บทที่ 100 – หนึ่งในอนันต์
ในที่ไหนสักแห่ง.. ไม่รู้ว่าเป็นโลกไหนดาวไหนหรือช่วงเวลาใด อาจจะอยู่นอกจักรวาลหรือห่างออกไปในกาแล็กซีไหนสักกาแล็กซี
เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นและไม่มีใครทราบถึง หรือบางทีทุกอย่างในที่แห่งนี้อาจจะเป็นเพียงแค่โลกที่ไม่สามารถแตะต้องหรือรับรู้ได้
เป็นเพียงแค่จินตภาพเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครทราบ.. รวมถึงตัวฉันเองก็เช่นกัน.. ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร
ทำไมมาอยู่ในที่แห่งนี้ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในที่ไหนสักแห่งไร้จุดหมายและปลายทาง..
มีเพียงสิ่งเดียวที่ฉันรู้คือ.. ฉันกำลังกลัว.. ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่
แต่ฉันไม่กล้าที่จะลุกขึ้นยืน.. ไม่กล้าที่จะลืมตา.. ฉันเพียงกอดเข่าและปล่อยตัวเองลอยไปอย่างไร้จุดหมาย
ฉันจำได้อยู่สิ่งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันฉันก็กลัว.. บางทีฉันอาจจะกลัวจนนึกไม่ออกแต่ก็ยังฝังอยู่ในจิตใจของฉัน
มันเป็นเพียงแค่ชื่อชื่อหนึ่งที่สลัดออกจากหัวไม่ได้แม้จะอยู่ในสภาพลืมสิ้นทุกสิ่ง และบางทีฉันอาจจะกลัวสิ่งนี้อยู่หรืออาจจะไม่ใช่
ไม่สิ.. มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นแม้ฉันจะจำได้ แต่ฉันก็ไม่รู้จัก ซึ่งไม่ว่าจะยังไงสุดท้ายแล้วฉันจะไม่มีทางพูดถึงมัน
และก็ยังมีเสียงใครสักคนก้องอยู่ในหัวของฉัน.. แต่มันเบาบาง.. มันเบาบางจนเกินไปฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง..
ไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว.. อาจจะเป็นหลายล้านปี หลายหมื่นปี.. หรืออาจจะเพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น
ฉันระบุไม่ได้.. เพราะฉันรู้สึกถึงความไร้จุดสิ้นสุดไม่มีสิ่งอื่นนอกจากความไร้จุดสิ้นสุดที่วิ่งผ่านร่าง
ฉัน..เป็นใครกันนะ.. นั่นคือคำถามที่ฉันสงสัย.. และฉันกำลังกลัว ฉันกลัวอะไรกันแน่ นั่นคือปัญหาที่ฉันต้องไข
เพียงแต่ว่าฉันกลับไม่มีความกล้านั้น.. และไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ฉันสับสน ฉันไม่เข้าใจ
ฉันอยากจะรู้.. ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อฉันอยากจะรู้อยากจะเข้าใจอะไรสักอย่าง ความกลัวในใจของฉันมันก็หายไป
เหมือนกับว่าต่อให้ตายก็ต้องรู้ให้ได้.. ฉันไม่รู้ว่าความตายคืออะไรเพียงแต่มันวิ่งแล่นเข้ามาในหัวก็เท่านั้นเอง
เวลาก็ยังคงไหลผ่านพ้นไป. จนในที่สุดฉันก็ไม่อาจจะทนไหวอีกต่อไป ฉันต้องการรู้ว่าตัวเองเป็นใครและกลัวอะไรกันแน่
ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น.. แต่มันกลับยากกว่าที่ฉันคิด อาจจะเป็นเพราะความกลัวฉันถึงได้ไม่สามารถที่จะลืมตา
กลัวในสิ่งที่ตัวเองอาจจะต้องเห็นในตอนนี้.. ฉันไม่อยากเจอมัน.. แต่คนที่กลัวแม้จะเป็นฉันแต่ก็ไม่ใช่ฉันในเวลาเดียวกัน
เพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองกลัวอะไรกันแน่ มีเหตุผลอะไรที่ต้องกลัว ในขณะที่ฉันตอนนี้ต้องการที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ฉันยังคงใช้ความพยายามในการลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก.. ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเป็นปีหรือแค่พริบตาเดียว.. ฉันลืมตาขึ้น
ดวงตาของฉันพร่ามัวไปกับทุกอย่างที่เห็น ทุกอย่างในสายตาของฉันมีเพียงความว่างเปล่าสีขาวโพลน ไม่มีอะไรนอกจากสีขาวนี้ในขอบเขตของสายตา
ฉันมองขึ้นไปด้านบน แต่ด้านบนไม่เหมือนด้านบน ไม่มีด้านบนหรือซ้ายขวาล่างฉันรู้แค่ว่าฉันเงยหน้าขึ้นไป
ฉันมองเห็นเหมือนบางอย่างกระเพื่อมไหว ราวกับว่าที่แห่งนี้เป็นบ่อน้ำสีขาวโพลนขนาดใหญ่.. ฉันต้องการที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันเป็นจริงหรือเปล่า
แต่ฉันเคลื่อนที่ไม่ได้.. เพราะที่นี่ไม่มีทิศไม่มีทาง ร่างกายของฉันก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า.. สายตาของฉันค่อยๆ ดึงกลับมาพร้อมกับความรู้สึกเสียดาย
และนั่นเองทำให้ฉันมองเห็นใต้ทะเลสีขาวโพลนนี่ชัดเจนขึ้นมา.. ทุกอย่างที่ฉันเห็นคือสีขาวโพลนในตอนแรก
แต่ตอนนี้ฉันมองเห็นใครสักคนที่กอดเข่าเหมือนกับฉัน พวกเธอทุกคนปิดตาสนิทและลอยอยู่ท่ามกลางทะเลสีขาวโพลนแห่งนี้
หน้าตานั้นฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นเคยขนาดนี้.. ฉันไม่รู้ว่าความคุ้นเคยนี่มันคืออะไร แต่ราวกับว่าฉันรู้ด้วยตัวเองว่า..
เธอเหล่านั้นคือฉัน.. ใบหน้าพวกเธอเหมือนกับฉัน ฉันไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกแบบนั้น พวกเธอเพียงแค่กอดเข่าและปิดตาไม่ทำอะไร..
และคนเหล่านั้นไม่ได้มีแค่คนสองคน.. แต่มีเป็นแสน.. เป็นล้าน.. มันมีมากกว่านั้น มันเรียกได้ว่าแทบจะไร้จุดสิ้นสุดหรืออนันต์ ฉันมองไปทั่วทะเลสีขาวโพลน.. พบว่าทุกคนหน้าตาเหมือนกันหมด
ล่องลอยอยู่ในทะเลสีขาวโพลนราวกับว่ากำลังหลับสนิทและไม่คิดจะลืมตาตื่นขึ้นมา ราวกับว่าต้องการจะตายไปทั้งๆ แบบนี้..
ฉันเองก็เหมือนคนเหล่านั้น ที่มีหน้าที่ต้องนอนหลับไปตลอดกาล. แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องมานอนหลับอยู่ตรงนี้
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอต้องอยากที่จะหลับไปตลอดกาล.. ฉันแตกต่าง..เพราะฉันสงสัย.. ฉันสงสัยเหลือเกิน
และในตอนนั้นเองก็เหมือนมีบางอย่างกำลังตอบสนองต่อความคิดของฉัน จู่ๆ ก็มีตะขอที่ลอยมาจากเหนือหัวของฉัน
ฉันมองไม่ทันด้วยซ้ำว่ามันพุ่งมาจากไหน แต่สัญชาตญาณของฉันเหมือนกับเรียกร้องหามัน เหมือนกับว่ามีอาหารอันโอชะติดอยู่ที่ตะขออันนี้
แต่ว่าสำหรับฉัน ฉันไม่รู้ว่าอาหารอันโอชะคืออะไร ฉันไม่ได้สนใจ แต่ทว่าตะขอนั้นก็พุ่งมาเกาะใส่ศีรษะของฉัน
ไม่ทันได้รู้สึกเจ็บ ร่างฉันก็เหมือนถูกดึงก่อนที่ทุกอย่างจะพร่าเลือนและรู้สึกตัวอีกครั้งก็ลอยอยู่เหนือทะเลสีขาวโพลน
ฉันรู้สึกเบลอๆ ไปชั่วขณะ แต่พอได้สติกลับคืนมาก็เห็นทะเลสีขาวโพลนที่ไร้จุดสิ้นสุด.. มองดีๆ นี่ไม่ใช่ทะเลแต่เป็นบ่อของกล่มแสงที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์
มันมีมากมายจนเป็นเหมือนทะเลสีขาว.. และเบื้องบนทุกอย่างมีเพียงแค่สีฟ้าครามของท้องฟ้า ไม่มีเมฆ ไม่มีดวงอาทิตย์หรือดวงดาว
มีเพียงแค่สีฟ้าคราม.. และทุกอย่างท่ามกลางสีขาวโพลนกับสีฟ้าครามก็มีจุดจุดหนึ่งที่เด่นสะดุดตา เป็นที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้..
มีเรือไม้ลำหนึ่ง.. เรือนี้ขนาดไม่ใหญ่มีแค่ที่นั่งหน้ากับหลังที่เป็นที่นั่งคนพายเรือเท่านั้น.. บนเรือไม้มีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นชายแก่หรือหญิงชรา
ผมสีขาวโพลนของเขายาวจนเก็บไว้บนเหลือไม่หมด ผมส่วนใหญ่ลอยอยู่ในทะเลสีขาวโพลน ในมือของเขาถือเบ็ดไม้ตกปลาคันหนึ่ง
และฉันก็ติดอยู่บนเบ็ดตกปลาอันนี้.. เสียงที่แยกแยะไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่จะชายก็ช่างหญิงก็แล้วแต่.. ทว่าความลึกลับกลับทำให้ฉันรู้สึกสับสน
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ทำไม… ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า..”
“ฉันไม่รู้..”
ฉันส่ายหน้าและตอบออกไป ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นสมองของฉันขาวโพลนอย่างถึงที่สุด.. สายตาของคนชรามองมาที่ฉัน
“งั้นเมื่อตอนที่รู้แล้วค่อยตอบ..”
เขาว่าแบบนั้นก็สะบัดคันเบ็ดทีหนึ่ง.. ฉันก็นั่งลงบนเรือของเขาก่อนที่คนชราจะโยนเบ็ดออกไปอีกครั้งและปล่อยให้เรือค่อยๆ ไหลไปอย่างช้าๆ และไร้จุดหมาย
ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร.. แต่ก็ลองทบทวนดูว่าตัวเองเป็นใครมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฉันใช้เวลาอยู่นานแต่ก็นึกไม่ออก
บนเรือไม่มีใครพูด คนชราก็ไม่พูดฉันก็ไม่พูดทุกอย่างมีเพียงความเงียบสงบเท่านั้น.. และในตอนนั้นเองคนชราก็พูดขึ้น
เขาไม่ได้มองฉันและเหมือนไม่ได้พูดกับฉันเหมือนทบทวนกับตัวเองด้วยความเงียบงันเท่านั้น
“โลกใบนี้เคยสงสัยมันหรือไม่?”
“…”
ฉันไม่ได้ตอบ และเหมือนเขาก็ไม่ได้ถามฉัน แต่คนชราก็พูดต่อด้วยความเลื่อนลอย
“โลกใบนี้แท้จริงแล้วมันอาจจะไม่มีแม้แต่มิติที่สองหรือสามและแม้แต่สี่.. มากกว่านั้นยิ่งไม่มีเลย”
“หมายความว่ายังไง?”
พอฉันฟัง.. ร่างกายก็รู้สึกเหมือนจะจดจำบางอย่างได้อย่างเลือนราง.. ฉันรู้ว่ามิติคืออะไร มิติคือโครงสร้างพื้นที่ของพื้นที่และเวลา!
มิติที่หนึ่งคือเส้น มิติที่สองคือความกว้าง มิติที่สามคือปริมาตร และมิติที่สี่คือเวลา! ทุกอย่างมันสะท้อนขึ้นมาในใจของฉัน.. มิติที่ห้าจนเพิ่มไปเรื่อยอย่างไร้จุดสิ้นสุดก็มี
ตามทฤษฎีของใครสักคนในโลกเดิมของฉัน…. ฉันคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนจับเบาะแสอะไรได้ โลกเดิม? คืออะไร?
ฉันถามออกไปทันที แต่คนชราไม่ได้มองมาที่ฉันเขายังพูดต่อไป
“โลกใบนี้สุดท้ายแล้ว..มันอาจจะไม่มีภาพ.. ไม่มีวัตถุ.. ไม่มีเวทมนตร์ ไม่มีอะไรมาตั้งแต่แรก.. เพียงแต่พวกเราถูกว่างมาให้เห็น..ให้เป็นและเชื่อแบบนั้น”
“เหมือนเราเป็นแค่เกม.. แงะมีใครสักคนคอยควบคุม..?”
ฉันพูดออกไป… เกม.. ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็รู้สึกเข้าใจว่ามันคล้ายของที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เราบังคับควบคุมเพื่อความสนุกสนาน!
ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรมาหยุดสมองหยุดความคิดเริ่มหายไป.. ความรู้สึกแบบนี้ฉันค่อนข้างชอบมัน.. แต่ตอนนั้นเองคนชราก็หันมาหาฉันแล้วส่ายหน้าตอบ
“หากเราเป็นแค่…—-?”
“….”
ฉันที่ได้ยินคำนั้นสมองก็เหมือนถูกทำลาย…ไปเองอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พูดอะไร ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยได้แต่คิดว่าคนชราพูดอะไรแปลกๆ เท่านั้น..
แต่ทว่าบัดนี้เองโลกที่ไม่ควรมีเมฆฝนหรืออะไร.. จู่ๆ เมฆก็ปกคลุมไปทั่วสารทิศท้องฟ้าเองก็พลันมีเสียงดังโครมครามน่ากลัว
เหมือนกับคำพูดของคนชราไปกระตุ้นบางอย่าง ก่อนที่คนชราจะกระอักเลือด… และล้มลงไปจนท้ายที่สุดก็หยุดหายใจไป
แต่ในตอนที่ฉันกำลังตกใจ คนชราที่เหมือนจะตายแล้วก็ลุกขึ้นมาพูดกับฉันเบาๆ
“จำได้หรือยัง?”
………..
[งงมะ ผมก็งง? – ผู้เขียน]