บทที่ 81 – หลบหนี
ว่าแบบนั้นเลทิเซียก็ก้มหน้าลง… แม้พี่สาวจะบอกแบบนั้นแล้วแต่ตัวเธอเองรู้ดีที่สุด เอลน่าเห็นท่าทางแบบนั้นก็ตบที่หลังเข้าให้
“ไม่ต้องไปคิดมาก ยังไงซะพี่ก็แค่คนที่ตายไปแล้ว ส่วนเราน่ะยังมีชีวิตอยู่ตรงนั้นนะ ดังนั้นเราไม่ควรมานั่งคิดว่า ‘ควรมีชีวิตอยู่หรือไม่’ หรอก”
“….”
“ที่สำคัญสิ่งที่เราต้องคิดคือ ‘จะมีชีวิตอยู่ให้ถึงพรุ่งนี้ยังไง’ นั่นมันเรื่องถนัดของเราเลยไม่ใช่หรือไง?!”
“….”
“ไปได้แล้ว เดินหน้าต่อและมีชีวิตต่อไป.. ถือว่านี่เป็นคำขอของพี่แล้วกัน”
ว่าแล้วเอลน่าก็ผลักหลังเลทิเซียเบาๆ ก่อนที่ขาของเลทิเซียจะก้าวออกไปข้างหน้า เลทิเซียตกใจก่อนจะหันหน้ากลับไป
“พี่!!”
ทว่าพี่สาวของเธอ เอลน่ากับค่อยๆ จางหายไปเลทิเซียรู้สึกเจ็บปวดข้างในหน้าอก แต่ทว่าเธอกลับไม่ได้งอแงเหมือนเด็กแล้ว
เอลน่ายิ้มให้กับเลทิเซียที่พยายามกลั้นน้ำตาที่ปริ่มอยู่เต็มตา เลทิเซียค่อยๆ เช็ดน้ำตาและเงยหน้าขึ้น
“พี่แล้วพวกเราจะได้เจอกันอีกไหม..”
“เจออีกน่ะเหรอ.. พูดอะไรของเรากัน พี่ก็อยู่กับเราเสมอไม่ใช่หรือยังไง อยู่ตรงนี้น่ะนะ”
นิ้วเธอสัมผัสมาที่หน้าอกของเลทิเซีย แม้ร่างกายส่วนล่างจะเริ่มจางหายไปแล้วก็ตาม สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นแค่ของปลอม
ทว่าสำหรับเลทิเซียจะของปลอมหรือไม่ก็ช่าง เพราะว่าของปลอมสำหรับเลทิเซียนั้นมีแค่โลกใบนี้ ถ้าหากพี่สาวของเธอเป็นของปลอม
ก็หมายความว่าแม้แต่ตัวเธอเองก็เป็นของปลอมในสายตาตัวเองนั่นแหละ เพราะภาพของเอลน่าในสายตาเลทิเซียคือคนที่สำคัญที่สุด
มือของเลทิเซียจับมือของเอลน่าที่จับอยู่หน้าอกของเธอเอง เธอก้มหน้าลงมือสองข้างกำมือของเอลน่าไว้แน่น
“พี่….”
“อย่าร้องสิ น้องของพี่น่ะโตแล้วนะ..”
เธอพูดขึ้นพร้อมกับใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาของเลทิเซียที่ไหลลงมาบนแก้มเลทิเซียจึงเงยหน้าขึ้นมาพบว่าใบหน้าของเอลน่าอยู่ห่างไม่กี่คืบเท่านั้น
แม้ร่างกายของเธอจะเริ่มกระจัดกระจายหายไปแล้ว แต่ในตอนนั้นเองใบหน้าของเอลน่าก็ขยับเข้ามาประกบริมฝีปากกับเลทิเซีย
เลทิเซียร่างกายสั่นเล็กร้อย ยกมือสองข้างพยายามจะกอดเอลน่าเอาไว้ แต่ทว่าร่างกายเอลน่าก็สลายไปจนหมดเสียแล้ว
ทิ้งไว้เพียงเสียงอันอ่อนโยน..
“พี่อยู่กับเราเสมอ… หากเรางอแงเป็นเด็กอีกละก็.. พี่จะออกมาตีก้นเราเองคอยดูเถอะ”
“….พี่…”
เลทิเซียไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้างึกๆ และกำหมัดวางลงหน้าอก
“พี่… ฉันจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง”
……
ดวงตาของฉันเปิดขึ้น.. ฉัน เลทิเซีย ตอนนี้ฉันน่ะได้ตาสว่างแล้ว เพราะพี่สาวแท้ๆ ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ
และค่อยๆ ลุกขึ้น พอมีกำลังใจก็เริ่มที่จะมีเรี่ยวแรงกลับมาบ้างแล้ว แต่ในตอนนั้นเองสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์พลันสัมผัสถึงบางอย่าง
ด้วยความตกใจ ฉันดีดตัวหลบออกด้านข้างสุดแรงจนหลังกระแทกใส่ต้นไม้ข้างๆ พริบตานั้นจุดที่ฉันเคยอยู่ก็เกิดเสียง
“ปัง!!”
แผ่นดินกลายเป็นรอยลึกของกรงเล็บบางอย่าง สีหน้าของฉันเปลี่ยนสีในทันที มอนสเตอร์แน่ๆ ถ้าพวกมันมีทักษะอะไรแบบนี้
แถมฉันยังไม่สบายอีกด้วย..ถึงจะยังไม่รู้ว่าไม่สลายเพราะอะไรเลยรักษาไม่ได้ แต่คิดว่าน่าจะเป็นไข้
แต่ในโลกนี้ไข้มันมีหลากหลายชนิดจะตาย ฉันเองก็ไม่มั่นใจ ทางที่ดีคือต้องรีบหลบหนีจากสถานการณ์แล้วไปตรวจสอบว่าฉันเป็นอะไรกันแน่
เพราะหากทำตอนนี้คงโดนมันงาบแน่ๆ ฉันพยายามลุกขึ้นแต่หลังกลับรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมา … รู้สึกว่าเมื่อกี้จะโดนแรงกระแทกของลมทำให้ฉันกระเด็นใส่ต้นไม้แรงมาก
“บ้าเอ๊ย!”
ฉันร้องออกมาและพยายามดันร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงเพราะวิ่งทั้งวัน บวกกับอุณหภูมิแถวนี้ค่อนข้างต่ำมากพอสมควร
ซึ่งแต่เดิมฉันก็เป็นไข้ จึงไม่แปลกที่ฉันตอนนี้จะรู้สึก เวียนศีรษะอย่างมาก ฉันกัดฟันหยิบเถาวัลย์พันไม่ออกมาและปาไปด้านหลัง
ก่อนจะทำให้มันทำงาน ในชั่วพริบตามันพลันแตกหน่อเป็นไม้ขนาดใหญ่ยักษ์จนน่ากลัว ทำเอาฉันถึงกับตะลึง
“ขนาดนั่นมัน… อะไรกัน?!”
แต่ว่าแม้จะตกใจฉันก็กัดฟันและลุกขึ้นรีบวิ่งไปทางตรงกันข้ามจากด้านหลังที่มอนสเตอร์โจมตีมาด้วยความเร็วสูงสุดที่ฉันทำได้ตอนนี้
ภาพตรงหน้าของฉันมันค่อนข้างวุ่นวาย ราวกับแผ่นดินเคลื่อนที่ได้ ต้นไม้ใช้วิชาแยกร่าง หัวรู้สึกเวียนหัวและมึนมาก
แต่ก็วิ่งต่อไป จนวิ่งไปชนต้นไม้ทำให้ฉันล้มลงไปนอนกองกับพื้น หูแนบดิน..
“บ้าเอ๊ยๆ!”
ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากคำว่าพื้นดิน เพราะทันทีที่หูแนบดินฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนที่มาที่ฉัน
จากเสียงของฝีเท้า ดูท่าจะเป็นมอนสเตอร์ประเภทเดินสี่ขา.. แถมไม่ได้มาตัวเดียวด้วย.. มันมาเป็นฝูงแม้แต่ฉันก็ยังแยกไม่ออกว่ามันมากี่ตัวกันแน่
พวกมันต้องเป็นมอนสเตอร์ประเภทหมาป่าแน่ๆ แต่ว่าถ้าจะให้สู้เยอะขนาดนั้นในสภาพร่างกายแบบนี้ฉันไม่ไหวแน่!
ฉันกัดฟันหยิบยาเม็ดเถาวัลย์พันไม้ออกมาทั้งหมด และอาวุธอุปกรณ์วิเศษออกมาโยนวางลง เพื่อเป็นกับดักก่อนจะวิ่งหนีต่อทันที
เสียงตูมตาม ปะทะกันดังขึ้นมาจากด้านหลังฝูงหมาป่าคงโดนไปเยอะไม่น้อย..แต่ว่ามันก็ยังวิ่งตามมาเหมือนโกรธแค้นฉัน
“มันมีกี่ตัวกันแน่เนี่ย?!”
ฉันหน้าเริ่มมืด ทุกอย่างเริ่มเบลอยิ่งกว่าเดิม บรรยากาศแถวนี้ไม่รู้ทำไมถึงเย็นมากถึงขนาดนี้กันนะ?
แต่ว่าฉันก็ทยอยโยนยาเถาวัลย์พันไม้ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติออกไปดักหน้า มองไกลๆ ฉันมองขึ้นไปเหนือต้นไม้เห็นหนวดระยางค์ขนาดใหญ่ของเถาวัลย์พันไม้
มันรัดร่างหมาป่าสีดำเหมือนสวมชุดเกราะ แต่ว่าเมื่ออยู่ในเถาวัลย์พันไม้ เกราะที่แข็งแกร่งก็เหมือนจะแตกง่ายเกินไป
ทำไมมันถึงโหดขนาดนี้นะ ก่อนเข้ามาในชิ้นส่วนเวหา.. รู้สึกว่ามันจะเป็นแค่เถาวัลย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังมากขนาดนี้นี่น่า
นั่นคือคำถามที่ฉันสงสัย แต่ยังไงซะมันก็ช่วยฉันได้เยอะกว่าที่คิดไว้ ยาเม็ดสุดท้ายถูกโยนทิ้งออกไป..
ฉันวิ่งหนีสุดชีวิต ภายใต้แสงจันทร์เทียมที่ถูกสร้างขึ้น เสียงฝีเท้าของพวกมันยังดังตามมาไม่หยุด ดวงตาฉันก็เริ่มมืดเบลอมากกว่าเดิม
ในตอนนั้นเอง ฉันก็เห็นชายแดนของป่า เพราะถัดไปก็ไม่มีป่าแล้ว! ฉันจะอาศัยตรงนี้เพื่อหลบหนีจากสายตาพวกมัน
โดยการอาศัยแสงสว่างจากเขตนอกป่า โดยทำให้สายตาพวกมันพร่าและฉันจะใช้โอกาสนั้นใช้เวทปกปิดตัวตน
และหลบหนีออกมาอย่างเงียบๆ แต่ว่าดูเหมือนนี่จะเป็นรังของพวกมันสินะถึงได้ตามไล่ฆ่าฉันถึงขนาดนี้
หรือเพราะพวกมันหิวเนื้อกันแน่ ฉันคิดว่าน่าจะอย่างหลังเพราะมอนสเตอร์ที่ไร้สติสัมปชัญญะบางประเภทนั้น จะดุร้ายมาก
มันจะคอยกินสัตว์ธรรมดาหรือไม่ก็มอนสเตอร์ แม้แต่มนุษย์เอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนถึงไม่ค่อยเข้าใกล้พวกมอนสเตอร์วิปริตเหล่านี้
อย่างไรก็ตามฉันในตอนนี้ได้เข้ามาโดยบังเอิญและไม่รู้เรื่อง นี่มันจะซวยซ้ำซวยซ้อนไปถึงไหนเนี่ย?!
……..