การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 164

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 164 – มุมมองและความเชื่อ

แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ ถ้าฉันจำไม่ผิดไอ้คำว่าโอโรโบรอสนี่มันคุ้นหูพิกล เหมือนเคยได้ยินมาจากไหนสักแห่งนานมาแล้ว

พอคิดแบบนั้นชายคนที่ยืนอยู่บนเวทีก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ผ้าม่านด้านหลังที่ถูกม้วนขึ้นข้างบนก็ถูกปล่อยลงมากลายเป็นผ้าผืนหนึ่ง

เป็นผ้าที่มีสัญลักษณ์แปลกๆ กลางหน้าอกฉันรู้สึกร้อนขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ขณะที่กำลังจะสนใจความร้อนที่แผ่พุ่งออกมานั้น

ผ้าผืนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นด้านหลังชายคนนี้มีสัญลักษณ์ที่พอฉันมองก็ร้อง “อ๋อ” ขึ้นมาในทันที

คนทุกคนที่เห็นสัญลักษณ์นี้ต่างพากันเบิกตากว้างแม้แต่ชาร์ล็อตเองก็เช่นกัน อืม.. หรือว่าจะเป็นเพราะว่าโลกนี้ไม่มีแนวคิดของความไร้ที่สิ้นสุดกันนะ?

ไม่สิ พูดก็พูดในหลักการของโลกนี้คำว่าไร้ที่สิ้นสุดถูกใช้ออกมาบ่อยจะตายไม่ใช่เหรอ ในขณะที่กำลังสับสนอยู่นั้น

ชายคนที่อยู่บนเวทีก็ตบมือหนึ่งครั้งเรียกสติของคนทุกคนมี่อยู่หน้าเวทีกลับคืนมามีสติอีกครั้ง

แต่ฉันก็หันไปเห็นชาร์ล็อตที่เหมือนจะเหม่ออยู่ แต่ไม่นานเธอก็ได้สติกลับมาแล้วก็พูดขึ้นเบาๆ

“นั่นมันอะไร?”

อาจจะเป็นเพราะความเคยชินตลอดหลายปีที่ผ่านมาพอน้องสาวฉันถามอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันรู้ฉันก็จะตอบกลับไปทันที

ด้วยความเคยชินนี้พอชาร์ล็อตพูดขึ้น ฉันจึงตอบกลับไปเบาๆ ว่า

“งูกินหางยังไงล่ะ”

ใช่แล้ว ภาพบนผ้าผืนนั้นคืองูกินหางดูเหมือนมีลักษณะแทนเป็นดวงอาทิตย์แต่ก็เหมือนเป็นหยินและหยางดำและขาวในเวลาเดียวกัน

ฉันจำได้ทันทีที่เห็นสัญลักษณ์นี้ ในโลกเดิมมันคือสัญลักษณ์ที่มีให้เห็นบ่อยๆ ในเกมที่เคยเล่นไม่ว่าจะใช้ในรูปแบบประมาณ ลัทธิแห่งการแปรธาตุ

หรือแทนเป็นดวงอาทิตย์ซึ่งเชื่อว่าดวงอาทิตย์คือตัวแทนของสิ่งที่เรียกว่าพลังชีวิตและแผดเผาไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นเป็นต้น

แต่นั่นมันความเชื่อของคนโบราณนะ ในโลกเดิมฉันไม่มีของเหนือธรรมชาติสักหน่อย… เอ่อ ไม่สิ อาจจะมีนั่นแหละ

แต่เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล่าดังที่ได้รับความนิยมในการถูกจับมาดัดแปลงให้อยู่ในสื่อบันเทิงหลากหลายชนิด

แต่คำถามคือ.. ทำไมโลกนี้ถึงรู้จักโอโรโบรอสได้ล่ะ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์หรือชื่อก็ล้วนเหมือนสิ่งที่ฉันรู้จักในโลกเดิม

บังเอิญงั้นเหรอ? จะว่าชื่อเหมือนชาวยุโรปก็พอเข้าใจได้แต่ว่า…เรื่องนี้มันค่อนข้างจะเหมือนราวกับ… อืม.. เอาเป็นว่ารอฟังข้อมูลมากกว่านี้ก่อนแล้วกัน

จะว่าไปแล้วในโลกเดิมโอโรโบรอสไม่ได้เป็นศาสนานี่น่า เป็นแค่ลัทธิความเชื่อหนึ่งอย่างเท่านั้น แล้วไหงโลกนี้ถึงกลายเป็นศาสนจักรได้เลยล่ะเนี่ย

“….”

ชาร์ล็อตไม่ได้ตอบฉัน ชายคนนั้นที่อยู่บนเวทีก็พูดต่อว่า

“ใช่แล้ว บางทีทุกคนที่เห็นภาพนี้อาจจะแปลกใจหรือไม่เข้าใจว่าภาพนี้คืออะไร หรืออาจจะเข้าใจแต่อาจจะไม่ทราบว่าทำไมต้องทำแบบนี้?”

“ก่อนอื่นข้าจะขอพูดเรื่องโอโรโบรอสก่อน.. โอโรโบรอสนั้นแปลว่างูกินหางมีความหมายว่า…. การถือกำเนิด”

อืม.. ถ้าหากฉันจำไม่ผิดนี่มันเหมือนในโลกเดิมฉันเลยไม่ใช่เหรอ พอฉันคิดแบบนั้นก็เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย

“หรือการถือกำเนิดด้วยตัวเองและจบสิ้นด้วยตนเองและนั่นคือพระผู้เป็นเจ้าของตัวข้า ท่านโอโรโบรอส”

“ทุกท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมถึงมีความหมายเช่นนั้น ในโลกนี้ทุกคนล้วนรู้จักกับพระเจ้าหรือสนิทกับพระเจ้าได้หากมีวาสนา”

“และคงทราบดีเกี่ยวกับกฎของเทพซึ่งกล่าวได้ว่าพวกเขาคือคนควบคุมการตาย การเกิดใหม่ของพวกเราราวกับเป็นคนที่บงการตัวเรา”

“หรือแม้แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘ทักษะ’ ซึ่งนำพามาด้วยความแข็งแกร่งอันไร้ที่สิ้นสุดนั้นก็ยังต้องกลายเป็นเหมือนหมากในกระดานของพระเจ้าซะก่อน”

“ใช่แล้ว.. พวกเราทุกคนบางทีอาจจะต้องเจอกับอะไร หรือเศร้ากับสิ่งไหน ร้องไห้กับสิ่งใด บางทีทุกอย่างอาจจะถูกกำหนดโดยพระเจ้ามาแล้วตั้งแต่แรก”

“ทุกท่านคิดว่าสิ่งนี้มันต่างอะไรไปจาก… หมูในกรง?”

อืม.. พูดดีมีเหตุผลสุดๆ เลย บางทีหมอนี่อาจจะเชี่ยวชาญเรื่องการโน้มน้าวทุกคนก็ได้ บางทีคำพูดนี้พวกคนรวยหรือมีฐานะสูงส่งอาจจะไม่สนใจ

แต่สำหรับคนที่มีปัญหาชีวิต เงินทอง ต่างๆ บางทีคงอาจจะถูกยิงเข้าจังๆ เพราะเขายกปัญหาของคนอื่นมาพูดให้คนอื่นที่ฟังอยู่นั้น

พอมาย้อนกลับไปมองตัวเองว่า.. ทุกอย่างนี่เป็นความผิดของฉันไหม ไม่.. ฉันพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ทุกอย่างเป็นเพราะพระเจ้า

แน่นอนคนส่วนใหญ่ต้องเข้าข้างตัวเอง จริงอยู่ว่านั่นอาจจะเป็นการไร้ความรับผิดชอบ แต่ว่าเมื่อคนทุกคนเจอปัญหาบางอย่างบางทีอาจจะรับไม่ได้

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคน ไม่ใช่ทุกปัญหา บางทีมันอาจจะเป็นแค่บางปัญหาหรือบางคน แต่เมื่อมีสิ่งที่ให้อ้างถึงให้บ่นใส่ มีตัวแทนให้โทษใส่

แทนที่จะโทษตัวเอง โทษคนอื่นมันง่ายกว่าอยู่แล้ว เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าเรานั่งโทษเขา และเราก็ไม่รู้สึกแย่หรอกเพราะเราไม่ได้ผิด

แต่พอมีคำพูดมากระแทกถึงจุดมืดของจิตใจความรู้สึกนี้มันจึงชัดเจนขึ้นจนรู้สึกว่าสิ่งที่ชายคนนี้พูดคือเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องน่าเชื่อถือ

จนท้ายที่สุดก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม อืม.. บางทีตัวฉันเองอาจจะไม่สามารถพูดวิจารณ์คนอื่นแบบนี้ได้

เพราะว่าฉันอาจจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นเช่นกัน.. ไม่สิ บางทีฉันต้องเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นแน่ๆ ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่เคยโทษคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสบายใจ

และชายคนนี้อาจจะประสบความสำเร็จในการพูดชักจูงคนอย่างมากเลยล่ะ แต่น่าแปลกใจที่ทำให้ฉันถึงยังเฉยกับคำพูดของเขาและนั่งวิเคราะห์ได้แบบนี้

เอ่อ อันที่จริงนี่เป็นสิ่งที่พี่สอนฉันอีกทีนะ พอได้ยินเขาพูดฉันเลยเข้าใจสิ่งที่พี่สอนขึ้นมาครั้งแรกนี่แหละ

และพอพูดให้คนรู้สึกด้อยค่าในตัวเองแล้วก็ถึงช่วงเวลาขายฝันสินะ และก็เป็นไปตามคาด ชายคนนั้นพูดต่อ

“แต่ทว่าสำหรับพระผู้เป็นเจ้านั้นท่านเกิดด้วยตัวเองและดับสูญด้วยตนเอง ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในเวลาเดียวกัน ราวกับความไร้ที่สิ้นสุด”

“บ้างก็ว่าแทนเป็นสุริยันที่มอบชีวิตใก้กับสรรพสิ่ง.. และตัวพระผู้เป็นเจ้านั้นอบยู่นอกกรอบของคำว่าการกำหนดจากเทพหรือพระเจ้าบนสวรรค์”

“ท่านกำหนดจุดสิ้นสุดของตัวเองได้ กำหนดโชคชะตาของตัวเองได้ หาได้มีใครมาบังคับ และนั่นแหละคือพระผู้เป็นเจ้า”

อืม.. เหมือนเปะทุกประการเลยแฮะ ฉันพยักหน้าเบาๆ แต่ว่าก็ว่าเถอะเหมือนขนาดนี้ทันชักแหม่งๆ แล้วนะ

หรือว่าโลกนี้มีคนอื่นที่มาจากต่างโลกอีก ไม่สิ ถึงจะมาจากต่างโลกแต่ทำไมถึงเป็นโลกที่เกี่ยวข้องกับฉันด้วยล่ะ?

หรือว่าโลกนี้กับโลกนั้นมีอะไรเชื่อมต่อกันอย่างนั้นเหรอ? ในขณะที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นั้นชายคนนั้นก็เริ่มสาธยายออกมาอีกครั้ง

คราวนี้เป็นประวัติของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งประวัติเหล่านี้ฉันไม่รู้จักเลยสักนิด แต่โดยรวมก็คือความเชื่อทางศาสนาที่ศาสนาทั่วไปมีนั่นแหละ

“พระผู้เป็นเจ้านั้นถือกำเนิดจากความว่างเปล่า พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีทางตาย มีชีวิตเป็นนิจนิรันดร์”

“ท่านสอนให้พวกเราหลุดพ้นจากตรรกะและการถูกบงการจากเหล่าเทพที่เห็นแก่ตัว”

อะไรก็ว่าไป แล้วก็มีความเชื่อและข้อปฏิบัติ ว่าง่ายๆ ก็เหมือนศาสนาของโลกเดิมฉันเลยแหละ แต่ที่น่าสนใจคือ

เหมือนศาสนานี้จะเป็นความเชื่อเรื่องการอยู่เป็นนิจนิรันดร์ ว่ากันว่ามนุษย์ทุกคนนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในตัวทุกคน

คนที่กำหนดโชคชะตาเปลี่ยนแปลงมันหรือควบคุมมันหาใช่เทพหรือใคร แต่เป็นตัวเราเอง

จะตายก็ต้องตายด้วยทางเลือกของตัวเองเปรียบดั่งพระผู้เป็นเจ้าที่เลือกที่จะกัดหางตัวเองว่ากันว่าเมื่อเลือกตายเอง ก็จะเลือกเกิดเองได้เช่นกัน

แต่ทว่าเมื่อเกิดใหม่ความทรงจำตัวตนจะหลอมรวมกับพระผู้เป็นเจ้าในตัวแงะคงอยู่ชั่วนิรันดร์และนี่แหละคือ… ความนิรันดร์ของูกินหาง โอโรโบรอส

……..

[มีโรสต้องมีงง ไม่มีงงคงไม่ใช่โรส นี่อ่านนิยายหรืออ่านอะไรอยู่ฟะ?! – ใครสักคน]

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท