การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 121

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 121 – แขนมังกร

เมื่อทุกอย่างพังทลายจนสิ้นสุด กลางอากาศมีก้อนกลมๆ สีดำลอยอยู่.. เลทิเซียค่อยๆ สลายพลังเวทมนตร์ออก

พบว่าตัวเองลอยอยู่เหนือพื้นกลางเกาะที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก รอบด้านเกาะคือทะเลสีฟ้าไร้จุดสิ้นสุด

กลางอากาศมีรอยแยกของนภา แต่รอยแยกนี้ไม่เหมือนรอยแยกนอกมิติจำเพาะในชิ้นส่วนเวหา

เพราะภายในรอยแยกนั่นคือสีดำสนิท ราวกับเป็นความว่างเปล่าที่แท้จริง.. และไม่รู้เพราะว่ารอยแตกหรือการพังทลายของมิติเมื่อครู่

เกาะทั้งเกาะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่น้ำทะเลมีระลอกน้ำซัดไปมาราวกับวันสิ้นโลกมาเยือน

แต่ที่เลทิเซียตกใจคือม่านพลังที่ทำจากพลังเวทล้วนๆ เมื่อครู่นี้เลทิเซียทำโดยสัญชาตญาณเท่านั้น

ต้องขอบคุณที่เธอเป็นคนขี้ระแวงสัมผัสที่ไวต่อความอันตรายเธอจึงสูงมาก ทันทีที่อีกฝ่ายจู่โจมการตอบสนองของสัญชาตญาณเลยทำไปโดยทันที

อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เลทิเซียคิด เธอก้มมองลงมือตัวเองที่ยังมีก้อนพลังสีดำที่ไม่ใช่ธาตุมืด เพราะมันคือสีดำบริสุทธิ์ของพลังเวท

“มันใช้แบบนี้ได้ด้วยงั้นเหรอ..?”

ยังดีที่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเลทิเซียเป็นทสึรุ หากเปลี่ยนเป็นผู้ใช้เวทมนตร์หรือเซเลีย เกรงว่าเธอคงตกใจจนอยากเลิกเป็นผู้ใช้เวทไปแน่ๆ

ยังไงซะ เมื่อครู่นี้ก็คือการระเบิดพลังเวทออกมาใช้โดยตรงนอกจากจะต้องมีพลังเวทมากมหาศาลแล้ว พลังเวทในร่างกายก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ถ้าหากไม่แข็งแกร่ง พลังเวทแตกสลายไปได้เลย.. ว่าง่ายๆ อาจจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้อีก แน่นอนว่าตรรกะนี้ใช้ไม่ได้ผลกับจอมมาร..!

“ถ้าใช้แบบนี้ได้ก็หมายความว่า…”

เลทิเซียถอยหลังกรูดในขณะที่เงาพร่าเลือนกำลังจะรุกโจมตีต่อแม้มิติที่มันเคยอยู่จะพังทลายไปแล้วก็ตาม

เลทิเซียใช้หลักการเดียวกับการควบคุมอนุภาคเวทมนตร์ก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้ไม่ใช้พลังนอกกาย แต่ใช้พลังเวทมนตร์แทรกแซงเข้าไปในร่างกายโดยตรง

แต่น่าเสียดายมันไม่เกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอมีเวลามากกว่านี้อยากจะศึกษาให้ลงลึกกว่านี้อยู่ เพราะตอนนี้อีกฝ่ายก็พุ่งมาหาเลทิเซียด้วยความเร็วสูง

ในขณะที่เลทิเซียกำลังจะตอบโต้ แต่ชั่วพริบตานั้นเองร่างนั้นก็แยกร่างออกเต็มท้องฟ้า เห็นชัดว่าท้องฟ้ากลายเป็นเงาพร่าเลือนไปแล้ว

แถมแต่ละร่างมันมีพลังสิบส่วนของร่างหลัก.. พลังทุกอย่างเท่ากับร่างหลักนี่มันทักษะสุดโกงอะไรกัน เลทิเซียคิดแบบนั้นพลางตวัดดาบตอบโต้

เธอปล่อยพลังเวทผสมไปกับพลังของดาบจนกลายเป็นคลื่นช็อกเวฟสีดำพุ่งไปข้างหน้า ร่างหลายร้อยคนที่อยู่ในระยะฟันก็ยกดาบขึ้นมาป้องกัน

แต่แน่นอนว่าต่อให้มีพลังสิบส่วนของร่างหลักก็ตามที แต่พลังของดาบกลับไม่มีดังนั้นการป้องกันด้วยดาบของร่างแยกเหล่านั้นล้วนไร้ประสิทธิภาพ

และหากจะหลบอาจจะหลบได้ แต่เมื่อเจอพลังเวทของเลทิเซียผสมกับพลังของดาบจูชิน ทุกอย่างก็ถูกตัดเป็นเหมือนเต้าหู้

แต่แน่นอนว่าร่างนับไม่ถ้วนนั้นก็ไม่อยู่เฉย ไฟสีดำถูกยิ่งออกมาเหมือนกับเป็นฝนเพลิง แต่เลทิเซียเรียนรู้จากรอบที่แล้ว

“น้ำ!”

เลทิเซียกัดฟันฝืนใช้เวทมนตร์ที่ไม่คุ้นชินอีกครั้ง น้ำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น พุ่งปะทะเข้ากับฝนเพลิง

เลทิเซียถอยกรูดเตรียมการป้องกัน.. เมื่อไฟกับน้ำปะทะกันก็จะกลายเป็นไอน้ำ.. ยิ่งจำนวนมากมหาศาลนี้ทันทีที่มันปะทะกันก็พลัน…

“ตู้มมม!!” เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นทุกอย่างกลายเป็นควันไอน้ำที่มีความร้อนสูง ระเบิดไอน้ำระเบิดออกเป็นวงกว้างบดบังวิสัยทัศน์บองเลทิเซีย

แต่เลทิเซียเตรียมตัวป้องกันระเบิดไอน้ำนี้ไว้ก่อนแล้ว โชคยังดีที่เงาร่างนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าดูจะไม่ค่อยมีสติปัญญาจึงโดนระเบิดไอน้ำกวาดไปเสียจนเรียบ

ทุกอย่างที่ว่ามามันเกิดขึ้นเร็วเกินไป! ไม่ใช่ว่าพวกเขายืนรับแต่เพราะหลบไม่ทันต่างหาก ยิ่งสติปัญญาค่อนข้างน้อยอีกต่างหากจึงไม่อาจหลบหลีกวิกฤตได้ทัน

พึ่งจะลืมตาดูโลกด้วยท่าร่างแยก ก็ลาโลกไปด้วยการตอบสนองอย่างรวดเร็วของเลทิเซียซะแล้ว

เลทิเซียที่เตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่าง หลังจากป้องกันแรงของระเบิดไอน้ำเสร็จ หมอกไอน้ำที่ระเบิดออกไปก็มีเศษส่วนของพลังเวทหลงเหลืออยู่

และเพียงแค่เลทิเซียสัมผัสก็ทราบทันทีว่าร่างจริงอยู่ไหน ฉวยโอกาสก้าวเท้าออกไป บัดนี้พลังกายถูกเสริมสร้างด้วยอนุภาคพลังเวทมนตร์

แต่เลทิเซียเมินขีดจำกัดทางด้านร่างกายตัวเองไปโดยสิ้นเชิง หัวใจที่เต้นมันเต้นรัวจนแทบหลานร้อยครั้งต่อวินาที

กล้ามเนื้อของเลทิเซียปริแตกผิวหนังฉีกจนให้เส้นกล้ามเนื้อสีแดงที่กำลังตรึงตัวจนเห็นขาดออกดัง “ปัด” จนน่ากลัว

ทุกอย่างเหมือนช้าแต่การเสริมพลังนี้มันเร็วมากและเพิ่มมหาศาลในระดับที่เหนือกว่าตอนที่ใช้ช่วยขุนนางตกอับคนนั้นซะอีก

เท้าของเลทิเซียก้าวไปข้างหน้าก็ปรากฏร่างขึ้นตรงจุดของร่างเงาพร่าเลือนที่เหลือเพียงร่างหลัก เธอสะบัดดาบในมือลงเป็นแนวเฉียง

หากแต่ทว่าอีกฝ่ายพลันยกดาบขึ้นมาไว้เหนือหัวและตั้งดาบแนวเอียง ทันทีที่ดาบปะทะกันก็ “เคร้ง!!”

ดาบของเลทิเซียถูกเปลี่ยนวิถีตามการเอียงของดาบเงาพร่าเลือน แต่เลทิเซียก็ยกเท้าขึ้นถีบใส่ท้องอีกฝ่ายในช่วงเวลาเดียวกัน “ปัง!”

ร่างของเงาพร่าเลือนปลิวเหมือนกระสุนปืนใหญ่ไปข้างหลัง คงต้องขอบคุณพละกำลังที่มีมากของอีกฝ่ายไม่งั้นคงแหลกคาเท้าเลทิเซียไปแล้ว

แต่แน่นอนว่าเลทิเซียเป็นคนที่ไม่เดินไปโจมตีธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นความระแวดระวังหรือสัญชาตญาณของเธอ.. ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าแห่งการวางแผน

เพื่อเอาตัวรอด ดังนั้นการต่อสู้แม้จะอยู่ในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนกับสัญชาตญาณเอาตัวรอดจากการต่อสู้ถูกกระตุ้นทันทีที่อีกฝ่ายปลิว

เลทิเซียไม่รอให้เงานั่นร่วงลงถึงพื้นพุ่งไปด้วยความเร็วเหนือกว่าไปอยู่ตรงข้ามอีกฝ่ายที่กำลังพุ่งไปและตวัดดาบใส่อีกฝ่ายที่ลอยมาเป็นแนวขวาง

เลทิเซียไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเธอก็เคยเห็นวิชาดาบในโลกเดิมมาบ้างดังนั้นเธอจึงทำท่าเหมือนเงาพร่าเลือนที่ใช้ท่านภามีคม

แต่เลทิเซียใช้ไม่เป็น..ที่เธอจะทำก็คือ..

เมื่ออีกฝ่ายลอยดิ่งมาเลทิเซียที่ทำท่าเก็บดาบก็ตวัดดาบออกจากฝักไปใส่อีกฝ่ายที่ลอยมาทางนี้เช่นกัน

ไม่ใช่ว่าเงาร่างนั้นปล่อยให้เลทิเซียกระทำฝ่ายเดียว แต่เป็นเพราะตั้งแต่เลทิเซียฟันลงใส่และถีบจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสั้นมากๆ

แถมลูกถีบนั้นรุนแรงเกินไปทำให้จะหลบก็หลบไม่ทัน ดาบของเลทิเซียจึงตวัดใส่กลางหลังจนแยกร่างอีกฝ่ายเป็นสองส่วน..

มันควรจะเป็นเช่นนั้น.. แต่ว่าทันทีที่ฟันออกไปเลทิเซียก็รู้สึกเหมือนตวัดดาบโดนเหล็กกล้าที่ไม่อาจตัดผ่านได้ ดาบทั้งเล่มสั่นสะเทือนจากการปะทะอย่างรุนแรง

เลทิเซียกระอักเลือดเพราะแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลมาตามดาบเกรงว่าถ้าดาบนี้เป็นดาบธรรมดา คงเป็นมันที่แตกทลาย แรงสั่นสะเทือนนี้มาพร้อมกับเสียงที่ดังเหมือนกับของแข็งปะทะของแข็ง

พอโดนดาบของเลทิเซียฟันไม่เข้า มันก็เหมือนเป็นแรงผลักช่วยหยุดการปลิวไว้ได้ เงาร่างพร่าเลือนนั้นจึงใช้มือตบลงข้างล่างกลางอากาศ

ส่งผลให้ร่างหมุนลิ่วกลางอากาศข้ามหัวเลทิเซียและไปยืนอยู่ด้านหลังเธอ… สายตาของเลทิเซียหันไปเห็นก็เป็นต้องตกใจเพราะตอนนี้แขนอีกฝ่ายแปลกประหลาดออกไป

แขนของเธอแต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น มันเป็นแขนสีขาวของผู้หญิง แต่ว่าตอนนี้แม้จะยังคงรูปร่างของแขนเล็กห้านิ้วเหมือนมนุษย์

แต่ทว่ามันกลับมีเกราะสีดำสนิทขึ้นมา ถ้าจะให้พูดมันก็เหมือนเกล็ดที่อยู่บนผิวหนังมังกร.. บางทีหลังอีกฝ่ายอาจจะเคลือบด้วยสิ่งนี้ในตอนนั้นเลยทำให้ฟันไม่เข้า

แถมเลทิเซียยังรู้สึกว่าในจังหวะที่อีกมืออีกฝ่ายตบลงด้านล่าง ไม่ได้ตบใส่พื้นแต่กลับมีแรงผลักที่ผลักร่างอีกฝ่ายหมุนรัวข้ามหัวไปด้วย

พละกำลังอาจจะมากในระดับที่ตบจนเกิดลมกระแทก.. ซึ่งมันเยอะกว่าก่อนหน้านี้ซะอีก.. ว่ากันตามตรงถ้าให้เปรียบเทียบ

เลทิเซียคงเป็นรถจิ๊บหุ้มเกราะ ในขณะที่อีกฝ่ายเป็น..รถถังที่หุ้มเกราะอีกชั้นหนึ่งด้วย จะไม่ทำให้เลทิเซียปวดหัวได้ยังไงกันล่ะ

“นั่นมันอะไรล่ะนั่น..”

เลทิเซียขมวดคิ้ว.. อันที่จริงว่ากันตรงๆ เลยนะ อีกฝ่ายเหนือกว่าเลทิเซียทุกด้าน ถ้าอยู่โลกด้านนอกบางทีเลทิเซียอาจจะเหนือกว่าอยู่บ้างนิดหน่อย

แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเหนือกว่าเกินไป ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เสียเปรียบแบบนี้เลทิเซียจึงต้องใช้แผนการมากมาย แต่กลับพบว่ายังยากที่จะชนะ

ทว่าถ้าไม่สู้ก็ตาย ร่างเลทิเซียจึงพุ่งเข้าโรมรันกับอีกฝ่ายอีกรอบ กลางอากาศสั่นสะเทือนไปทั่ว การต่อสู้เข้าสู่ขั้นดุเดือดอีกครา

ทุกๆ การปะทะพลังเวทจำนวนมากมหาศาลก็ไหลรั่วออกมาจากร่างเลทิเซีย แม้ทสึรุจะไม่ค่อยรู้จักเวทมนตร์มากนักแต่เธอรู้ว่าการที่เสียพลังเวทแบบนี้

มันไม่ใช่เรื่องดีเลย แม้เลทิเซียอาจจะมีพลังเวทมนตร์เยอะด้วยสาเหตุบางประการ แต่ไม่นานมันก็ต้องหมด.. ทสึรุเชื่อแบบนั้น

“เลทิเซีย..”

ทสึรุกัดฟันพูดอย่างเจ็บปวด.. หากเธอแข็งแกร่งกว่านี้ หากเธอฝึกหนักยิ่งกว่านี้เธอคงช่วยเลทิเซียได้แน่ๆ

“วิชาของข้ามัน…”

ในขณะที่ทสึรุเริ่มรู้สึกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมารู้สึกเสียเปล่ามากจนเกินไป เกาะแห่งนี้ก็สั่นสะเทือนแรงขึ้นกว่าเดิม..

ในขณะเดียวกันโรงเรียนลิเบอร์เองก็สั่นสะเทือนเหมือนกัน แรงสั่นนี้ทำเอานักเรียนหรืออาจารย์ก็ล้วนสั่นสะเทือน

และผิวน้ำทะเลสาบล้อมรอบโรงเรียนลิเบอร์ก็เกิดเป็นคลื่นเหมือนพื้นใต้ทะเลแยกตัวยังไงยังงั้น

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท