การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 84

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 84 – เงาแห่งศาสตรา

ทางด้านทสึรุ เธอเหมือนเป็นคนที่พึ่งถูกทำลายแสงสว่างในจิตใจไป ความมั่นใจในตัวเองเหมือนพังทลายลงอย่างเงียบๆ

“ทุกอย่าง.. เป็นแค่เรื่องโกหก…”

ยิ่งคิดเธอยิ่งรู้สึกเจ็บปวด แน่นอนว่าทั้งสองต่างก็รู้สึกเจ็บปวดทรมาน แต่ทว่าสำหรับเลทิเซียนั้น เธอมีสิ่งที่ช่วยพยุงจิตใจ

แม้อาจจะเป็นพี่สาวปลอมๆ ที่เป็นจิตสำนึกของเขาสร้างขึ้นมาเอง แต่มันก็บอกชัดว่าอย่างน้อยเลทิเซียก็มีคนในใจ

แต่ต่างกับทสึรุตรงที่เธอไม่มีใคร อันที่จริงเธอมีอยู่ คนคนนั้นก็คือเลทิเซียเอง คนเดียวที่ทำให้ทสึรุมีความสุขในตอนที่พูดด้วย

มีความสุขในตอนที่อยู่ด้วยกัน สนุกสนานทุกครั้งที่ต่อสู้ด้วยกัน ไม่รู้ง่าเป็นตอนไหนที่เธอรู้สึกแบบนี้

อาจจะมองว่าเธอเป็นคนใจอ่อน แต่สำหรับคนที่ไร้ซึ่งที่พักพิงอย่างทสึรุ การปรากฏตัวของเลทิเซียและคำพูดในคืนนั้น มันมีอิทธิพลต่อทสึรุมาก

มากจนเห็นได้ชัดเลย แม้เลทิเซียจะสับสนและเศร้าโศก ทว่าเธอแค่มีความรู้สึกกับทสึรุในตอนที่เที่ยวด้วยกันเท่านั้น

เลทิเซียไม่ได้รู้สึกว่าทสึรุคือตัวตนที่สำคัญกับตัวเองเพียงหนึ่งเดียว ตรงกันข้ามกับทสึรุที่สำหรับเธอแบ้วเลทิเซียเป็นตัวตนที่มีอิทธิพลต่อเธอมาก

นั่นหมายความว่าความเจ็บปวด ความรู้สึกทรมานต่างๆ มากมายของเธอนั้นมีมากกว่าเลทิเซียไม่รู้กี่ขุม

เธอที่เป็นตัวตนอันน่าเศร้า ไม่มีใครรู้จักเธอและไม่เป็นที่จดจำในสายตาของใคร จะว่าไปก็มีคนหนึ่งที่เห็นค่าเธอนั่นคือเลวี่

อย่างไรก็ตามเลวี่กับทสึรุก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เพราะทุกครั้งที่เข้าใกล้เลวี่ ทสึรุรู้ว่ามีเส้นกั้นขนาดใหญ่อยู่ แม้เลวี่จะสนิทกับคนอื่นได้ง่าย

แต่ไม่ได้แปลว่าเธอจะสนิทแบบจริงจังได้กับคนอื่นง่ายเช่นกัน ตรงกันข้ามกับเลทิเซียที่มาสารภาพรักกับเธอ

แม้จะเตรียมใจไว้ว่านั่นคงเป็นเรื่องโกหก แต่สิ่งที่ทำให้เธอช็อกคือเลทิเซียคิดว่าอาหารของเธอมีพิษ

ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดทรมาน ความโดดเดี่ยวเดียวดาย เหมือนสุนัขที่ไร้เจ้าของ การสะอึกสะอื้นที่ไร้เสียงดังออกมาจากปากของเธอ

ราวกับว่าสิ่งที่เธอต้องการจะทำ จะพูดมันถูกสายลมเย็นนี้พัดผ่านจนหายไปจนหมดสิ้น

แต่ว่าเธอก็แข็งแกร่งกว่าเลทิเซียเช่นกัน เธอเติบโตมาในสถานที่ที่ไม่รู้จักและโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีคนที่คอยอยู่ข้างๆ

แม้เลทิเซียจะคิดแบบทสึรุ ทว่าสำหรับเลทิเซียเธอนั้นเพียงแค่สร้างกรอบขึ้นมาเองเท่านั้น เพราะทุกเช้า ทุกคืน จะมีคนคอยอยู่เคียงข้างเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นตอนกินข้าว ตอนฝึก.. ตรงกันข้ามกับทสึรุที่ต้องเข้านอนในห้องที่มืดสนิทด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว

ไม่มีคนนอนอยู่ข้างๆ ไม่มีคนมาปลุกไปรับประทานอาหารเช้า ชีวิตของเลทิเซียที่ปฏิเสธคนทั้งโลกคงเปรียบเหมือนแสงสว่าง

แต่สำหรับทสึรุแล้วคงเป็นความมืดใต้หุบเหว ชีวิตของทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่เลทิเซียกลับเติบโตมาด้วยความหวาดระแวงและวิตกกังวล

ตรงกันข้ามกับทสึรุที่แม้ชีวิตจะตรงกันข้ามกับเลทิเซีย เต็มไปด้วยความลำบาก เธอกลับเติบโตมาด้วยรอยยิ้มเสมอ

แม้ว่าจะไร้เพื่อน และฝึกอย่างหนักแต่เธอกลับมีความหวังในการมีชีวิต ในขณะที่เลทิเซียมีเพียงแต่คำถามว่าทำไมถึงมีชีวิตอยู่

ทั้งๆ ที่พี่ของเธอเหมาะสมกว่า จะพูดก็คือเลทิเซียไม่มีเหตุผลที่มีชีวิตอยู่ ไม่มีเป้าหมายหรือความหวัง เพียงระแวดเช้าระวังค่ำเท่านั้น

ดังนั้นทางด้านจิตใจ ทสึรุนั้นแข็งแกร่งกว่าเลทิเซียมากแม้เลทิเซียจะมีชีวิตมาสองชาติภพแล้วก็ตามที

การเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องเป็นผู้ใหญ่ คำพูดนี้สามารถระบุตัวตนของเลทิเซียที่มีชีวิตสองชาติภพแต่กลับยังต้องรับคำปลอบจากใครสักคนอยู่เลยก็ว่าได้

ทสึรุกัดริมฝีปากเบาๆ และในตอนนั้นเองหมีป่าตัวหนึ่งก็ยืนอยู่ด้านหลังของทสึรุตั้งแต่ตอนไหนแล้วก็ไม่รู้

มันตะโกนดังลั่นทำให้สัตว์เล็กแถวนั้นแตกตื่น ก่อนจะฟาดเท้าของมันลงใส่หัวของทสึรุที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้นแต่ทว่า เธอพยายามที่จะลุกขึ้นและกัดริมฝีปากจนเลือดแทบไหล และเปล่งคำพูดออกมาเบาๆ

“ข้าจะมาสิ้นหวังที่นี่ไม่ได้…”

เธอพูดพึมพำแม้จะรู้สึกเศร้าและเสียใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปทำให้ความรู้สึกนั้นถูกบรรเทาลงไปบ้าง

แต่ว่า… ในตอนนี้เธอไม่มีทางทราบเลยว่าแผลในใจแผลนี้ไม่ได้หายไปไหน.. แต่มันกำลังฉีกกว้างกว่าเดิมทุกวินาที

และอีกไม่นานมันก็จะฉีกออกเป็นแน่..

แต่ยังไงก็ตามแต่ สำหรับเธอแล้วเธอมีความปรารถนาที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้อยู่ด้วย มือของหมีฟาดวืดไปถูกอากาศร่างของทสึรุลอยอยู่เหนือหัวมัน

เพราะเธอไม่มีอาวุธหรือถืออาวุธไม่ได้ แต่ในมือเธอถือแท่งไม้แท่งหนึ่งที่ใช้แทนหอก ขนาดมันยาวกว่าตัวเธอซะอีกและในตอนนั้นเอง

แท่งไม้ในมือก็ฟาดลงใส่หัวของหมีป่าอย่างรุนแรง และปลายไม้ที่ฟาดลงนั้นกลายเป็นเหมือนคมของหอก แยกหัวของหมีป่าออกอย่างง่ายดาย

เลือดสีแดงพุ่งออกจากหัวของมัน ทสึรุหมุนตัวกลางอากาศและยืนบนพื้นอย่างสง่างาม พร้อมกับเช็ดเลือดที่กระเซ็นมาถูกแก้ม

“เพราะว่าข้ายังไม่ได้เจอท่านพ่อกับท่านแม่เลย…”

ผู้ที่บรรลุวิถีแห่งศาสตราวุธระดับสูง ถูกกล่าวว่าเพียงแค่จับอาวุธประเภทนั้นหรือแม้แต่รูปทรงชิ้นนั้น ต่อให้เป็นเพียงแค่เศษไม้ก็สามารถทำให้กลายเป็นอาวุธระดับตำนานได้ มันถูกเรียกว่า ‘เงาแห่งศาสตรา’

โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์หรืออะไรทั้งสิ้น แน่นอนว่าการฝึกวิชาดาบไม่เกี่ยวกับพลังเวทหรืออะไรทั้งสิ้น แต่เพราะแบบนั้นมันเลยมีเงื่อนไขหลายอย่างในการใช้งานเงาแห่งศาสตรา

แต่ขึ้นอยู่กับพรวิเศษแล้วหากมีพรวิเศษนี้จะสามารถฝึกวิชาต่างได้ เช่นโคลเอ้ที่มีพรวิเศษเป็นผู้รู้เห็นที่ไม่ใช่พรสายต่อสู้ก็ตามที

แต่เธอก็มีพรที่จัดอยู่ในระดับสูงทำให้เธอเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับสูงเลยก็ว่าได้.. แต่สำหรับทสึรุ

นอกจากที่พรวิเศษถูกจัดอยู่ในระดับสูงแล้วพรของเธอยังเป็นพรที่เรียกว่า ‘ตำนานแห่งนักรบ’ เป็นพรมี่สนับสนุนการเป็นนักรบ

เรียกได้ว่าหากพูดถึงพรสวรรค์ทสึรุคงยืนอันดับหนึ่งเหนือกว่าตระกูลวินเชนท์ทั้งหมดรวมกันซะอีก

บวกกับการที่เธอฝึกหนักมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเป็นร้อยเท่า ไม่แปลกที่ทสึรุจะใช้เงาแห่งศาสตราได้ด้วยอายุเพียงแค่เท่านี้

และในตอนนั้นเองจู่ๆ ท้องของทสึรุก็ร้องออกมา ด้วยความที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว

เธอหยิบเอาอาหารแห้งที่เลทิเซียทำไว้ให้ออกมา.. พอกัดกินก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แน่ แต่อาจจะเพราะมันหิวมันเลยทำให้เธอรู้สึกว่าหิวมาก

เธอเลยนึกถึงเลทิเซียขึ้นมาอีกครั้งทำให้เธอรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีก ครั้ง เหมือนคนถูกหักอกไม่มีผิด

“เฮ้อ.. ปานนี้แล้วเธอจะทำอะไรอยู่นะ”

ฟ้าเองก็เริ่มมืดแล้วในขณะที่ทสึรุกำลังจะจุดไฟตามความเคยชินแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเลทิเซียเคยบอกว่า

“ชู่ว… อย่าจุดไฟตอนกลางคืนในป่าเด็ดขาด มันมีพวกอสูรที่ถูกดึงดูดด้วยแสงไฟอยู่”

พอนึกได้แบบนั้น ทสึรุก็เลิกจุดไฟ แต่ไม่รู้ทำไมก็รู้สึกท้อแท้จนต้องถอนหายใจออกมาอีก

“เฮ้ออออ”

“เอาเถอะ… ก่อนอื่นก็ต้องสร้างอาวุธดีๆ ก่อน..”

เธอคิดแบบนั้นและเดินไปหาต้นไม้ต้นหนึ่ง แม้เธอจะใช้เงาศาสตราได้แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม อันที่จริงเจ้าตัวไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าเมื่อกี้ตัวเองได้ทำเรื่องเหลือเชื่อไป

เพราะเหตุนี้เธอจึงจะต้องต่อสู้และการต่อสู้ก็ต้องมีอาวุธที่สามารถสังหารและหาอาหารได้ ทำให้ทสึรุใช้เวทมนตร์

แต่เพราะเธอไม่มีพรสวรรค์เรื่องเวทมนตร์แม้เพียงนิดเลย ทำให้เวทมนตร์ที่เธอกำลังจะใช้เป็นแค่เวทมนตร์ในการสร้างหอกไม้จากต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้า

แต่ทว่าในตอนนั้นเองพอใช้เวทมนตร์ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสูญหายไปกับสายลมดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้น

ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจพองโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ลางสังหรณ์ใจไม่ดีนั้นไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นเรื่องของเลทิเซีย!

ตั้งแต่มายังโลกในชิ้นส่วนเวหานี้เลทิเซียไม่เคยใช้เวทมนตร์เลย เธอใช้แค่อุปกรณ์วิเศษช่วย

นั่นหมายความว่าเธอยังไม่ทราบเรื่องนี้… และเลทิเซียนั้นคือผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ที่อยู่ระดับต้นๆ ของชั้นปี…

“เลทิเซีย!”

หากไร้เวทมนตร์ละก็ จอมเวทหรือผู้ใช้เวทมนตร์ก็เหมือนถูกตัดแขนตัดขา เหมือนนักรบที่ไร้อาวุธ หมายความว่าในโลกที่มีศัตรูอยู่รอบด้านแม้แต่มนุษย์แบบนี้…

ดวงตาของทสึรุแทบแข็งขึ้นก่อนจะ มุ่งหน้าไปทางที่เลทิเซียวิ่งจากไปทันที!

แม้ว่าเธอจะรู้สึกเจ็บปวดเพราะเลทิเซียก็ตาม.. แต่ในตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าหากเลทิเซียเป็นอะไรไป.. เธอก็คงรู้สึกเจ็บปวดไปชั่วชีวิตเป็นแน่

จะมามัวเสียใจอะไรกัน สำหรับเธอแล้ว เลทิเซียก็เป็นตัวตนที่สูงเกินกว่าที่เธอจะสัมผัสได้มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไง?!

นั่นคือสิ่งที่ทสึรุคิดขึ้นมาในเสี้ยวพริบตาที่เริ่มตามเลทิเซียไป!

ความเร็วของเธอนั้นสูงกว่าเลทิเซียตอนไม่ใช้เวทมนตร์แบบเทียบไม่ติด!

……….

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท