรู้สึกพลาดขนาดนี้มาก่อน แผนการของฉันและการเดาทางของศัตรูมักถูกร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ

ดังนั้นตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้จึงยังไม่เคยรู้สึกพลาดขนาดนี้มาก่อน ถึงแผนการตอนเจอกับทสึรุจะไม่เป็นตามที่คิด

แต่โดยรวมก็ถือว่าอยู่ในระดับแผนพัง แต่ครั้งนี้คือฉันคาดเดาพลาดโดยสิ้นเชิง! นี่มันเหนือความคาดเดาโดยสิ้นเชิง ..

มัน.. น่าอายกว่าที่คิดแฮะ..

(อนึ่ง ไม่ทราบว่าเลทิเซียเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าตัวเองมองขาดทุกเรื่อง แต่ความจริงตลอดสิบสามปีที่ผ่านมาเจ้าตัวคิดเองเออเองแทบทั้งหมด แค่ครั้งนี้พลาดไม่เป็นท่าเท่านั้นเอง)

ฉันเกาแก้มเบาๆ แล้วเจ้าเมืองอัลฟี่ก็เอียงคอด้วยความสงสัยยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะกล่าวถามคำถามที่ฉันในตอนนี้ไม่อยากได้ยินที่สุด

“แล้วที่ตื่นตูมเมื่อกี้มัน…?”

ฉันไปไม่เป็น ด้วยความที่เป็นคนชอบวางแบบแผนถ้าหากไม่มีแบบแผนฉันก็จะทำตัวไม่ถูก พอตกอยู่ในสถานการณ์นี้สมองเลยเหมือนหยุดทำงาน

“เอ่อ.. คือ.. คือว่า”

คิดสิ คิดให้เร็วขึ้นกว่านี้ในขณะที่กำลังกระวนกระวายนั้นเอง ทสึรุที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ผสานงานต่อจากฉันทันที

เธอก้าวขาออกมาด้านหน้าและตรึงหน้าเครียด ที่ฉันแมวไม่ค่อยจะเห็นเลย ถึงจะเป็นเพราะฉันไม่ค่อยได้คุยกับเธอก็เถอะนะ.. เธอพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“อันที่จริงเมื่อกี้….”

ด้วยความที่บรรยากาศตึงเครียดลงทำให้ฉันกลืนน้ำลายอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าเมืองอัลฟี่ก็ตั้งใจฟังทันที เธอพูดสืบต่อ

“พวกเรา.. ตกใจดอกไม้”

ว่าแล้วเธอก็ชี้ดอกไม้ที่งอกขึ้นมาบนช่องหินอ่อนที่ปูเป็นทางเดินไว้มีดแกไม้ดอกหนึ่งงอกขึ้นมาจากช่องว่างระหว่างหินอ่อนที่เป็นทางเดิน

ฉันกับเจ้าเมืองอัลฟี่ถึงกับยืนอึ้ง.. นี่มันชุ่ยเกินไปไหมเรื่องโกหกที่ต่อให้เทพลงมาก็คงไม่เชื่อ ฉันคิดแบบนั้น

แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เจ้าเมืองอัลฟี่ที่อึ้งไปพักหนึ่งก็ยิ้มออกมาและพูดขึ้นด้วยเสียงที่เป็นมิตรกว่าเดิม

“ข้าเข้าใจๆ ดอกไม้คือส่วนหนึ่งของความสมบูรณ์แบบ จะถูกเหยียบขยี้ก็เหมือนการทำลายความเป็นมนุษย์ อา.. พวกเจ้าช่างเป็นคนจิตใจดีจริงๆ หากเป็นพวกเจ้าต้องช่วยพวกเราได้แน่ๆ”

ฉันเข้าใจแล้วว่าโลกนี้ใช้ตรรกะที่รู้จักมาวัดไม่ได้เลย.. อย่าบอกนะว่าที่เดินหลบไปหลบมาเมื่อกี้คือเดินหลบดอกไม้

ก็นึกว่าคนแก่ในโลกนี้มีวิธีเดินแบบนั้นซะอีกนะเนี่ย… (คนแก่โลกไหนจะเดินหลบซ้ายหลบขวาละเลทิเซียตรรกะนี้ก็ไม่ใช่ตรรกะสามัญนะ…)

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

เจ้าเมืองอัลฟี่ว่างั้นก็เดินนำพวกเราไปต่อ ฉันก็เดินตามเขาไปซึ่งใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านหลังใหญ่ของเจ้าเมือง

มันเหมือนกับปราสาทขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ บ้านถูกออกแบบเป็นสองชั้นทำจากอิฐปูนเรียบ ไม่รู้ว่าโลกนี้มีวิธีผลิตปูนยังไง

และอาณาเขตค่อนข้างกว้างมาก ทำเอาหรูหราไม่น้อย แต่ก็นะมันน้อยกว่าปราสาทอาณาจักรอาเดฟที่ฉันเคยอยู่สักสิบเท่าหรือมากกว่านั้นเห็นจะได้

พวกเราเข้าไปข้างในก็ไปที่ห้องรับแขกมีกาแฟเตรียมเสร็จสมบูรณ์ แน่นอนว่าในสถานที่ที่ไม่รู้จักแบบนี้

“เชิญนั่ง..”

ว่าแล้วเขาก็แนะนำให้พวกเรานั่งลงบนโซฟาหรู จากนั้นเขาก็นั่งลงฝั่งตรงกันข้ามแล้วก็พูดขึ้น

“บางทีข้าคิดว่าพวกท่านอาจจะรู้เหตุผลที่มายังที่แห่งนี้แล้ว ดังนั้นข้าที่เป็นตัวกลางจะไม่พูดอะไรมาก”

ฉันพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดตอบอะไรเป็นไปได้ฉันไม่อยากบอกข้อมูลของฉันในตอนนี้ เพราะหากรู้ว่าฉันถือไพ่ต่ำกว่ามิสิทธิ์ที่จะถูกบังคับ

ยังไงซะที่นี่ก็คือถิ่นของคนพวกนั้น ฉันต้องระวังและรอบคอบให้มากถึงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ข้าเป็นตัวกลางที่ทำให้พวกเจ้าไปพบเจอกับอาร์ติแฟ็ค และเพื่อเป็นการนั้นพวกเจ้าต้องทำตามคำขอของข้าหนึ่งอย่าง ข้าคิดว่าพวกท่านคงรู้เรื่องนี้แล้ว”

ฉันตกใจแต่พอคำว่าอาร์ติแฟ็คลอยมา ทำเอาฉันตื่นเต้นตาเป็นประกาย ต้องรู้ว่าอาร์ติแฟ็คนั้นล้ำค่าขนาดไหน เพราะขนาดโลกในปัจจุบันนั้นยังหายาก

และไม่สามารถสร้างได้โดยสิ้นเชิง อาร์ติแฟ็คมีความล้ำค่าและไม่สามารถวิเคราะห์โครงสร้างที่เป็นรูปธรรมได้แม้ศึกษามาเป็นเวลาหลายร้อยปี

บางคนเชื่อว่าอาร์ติแฟ็คคือสิ่งที่คนยุคโบราณได้สร้างขึ้นด้วยความรู้ที่เหนือกว่าปัจจุบัน บางคนเชื่อว่าโลกใบอื่นได้แทรกแซงเข้ามาทำให้อาร์ติแฟ็คปรากฏขึ้น

บางคนก็บอกว่าเป็นวิทยาการของเหล่าเทพที่นำลงมาด้วย ทำให้มันอยู่เหนือความเข้าใจของสติปัญญาเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่า

ฉันต้องการมัน.. แต่ดูแล้วต้องฟังคำขอของอีกฝ่ายด้วย จากที่ฟังๆ มาหากเดาไม่ผิดนี่คือโลกภายในชิ้นส่วนเวหา

เพราะการเคลื่อนย้ายข้ามมิตินั้นคือสิ่งที่หายากมาก และจากที่บอกว่าที่นี่มีอาร์ติแฟ็คและคนเหล่านี้ไม่ได้สนใจ

นั่นก็ยืนยันได้ทันทีว่านี่คือโลกที่มีอาร์ติแฟ็คเยอะมาก แต่ฉันก็ไม่ได้โลกสวยขนาดนั้น เพราะว่ามันคงไม่ได้มาง่ายๆ แน่

ถ้าหากได้มาง่ายๆ ทุกๆ ร้อยปีคงมีคนขนอาร์ติแฟ็คลงไปด้วยอย่างมากมหาศาลไปแล้วล่ะ และบางทีความลับในการสร้างอาร์ติแฟ็คอาจจะอยู่บนโลกนี้ด้วย

แต่ว่าก็นั่นแหละฉันหมายถึงว่ามันคงอันตรายมากๆ ในการหาอาร์ติแฟ็คดังนั้นหากเสี่ยงชีวิตในโลกที่ไม่รู้จักเพื่อเอาอาร์ติแฟ็คนี่…

มันคือวิธีของคนบ้าชัดๆ … มันเสี่ยงเกินไป..แต่ว่านะมีคำพูดเคยบอกเอาไว้ว่า หากไม่ยอมเสี่ยงทำอะไรเลยก็คงไม่ได้อะไรตอบแทน!

ดังนั้นฉันจะทำแน่ๆ แถมเมื่อสำเร็จฉันอาจจะได้วิธีป้องกันตัวเพิ่มก็ได้ แม้มันจะอันตรายก็ตามที แต่เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยมากกว่าเดิมหลายเท่า ฉันก็พร้อมทำ

ฉันตื่นเต้นจนออกนอกหน้าทำเอาคนข้างๆ มองมาที่ฉันด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนที่ฉันจะเรียกสติกลับคืนมา

“อืม… เรื่องนั้นได้ฟังมาแล้ว แล้วสิ่งที่ต้องการให้ช่วยคืออะไร”

ฉันไม่ลืมที่จะทำท่าทางเหมือนกับรู้มาก่อนแล้ว ก็นะหากอีกฝ่ายรู้ว่าฉันไม่รู้เรื่องที่ว่าต้องไปช่วยพวกเขาก่อนถึงจะได้วิธีไปหาอาร์ติแฟ็คมา

พวกเขาอาจจะเพิ่มเงื่อนไขมาเพื่อหลอกฉันก็ได้เนี่ยสิ ดังนั้นฉันจึงต้องตีหน้านิ่งไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยและความสงบนิ่งในแต่ละสถานการณ์

“เฮ้อ.. อันที่จริงก็ไม่ยากอะไรนักหรอก ข้าอยากให้พวกท่านพักอยู่นี่สักคืนน่ะ”

ฉันตกใจกับคำขอของอีกฝ่าย ในขณะที่กำลังงุนงงนั้นเจ้าตัวก็รีบอธิบายต่อทันทีว่า

“คือจริงๆ แล้ว เมืองของข้าน่ะเป็นเมืองท่องเที่ยวน่ะสิ..แต่ว่าช่วงนี้น่ะนักท่องเที่ยวไม่ค่อยมีเลย เฮ้อออ”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจอีกรอบ แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันต้องพักอยู่ที่นี่สักคืนล่ะ นั่นแหละคือสิ่งที่สงสัย และเหมือนเจ้าตัวจะอธิบายขึ้นมาพอดีว่า

“คือข้าอยากให้พวกท่านเที่ยวชมไปทั่วทั้งเมืองแล้วก็ช่วยนำเอาข่าวนี้ไปบอกให้คนอื่นว่าเมืองเรามีอะไรบ้าง ยังไงซะพวกท่านเองก็คงจะออกเดินทางกันอยู่แล้ว”

อ้อ แบบนี้นี่เองอยากจะให้ฉันรีวิวเมืองให้อะไรแบบนี้สินะว่า เมืองเราดีแบบนั้นแบบนี้สินะ แต่ว่าเอาจริงๆ เดินเที่ยวตอนนี้ก็รีบออกไปน่าจะได้นะ

เพราะฉันเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เพราะกลัวเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นด้วยสิ อันที่จริงแค่ให้พวกฉันโกหกไปว่ามีอะไรดีบ้าง

ก็น่าจะได้แล้วนี่ จำเป็นต้องทัวร์เมืองขนาดนั้นเหรอ เขาเหมือนเห็นความคิดฉันเขาเลยพูดพลางถอนหายใจว่า

“การเดินทางยามกลางคืนในที่แห่งนี้ค่อนข้างอันตรายน่ะสิ เพราะมอนสเตอร์มันจะแข็งแกร่งขึ้น แล้วข้าเองก็ไม่อยากหลอกลวงลูกค้านักท่องเที่ยวที่สนใจด้วย ดังนั้นข้าเลยอยากให้พวกท่านทั้งสองเห็นกับตาด้วยตัวเองน่ะ”

ฉันฟังอยู่ก็เงียบคิด เอาจริงๆ การเดินทางตอนกลางคืนอันตราย แต่ฉันว่ามนุษย์อันตรายกว่ามอนสเตอร์อีกน่ะนะ

แต่ว่าเพราะงานนี้ทำแล้วมันได้ของตอบแทนที่ค่อนข้างมากมหาศาล ดังนั้นการที่พักอยู่นี่คืนหนึ่งก็น่าจะคุ้มค่าแล้วล่ะ

อีกอย่างอีกฝ่ายไม่ได้ส่งไปตายแน่ๆ แค่บอกให้เราเที่ยวให้สนุกเท่านั้นเอง ฉันกังวลอยู่มากพอสมควรแต่ว่าเมื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าที่ว่า

ออกไปเสี่ยงโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ กับการที่พักผ่อนแต่ต้องระวังตัวและมีของตอบแทนคืออาร์ติแฟ็คหายากที่มีไม่กี่ชิ้นบนโลก..

ฉันขอเลือกอย่างหลัง ฉันพยักหน้าตอบ

“เข้าใจแล้ว..”

สายตาของเจ้าเมืองหันไปหาทสึรุ ซึ่งทสึรุเองก็พยักหน้า ในตอนที่ฉันหลับตาพักผ่อนเพราะใช้ความคิดหนักจากการมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก

ทั้งกังวลและต้องระวังรอบด้านตลอดเวลา มันหนักจนถึงขั้นทำให้ฉันรู้สึกเครียดขึ้นมา แต่ว่าฉันจะอ่อนข้อให้กับโลกที่โหดร้ายนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

……..

[เลทิเซียอายมีจริงงั้นหรือ ? – ใครสักคน]

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท