การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 100

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 100 – หนึ่งในอนันต์

ในที่ไหนสักแห่ง.. ไม่รู้ว่าเป็นโลกไหนดาวไหนหรือช่วงเวลาใด อาจจะอยู่นอกจักรวาลหรือห่างออกไปในกาแล็กซีไหนสักกาแล็กซี

เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นและไม่มีใครทราบถึง หรือบางทีทุกอย่างในที่แห่งนี้อาจจะเป็นเพียงแค่โลกที่ไม่สามารถแตะต้องหรือรับรู้ได้

เป็นเพียงแค่จินตภาพเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครทราบ.. รวมถึงตัวฉันเองก็เช่นกัน.. ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร

ทำไมมาอยู่ในที่แห่งนี้ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในที่ไหนสักแห่งไร้จุดหมายและปลายทาง..

มีเพียงสิ่งเดียวที่ฉันรู้คือ.. ฉันกำลังกลัว.. ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่

แต่ฉันไม่กล้าที่จะลุกขึ้นยืน.. ไม่กล้าที่จะลืมตา.. ฉันเพียงกอดเข่าและปล่อยตัวเองลอยไปอย่างไร้จุดหมาย

ฉันจำได้อยู่สิ่งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันฉันก็กลัว.. บางทีฉันอาจจะกลัวจนนึกไม่ออกแต่ก็ยังฝังอยู่ในจิตใจของฉัน

มันเป็นเพียงแค่ชื่อชื่อหนึ่งที่สลัดออกจากหัวไม่ได้แม้จะอยู่ในสภาพลืมสิ้นทุกสิ่ง และบางทีฉันอาจจะกลัวสิ่งนี้อยู่หรืออาจจะไม่ใช่

ไม่สิ.. มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นแม้ฉันจะจำได้ แต่ฉันก็ไม่รู้จัก ซึ่งไม่ว่าจะยังไงสุดท้ายแล้วฉันจะไม่มีทางพูดถึงมัน

และก็ยังมีเสียงใครสักคนก้องอยู่ในหัวของฉัน.. แต่มันเบาบาง.. มันเบาบางจนเกินไปฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง..

ไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว.. อาจจะเป็นหลายล้านปี หลายหมื่นปี.. หรืออาจจะเพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น

ฉันระบุไม่ได้.. เพราะฉันรู้สึกถึงความไร้จุดสิ้นสุดไม่มีสิ่งอื่นนอกจากความไร้จุดสิ้นสุดที่วิ่งผ่านร่าง

ฉัน..เป็นใครกันนะ.. นั่นคือคำถามที่ฉันสงสัย.. และฉันกำลังกลัว ฉันกลัวอะไรกันแน่ นั่นคือปัญหาที่ฉันต้องไข

เพียงแต่ว่าฉันกลับไม่มีความกล้านั้น.. และไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ฉันสับสน ฉันไม่เข้าใจ

ฉันอยากจะรู้.. ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อฉันอยากจะรู้อยากจะเข้าใจอะไรสักอย่าง ความกลัวในใจของฉันมันก็หายไป

เหมือนกับว่าต่อให้ตายก็ต้องรู้ให้ได้.. ฉันไม่รู้ว่าความตายคืออะไรเพียงแต่มันวิ่งแล่นเข้ามาในหัวก็เท่านั้นเอง

เวลาก็ยังคงไหลผ่านพ้นไป. จนในที่สุดฉันก็ไม่อาจจะทนไหวอีกต่อไป ฉันต้องการรู้ว่าตัวเองเป็นใครและกลัวอะไรกันแน่

ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น.. แต่มันกลับยากกว่าที่ฉันคิด อาจจะเป็นเพราะความกลัวฉันถึงได้ไม่สามารถที่จะลืมตา

กลัวในสิ่งที่ตัวเองอาจจะต้องเห็นในตอนนี้.. ฉันไม่อยากเจอมัน.. แต่คนที่กลัวแม้จะเป็นฉันแต่ก็ไม่ใช่ฉันในเวลาเดียวกัน

เพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองกลัวอะไรกันแน่ มีเหตุผลอะไรที่ต้องกลัว ในขณะที่ฉันตอนนี้ต้องการที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร

ฉันยังคงใช้ความพยายามในการลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก.. ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเป็นปีหรือแค่พริบตาเดียว.. ฉันลืมตาขึ้น

ดวงตาของฉันพร่ามัวไปกับทุกอย่างที่เห็น ทุกอย่างในสายตาของฉันมีเพียงความว่างเปล่าสีขาวโพลน ไม่มีอะไรนอกจากสีขาวนี้ในขอบเขตของสายตา

ฉันมองขึ้นไปด้านบน แต่ด้านบนไม่เหมือนด้านบน ไม่มีด้านบนหรือซ้ายขวาล่างฉันรู้แค่ว่าฉันเงยหน้าขึ้นไป

ฉันมองเห็นเหมือนบางอย่างกระเพื่อมไหว ราวกับว่าที่แห่งนี้เป็นบ่อน้ำสีขาวโพลนขนาดใหญ่.. ฉันต้องการที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันเป็นจริงหรือเปล่า

แต่ฉันเคลื่อนที่ไม่ได้.. เพราะที่นี่ไม่มีทิศไม่มีทาง ร่างกายของฉันก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า.. สายตาของฉันค่อยๆ ดึงกลับมาพร้อมกับความรู้สึกเสียดาย

และนั่นเองทำให้ฉันมองเห็นใต้ทะเลสีขาวโพลนนี่ชัดเจนขึ้นมา.. ทุกอย่างที่ฉันเห็นคือสีขาวโพลนในตอนแรก

แต่ตอนนี้ฉันมองเห็นใครสักคนที่กอดเข่าเหมือนกับฉัน พวกเธอทุกคนปิดตาสนิทและลอยอยู่ท่ามกลางทะเลสีขาวโพลนแห่งนี้

หน้าตานั้นฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นเคยขนาดนี้.. ฉันไม่รู้ว่าความคุ้นเคยนี่มันคืออะไร แต่ราวกับว่าฉันรู้ด้วยตัวเองว่า..

เธอเหล่านั้นคือฉัน.. ใบหน้าพวกเธอเหมือนกับฉัน ฉันไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกแบบนั้น พวกเธอเพียงแค่กอดเข่าและปิดตาไม่ทำอะไร..

และคนเหล่านั้นไม่ได้มีแค่คนสองคน.. แต่มีเป็นแสน.. เป็นล้าน.. มันมีมากกว่านั้น มันเรียกได้ว่าแทบจะไร้จุดสิ้นสุดหรืออนันต์ ฉันมองไปทั่วทะเลสีขาวโพลน.. พบว่าทุกคนหน้าตาเหมือนกันหมด

ล่องลอยอยู่ในทะเลสีขาวโพลนราวกับว่ากำลังหลับสนิทและไม่คิดจะลืมตาตื่นขึ้นมา ราวกับว่าต้องการจะตายไปทั้งๆ แบบนี้..

ฉันเองก็เหมือนคนเหล่านั้น ที่มีหน้าที่ต้องนอนหลับไปตลอดกาล. แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องมานอนหลับอยู่ตรงนี้

ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอต้องอยากที่จะหลับไปตลอดกาล.. ฉันแตกต่าง..เพราะฉันสงสัย.. ฉันสงสัยเหลือเกิน

และในตอนนั้นเองก็เหมือนมีบางอย่างกำลังตอบสนองต่อความคิดของฉัน จู่ๆ ก็มีตะขอที่ลอยมาจากเหนือหัวของฉัน

ฉันมองไม่ทันด้วยซ้ำว่ามันพุ่งมาจากไหน แต่สัญชาตญาณของฉันเหมือนกับเรียกร้องหามัน เหมือนกับว่ามีอาหารอันโอชะติดอยู่ที่ตะขออันนี้

แต่ว่าสำหรับฉัน ฉันไม่รู้ว่าอาหารอันโอชะคืออะไร ฉันไม่ได้สนใจ แต่ทว่าตะขอนั้นก็พุ่งมาเกาะใส่ศีรษะของฉัน

ไม่ทันได้รู้สึกเจ็บ ร่างฉันก็เหมือนถูกดึงก่อนที่ทุกอย่างจะพร่าเลือนและรู้สึกตัวอีกครั้งก็ลอยอยู่เหนือทะเลสีขาวโพลน

ฉันรู้สึกเบลอๆ ไปชั่วขณะ แต่พอได้สติกลับคืนมาก็เห็นทะเลสีขาวโพลนที่ไร้จุดสิ้นสุด.. มองดีๆ นี่ไม่ใช่ทะเลแต่เป็นบ่อของกล่มแสงที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์

มันมีมากมายจนเป็นเหมือนทะเลสีขาว.. และเบื้องบนทุกอย่างมีเพียงแค่สีฟ้าครามของท้องฟ้า ไม่มีเมฆ ไม่มีดวงอาทิตย์หรือดวงดาว

มีเพียงแค่สีฟ้าคราม.. และทุกอย่างท่ามกลางสีขาวโพลนกับสีฟ้าครามก็มีจุดจุดหนึ่งที่เด่นสะดุดตา เป็นที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้..

มีเรือไม้ลำหนึ่ง.. เรือนี้ขนาดไม่ใหญ่มีแค่ที่นั่งหน้ากับหลังที่เป็นที่นั่งคนพายเรือเท่านั้น.. บนเรือไม้มีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นชายแก่หรือหญิงชรา

ผมสีขาวโพลนของเขายาวจนเก็บไว้บนเหลือไม่หมด ผมส่วนใหญ่ลอยอยู่ในทะเลสีขาวโพลน ในมือของเขาถือเบ็ดไม้ตกปลาคันหนึ่ง

และฉันก็ติดอยู่บนเบ็ดตกปลาอันนี้.. เสียงที่แยกแยะไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่จะชายก็ช่างหญิงก็แล้วแต่.. ทว่าความลึกลับกลับทำให้ฉันรู้สึกสับสน

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ทำไม… ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า..”

“ฉันไม่รู้..”

ฉันส่ายหน้าและตอบออกไป ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นสมองของฉันขาวโพลนอย่างถึงที่สุด.. สายตาของคนชรามองมาที่ฉัน

“งั้นเมื่อตอนที่รู้แล้วค่อยตอบ..”

เขาว่าแบบนั้นก็สะบัดคันเบ็ดทีหนึ่ง.. ฉันก็นั่งลงบนเรือของเขาก่อนที่คนชราจะโยนเบ็ดออกไปอีกครั้งและปล่อยให้เรือค่อยๆ ไหลไปอย่างช้าๆ และไร้จุดหมาย

ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร.. แต่ก็ลองทบทวนดูว่าตัวเองเป็นใครมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฉันใช้เวลาอยู่นานแต่ก็นึกไม่ออก

บนเรือไม่มีใครพูด คนชราก็ไม่พูดฉันก็ไม่พูดทุกอย่างมีเพียงความเงียบสงบเท่านั้น.. และในตอนนั้นเองคนชราก็พูดขึ้น

เขาไม่ได้มองฉันและเหมือนไม่ได้พูดกับฉันเหมือนทบทวนกับตัวเองด้วยความเงียบงันเท่านั้น

“โลกใบนี้เคยสงสัยมันหรือไม่?”

“…”

ฉันไม่ได้ตอบ และเหมือนเขาก็ไม่ได้ถามฉัน แต่คนชราก็พูดต่อด้วยความเลื่อนลอย

“โลกใบนี้แท้จริงแล้วมันอาจจะไม่มีแม้แต่มิติที่สองหรือสามและแม้แต่สี่.. มากกว่านั้นยิ่งไม่มีเลย”

“หมายความว่ายังไง?”

พอฉันฟัง.. ร่างกายก็รู้สึกเหมือนจะจดจำบางอย่างได้อย่างเลือนราง.. ฉันรู้ว่ามิติคืออะไร มิติคือโครงสร้างพื้นที่ของพื้นที่และเวลา!

มิติที่หนึ่งคือเส้น มิติที่สองคือความกว้าง มิติที่สามคือปริมาตร และมิติที่สี่คือเวลา! ทุกอย่างมันสะท้อนขึ้นมาในใจของฉัน.. มิติที่ห้าจนเพิ่มไปเรื่อยอย่างไร้จุดสิ้นสุดก็มี

ตามทฤษฎีของใครสักคนในโลกเดิมของฉัน…. ฉันคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนจับเบาะแสอะไรได้ โลกเดิม? คืออะไร?

ฉันถามออกไปทันที แต่คนชราไม่ได้มองมาที่ฉันเขายังพูดต่อไป

“โลกใบนี้สุดท้ายแล้ว..มันอาจจะไม่มีภาพ.. ไม่มีวัตถุ.. ไม่มีเวทมนตร์ ไม่มีอะไรมาตั้งแต่แรก.. เพียงแต่พวกเราถูกว่างมาให้เห็น..ให้เป็นและเชื่อแบบนั้น”

“เหมือนเราเป็นแค่เกม.. แงะมีใครสักคนคอยควบคุม..?”

ฉันพูดออกไป… เกม.. ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็รู้สึกเข้าใจว่ามันคล้ายของที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เราบังคับควบคุมเพื่อความสนุกสนาน!

ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรมาหยุดสมองหยุดความคิดเริ่มหายไป.. ความรู้สึกแบบนี้ฉันค่อนข้างชอบมัน.. แต่ตอนนั้นเองคนชราก็หันมาหาฉันแล้วส่ายหน้าตอบ

“หากเราเป็นแค่…—-?”

“….”

ฉันที่ได้ยินคำนั้นสมองก็เหมือนถูกทำลาย…ไปเองอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พูดอะไร ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยได้แต่คิดว่าคนชราพูดอะไรแปลกๆ เท่านั้น..

แต่ทว่าบัดนี้เองโลกที่ไม่ควรมีเมฆฝนหรืออะไร.. จู่ๆ เมฆก็ปกคลุมไปทั่วสารทิศท้องฟ้าเองก็พลันมีเสียงดังโครมครามน่ากลัว

เหมือนกับคำพูดของคนชราไปกระตุ้นบางอย่าง ก่อนที่คนชราจะกระอักเลือด… และล้มลงไปจนท้ายที่สุดก็หยุดหายใจไป

แต่ในตอนที่ฉันกำลังตกใจ คนชราที่เหมือนจะตายแล้วก็ลุกขึ้นมาพูดกับฉันเบาๆ

“จำได้หรือยัง?”

………..

[งงมะ ผมก็งง? – ผู้เขียน]

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน