บทที่ 72 – แผนการ
ตกดึกยามราตรี ดวลจันทร์แขวนอยู่เหนือฟากฟ้า กลางคลุมโปงแต่ถ้าหากมองดีๆ ก็จะพบว่าแสงจันทร์หรือดวงดาวคือภาพสะท้อนจากอาร์ติแฟ็คประเภทหนึ่งเท่านั้น
ในห้องนอนของเลทิเซียและทสึรุทั้งสองนอนหลับสนิทไม่ไหวติง ผ้าห่มคลุมโปงปิดตั้งแต่หัวยันเท้า
พวกเธอทั้งสองหลับสนิทเหมือนโดนกล่อมนอนตอนยังเด็ก อาจจะเพราะความเพลียของทั้งสองที่เดินทั้งวันเลยอาจจะทำให้หลับเป็นตายแบบนี้
เอาเข้าจริง หากมีคนเก่งๆ หน่อยคงรู้ว่าแม้เวลาเลทิเซียหลับเธอจะแผ่คลื่นการรับรู้ออกมาโดยไม่รู้ตัวเป็นเหมือนสัญชาตญาณแต่เด็ก
แม้แต่เจ้าตัวยังไม่สังเกต และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเลทิเซียไวต่อสิ่งรอบข้าง เพราะสัญชาตญาณของเธอมันทำงานตลอดเวลา
นั่นจึงเป็นคำอธิบายที่ชัดเจนที่สุดในตอนที่อันน่าจู่โจมเลทิเซียตอนกลางคืน ทั้งๆ ที่เลทิเซียควรจะหลับลึกแต่กลับรู้สึกตัว
ส่วนเหตุผลที่อันน่าไม่โดนกับดักเลทิเซีย คำตอบก็เพราะเธอระวังตัวและเงียบที่สุด แม้แต่อุปกรณ์เวทมนตร์ของเลทิเซียยังไม่ทำงานเลย
แต่ตัวเลทิเซียกลับรู้สึกตัวไวกว่าอุปกรณ์เวทมนตร์ซะอีก อาจจะเพราะมีบรรทัดฐานการมองโลกในแง่ดีต่ำกว่าคนอื่น
ร่างกายเลยเกิดสัญชาตญาณแบบใหม่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละ แต่ที่น่าแปลกใจคือตั้งแต่มายังที่แห่งนี้สัญชาตญาณนั้นหายหมดสิ้น
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเลทิเซียถึงรู้สึกอันตรายมากกว่าปกติ เป็นเพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอดของเธอหายไปนั่นแหละ
แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้จริงแท้ขนาดไหน หรือเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าเกรงว่าแม้แต่เลทิเซียก็ไม่ทราบนอกจากจะมีผู้เก่งกาจจริงๆ มองเลทิเซียอยู่
ความมืดค่อยๆ คืบคลานแสงตะวันเริ่มที่จะหมองมัวเพราะเมฆบดบังราวกับกำลังจะเกิดฝนตกพายุเข้า
ในห้องแห่งหนึ่งภายในคฤหาสน์เจ้าเมือง มีร่างของเจ้าเมืองนั่งอยู่ ในขณะเดียวกันข้างๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่
เธอคือลูกสาวของเจ้าเมือง เธอมีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี เป็นลูกสาวสุดที่รักของเจ้าเมืองอัลฟี่เลยก็ว่าได้ อันที่จริงเธอคือคนที่สวมชุดเมดเสริมชาให้เลทิเซียเมื่อตอนเช้า
“เมล.. ถึงเวลาแล้ว..”
“ค่ะ ท่านพ่อ”
เมลยิ้มออกมาพร้อมกับตอบพ่อของตัวเอง ในขณะที่เธอเองก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาก่อนจะถามออกมา
“แต่ว่า ทำแบบนี้มันจะได้ผลจริงๆ เหรอท่านพ่อ”
“ได้ผลอย่างแน่นอน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เราที่รู้นั่นหมายความว่าต้องเคยมีคนลองทำและสำเร็จแล้วถึงไม่ได้มาแก้ข่าวยังไงล่ะ”
เจ้าเมืองอัลฟี่กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ เมลจึงพยักหน้าตอบแต่เธอคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นมาอีกด้วยความไม่มั่นใจ
“แต่ว่าคนพวกนั้นจะเป็นคนที่มาจาก ‘ด้านนอก’ จริงๆ เหรอท่านพ่อ ท่านพ่อก็รู้ว่าที่นี่น่ะมีอาร์ติแฟ็คเคลื่อนย้ายข้ามมิติเยอะแยะ เมืองอื่นอาจจะมาหลอกล้อเราได้นะ”
เธอพูดถึงจุดนี้ ก็หยุดไปพักหนึ่ง สิ่งที่เธอพูดนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย การจะหลอกว่าจริงๆ แล้วเป็นผู้มาจากด้านนอก โดยอาศัยช่วงเวลาที่คนด้านนอกถูกดึงเข้ามา
แถมหากเป็นคนจากต่างเมืองละก็ หากทำอะไรพวกมันสงครามได้ปะทุแน่ๆ เพราะพวกมันเองก็คงหวังแบบนั้น
“หากพวกมันหลอกให้เราตายใจ ฆ่าคนของพวกมันทิ้งเพื่อที่จะก่อสงครามละก็ เมืองของเราไม่ไหวแน่นะท่านพ่อ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ดูจากรอบตัวมันแล้วก็รู้ทันทีเลยล่ะ ง่ายดายจะตายไป!”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ”
“นอกจากนี้…”
มุมปากของเจ้าเมืองอัลฟี่ยกยิ้มขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงชั่วร้าย ทำเอาเมลที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นถึงกับอึ้งเล็กน้อย
แล้วเจ้าเมืองอัลฟี่ก็ได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองคาดเดาขึ้นมาทันทีว่า ตั้งแต่วินาทีที่พวกเลทิเซียกับทสึรุเหยียบมาบนโลกนี้
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย จากชุดลำลองที่พวกมันใส่ แต่ทว่าครั้งก่อนพวกมันไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ แต่เป็นการเตรียมตัวแบบ และอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ซึ่งต่างจากตอนนี้ที่พวกมันมีแค่สองคนเท่านั้น แถมยังไม่ได้เตรียมตัวอะไร และจากคำถามแรกที่อัลฟี่ได้ถามเลทิเซียคือ ‘ท่านคือผู้ค้นหา?’
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกหลังจากที่นิ่งไปก็คือความงุนงง สิ่งนั้นไม่สามารถหลอดพ้นจากสายตาของเฒ่าหัวงูอย่างอัลฟี่ได้
เขาคาดเดาได้ทันทีว่าโลกอีกฝั่งนั้นต้องเกิดปัญหาบางอย่าง แต่ว่าปัญหาอะไรล่ะเพราะชิ้นส่วนมิติแห่งนี้นั้นจะเปิดออกทุกร้อยปีเวลาจะเปะเสมอไม่คลาดเคลื่อน
และไม่มีทางที่พวกนั้นจะปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ด้วย.. บางทีเวลาของโลกทางฝั่งนั้นคงไหลคลาดเคลื่อนทำให้มันเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนด
และจากท่าทางของเด็กพวกนั้นแล้วคงถูกปลูกฝังมาว่าให้เป็นคนขี้ระวังมาตั้งแต่แรก แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่แต่ก็พยายามจะถือไพ่เหนือกว่าอัลฟี่
แน่นอนว่าอัลฟี่มองออกถึงเรื่องนั้นเช่นกัน ส่วนเรื่องที่โกหกชื่อที่เขาพูดออกไปไม่ใช่เพราะอยากให้ตัวเองถูกสงสัยมากกว่าเดิม
แต่เพราะดูท่าทีและวัดระดับประสาทของศัตรู แม้จะเป็นเด็กเฒ่าหัวงูก็ไม่วางใจ เพราะแผนนี้ของมันวางไว้มานานแล้วให้พลาดไม่ได้
และผลที่ออกมาคือทางฝั่งนั้นเด็กยังไงก็เป็นเด็ก ด้วยเหตุนี้อัลฟี่เลยบอกไปว่าชื่อน่ะมีติดอยู่ที่ชุดลำลองมันจะทำให้ความระแวงในตัวอีกฝ่ายลดลง
ด้วยความที่อีกฝ่ายระแวงตัวอัลฟี่อยู่แล้วเพราะเป็นคนแปลกหน้า อัลฟี่เลยใช้โอกาสที่อีกฝ่ายตื่นตัวในการบอกว่าก็มันเขียนบอกอยู่ที่อก
ทางด้านจิตวิทยา เด็กจะรู้สึกอายและทำอะไรไม่ถูก ด้วยเหตุนี้ความระแวงจะลดลงเพราะจะคิดว่าตัวเองระวังตัวมากเกินไปจนเกินเหตุ
เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวเลยก็ว่าได้ พอมาถึงคฤหาสน์เจ้าเมืองอัลฟี่ก็ไม่พูดหัวข้อเพิ่มเติมว่ามาที่นี่ได้ยังไง
นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาคิดว่าเด็กพวกนี้รู้เรื่องแต่แรกแล้ว แต่เพราะว่าจะทดสอบดูว่าปฏิกิริยาของเลทิเซียกับทสึรุจะเป็นยังไง
ปรากฏคือพวกเขาแสร้งทำเป็นรู้อยู่แล้ว ที่เจ้าเมืองอัลฟี่รู้ก็เป็นเพราะเขามองเห็นถึงความสับสนและพยายามข่มอีกฝ่ายแบบเด็กๆ ในตัวจองสองคนนี้
และเขาก็ได้บทสรุปที่ชัดเจนว่า บางทีสองคนนี้น่ะอาจจะรู้อยู่แบ้วว่าต้องมาโลกนี้ แต่มันเร็วกว่ากำหนด ดังนั้นเวลาในโลกนั้นคงคลาดเคลื่อนจากปกติไม่มากนัก
นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าแม้อีกฝ่ายจะระแวงมากแค่ไหน แต่ก็เป็นแค่ความระแวงที่เหมือนจะไร้แก่นสารใดๆ
นอกจากข้อสงสัยในหัว กับความรู้สึกที่ต้องการจะถือไพ่เหนือกว่าจนชัดเจนว่า ‘เรื่องนี้รู้มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ!’ อะไรแบบนั้น
อัลฟี่เองก็ทราบถึงความล้ำค่าของอาร์ติแฟ็คในโลกอีกฝั่ง เลยเอามาเป็นตัวล่อหลอกเด็ก จะฝึกฝนมาดียังไง แต่ถ้ามีขนมตรงหน้าเด็กมันก็กล้าทำอยู่ดี
และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดเบื้องต้น ก็เพียงพอสำหรับการที่จะลอบฆ่าอีกฝ่ายยามวิกาลแล้ว อีกทั้งยังพิสูจน์ชัดแน่นว่า อีกฝ่ายมาจากอีกฝั่งแน่นอน!
แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกแห่งนี้มีอะไรแตกต่างจากปกติของพวกมันไหม ทั้งยังมีวุฒิภาวะในการตัดสินใจต่ำ
มันจึงถูกชักจูงได้ง่าย ทุกอย่างก็เต้นบนฝ่ามือของอัลฟี่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ การเดินทัวร์เมืองก็แค่ทำให้อีกฝ่ายเพลียเท่านั้น
แม้จะอันตรายที่ว่าอาจจะถูกชาวบ้านคนอื่นฆ่าก็เถอะนะ แต่ว่าด้วยความระแวงที่มีระดับหนึ่ง อัลฟี่เลยตัดสินใจให้พวกเขาทัวร์เมือง
เพราะคิดว่าถ้าไม่ใช้แผนการคงฆ่าเด็กพวกนี้ไม่ได้ เอาจริงๆ เด็กพวกนี้มีความระวังที่ค่อนข้างน่าตกใจกว่าปกติ เพราะปกติส่วนมากจะมั่นใจในตัวเองมาก
แต่สองคนนี้กลับเน้นไปที่การป้องกันตัว หากไม่พยายามอ่านความคิดเหล่านี้ ผู้นำอัลฟี่เองก็คงแพ้ไม่เป็นท่าเหมือนกัน
ดังนั้นการที่จะถูกชาวเมืองฆ่าหากไม่ใช้เวทใหญ่ๆ หรือมีวิชาดาบสูงส่งก็บอบฆ่าไม่ได้หรอก ไม่สิ เผลอๆ อาจสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพราะวิชาการต่อสู้โลกฝั่งนั้นค่อนข้างพัฒนามาก… ทุกคนเองก็รักตัวกลัวตายกัน ดังนั้นไม่มีคนโจมตีเด็กสองคนนั้นตัดหน้าพวกอัลฟี่แน่…
ใช่แล้ว.. เหตุผลทั้งหมดคือ เพื่อที่จะออกไปยังโลกภายนอกถึงต้องฆ่าเลทิเซียและทสึรุเพื่อรับสิทธิ์นั้นมายังไงล่ะ
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า สิทธิ์ถือครองที่จะออกไปยังโลกภายนอกได้นั้น.. มีแค่ต้องฆ่าเอาสถานะตัวตนของอีกฝ่ายที่อยู่อีกโลกมาเป็นของตน
ทำแบบนั้นถึงจะสามารถมีตัวตนบนโลกฝั่งนั้นได้ อัลฟี่กับเมลก็ไม่อยากติดอยู่ในคุกแบบนี้อีกต่อไป เพราะพวกเขาต้องการออกไป!
……….
ในป่าแห่งหนึ่งใกล้ๆ เมือง มีหมาตัวหนึ่งนอนตายอยู่ในป่า… ที่ข้างๆ ศพของมันมีถังขยะล้มอยู่และใกล้ๆ ฝาถัง มีไม้เสียบเนื้อย่างอยู่..
และบางส่วนถูกกัดโดยหมาตัวนี้… ไม่นานร่างมันก็เริ่มที่จะเน่าเปื่อยเนื้อหนังเหม็นเน่าลอยฟุ้ง.. ก่อนที่ร่างกายจะไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูก….