บทที่ 179 – เห็นแก่คำว่าเพื่อน
ฉันเดินออกมาจากร้านค้าก็ไม่เจอทั้งสองคนยืนอยู่ ฉันคิดว่าพวกเธออาจจะไปเข้าห้องน้ำเลยยืนรออยู่ตรงนั้นสักพัก
“นี่…”
สุดท้ายฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือพวกเธอจะโดนลักพาตัว ไม่สิ เซเรสก็เก่งจะตายนี่น่า สเตฟานี่ก็ด้วย
ไม่สิ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจจะมีคนมีความสามารถเวทมนตร์ที่แอบลอบลักพาตัวได้ในตอนที่ไม่ระวังอยู่ก็ได้
ในขณะที่ฉันกัดริมฝีปากกังวลอยู่นั้นเอง ไฟก็ดับพริบลงในชั่วพริบตานั้นเท่านั้นแหละ เงาสีดำพุ่งมาจากไหนไม่รู้
ต้องขอบคุณที่ฉันสัมผัสถึงว่ามีคนจ้องมองฉันอยู่ได้เลยตั้งตัวได้ทัน เงาสีดำนั้นพุ่งมาจากความมืดจู่โจมฉันพร้อมกับร่ายเวทที่เหมือนจะทำให้คนหลับ
แต่ฉันก็ร่ายเวทเร็วกว่าอยู่ดี กำแพงสุญญากาศปรากฏขึ้นและพุ่งกระแทกใส่เงานั้นจนกระเด็นเข้าไปในซอกตึก
“นั่นมันอะไร!?”
เสียงเงานั้นเหมือนจะตกใจมาก แต่ฉันในตอนนี้ก็มายืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้ว เวทแรงโน้มถ่วงกดทับร่างกายอีกฝ่ายลงพื้น
แต่ฉันก็ใช้มือไปบีบคอมันไว้ ถึงฉันจะสูงไม่พอที่จะบีบคอจนมันลอยเหนือพื้นได้ แต่ว่าก็ใช้เวทแรงโน้มถ่วงกดมันลงพอโดนหยุดด้วยฝ่ามือ
ก็หายใจไม่ออกอยู่ดี ข้อสันนิษฐานมากมายลอยเข้ามาในหัวของฉันก่อนจะพูดขึ้น
“แกเป็นคนลักพาตัวเซเรสกับสเตฟานี่ใช่ไหม?”
“อึก…”
มันไม่ได้มองฉันแต่เหมือนพยายามใช้เครื่องสื่อสารสินะ จะแจ้งข่าวงั้นเหรอ หมายความว่าทำงานกันเป็นทีมละสินะ
ถ้าแบบนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นกลุ่มคนที่แอบอยู่ในเมืองอาจจะเป็นองค์กรลับอะไรทำนองนั้นก็ได้
เพราะถ้าจะมีกลุ่มลักพาตัวที่ลักพาตัวคนอย่างเชี่ยวชาญในเมืองที่ไม่รู้จักก็คงเป็นไปไม่ได้ข้อสันนิษฐานต่างๆ ไหลเข้ามาในหัวฉัน
ฉันแกล้งทำเป็นไม่เห็น ปล่อยให้มันติดต่อกลับไป มันเองก็ไม่คิดว่าฉันจะเห็น ไม่สิ คงคิดว่าฉันไม่รู้จักเครื่องสื่อสารละมั้ง
พอมันติดต่อสำเร็จเท่านั้นแหละก็มีเสียงมาจากอุปกรณ์เวทมนตร์สื่อสารที่อยู่ใต้แขนเสื้อ “หนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง..”
เสียงเหมือนจะเป็นรหัสลับอะไรสักอย่าง แต่ว่ามันพูดไม่ได้นี่น่า ฉันคิดแบบนั้นก็แสร้งทำเป็นตกใจ
“อะไรนะ!”
เวทมนตร์หลุดออกจากตัวมัน มันก็ใช้โอกาสนี้ถอยย่นแต่จังหวะนั้นเองด้ายที่พันอยู่รอบตัวมันด้วยฝีมือของฉันก็ตรึงร่างกายมันไว้กลางอากาศ
อุปกรณ์สื่อสารร่วงลงมาใส่มือฉัน.. อืม.. เสียงผู้ชายแบบเมื่อกี้สินะ ฉันวางมือบนคอตัวเองและแทรกเสียงคลื่นเสียงตัวเองให้เหมือนกับเสียงของหมอนี่
“ขอโทษมี เมื่อกี้ข้าเจอเด็กอีกคนที่อยู่กับพวกนั้นน่ะและนังเด็กนี่เหมือนจะเก่งกว่าที่คิด แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเวทมนตร์พิเศษฉันแสดงผลแล้ว”
“เฮ้อ.. งั้นเหรอ แกนี่แค่เด็กไม่ใช่หรือไง อย่าทำใหเข้าตกใจสิ รีบกลับมาที่ท่านได้แล้ว”
อีกฝ่ายตอบมาแบบนั้น ชายคนนั้นที่ถูกตรึงด้วยด้ายก็พยายามดิ้นและเปล่งเสียงออกมา ฉันยกนิ้วขึ้นใส่ปากแล้วพูด
“โดนไปขนาดนี่แล้วยังดิ้นได้อีกนะ.. อ๊ะ เมื่อกี้หัวหน้าว่าอะไรนะต้องกลับที่ใต้ดินเหมือนเดิมใช่ไหม?”
“แล้วแกคิดว่าในเมืองนี้มีที่อื่นอีกไหมล่ะ”
“กำลังไปและกำลังไปและ”
ฉันวางสาย ถามว่าทำไมฉันถึงรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใต้ดินน่ะเหรอ เพราะเสียงกังวานผิดปกติน่ะสิ พื้นที่ที่จะเสียงกังวานแบบนั้นนอกจากห้องปิดขนาดใหญ่เท่านั้น
ซึ่งหากอีกฝ่ายเป็นองค์กรลักพาตัวจริงคงไม่ได้อยู่ในสถานที่ก่อสร้างที่เด่นสะดุดตาแน่ๆ ดังนั้นเลยเดาว่าเป็นใต้ดินไว้ก่อน
อีกอย่างถ้าหากเดาผิดฉันก็แค่อ้างว่า “เสียงมันแว่วเพราะนังเด็กนี่มันตะโกนเมื่อครู่ ก็ว่าอยู่ใต้ดินอะไรกัน”
พอจะแถสีข้างถลอกได้ แถมยังได้รู้ว่าเมืองนี้มีสถานที่ใต้ดินที่เดียว ถ้าหากว่าสงสัยว่าทำไมฉันถึงต้องแกล้งปล่อยหมอนี่
ก็เพราะจะให้ฉันสงเสียงออกไปว่า “อะไรน่ะ” ปลายสายก็จะรู้ว่ากำลังทำงานของตัวเองอยู่ พอทำเสร็จก็เลยพูดอย่างเร่งรีบ ทำเหมือนลืมพูดรหัสลับ
และอีกฝ่ายเองก็พอรู้ว่างานสำเร็จอย่างเงียบๆ ก็ลืมรหัสลับ นี่มันไม่ใช่การเลินเล่ออะไรของศัตรูหรอก แต่ฉันแค่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ไขว้เขวทางอารมณ์
ทำให้ตอนแรกอีกฝ่ายรู้สึกกังวล พออีกฝ่ายโล่งอกก็จะเผลอพูดความจริงออกมาจนละเลยบางอย่างไป ต่อให้เป็นใครก็ล้วนแต่มีโอกาสผิดพลาดแบบนี้ได้
“แก…”
“และตอนนี้นายคงจะรู้สิ่งที่กำลังเจอ.. ถ้ามายุ่งกับเพื่อฉันแล้วสินะ”
ไอ้ความกังวล ความรู้สึกผิด ความเสียใจ ในตอนนี้มันอัดแน่นเต็มอกของฉัน.. มันรู้สึกโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟเลยแหละ
เพียงแต่ว่าฉันกำลังห้ามปรามคัวเอง ไม่ให้แสดงอารมณ์ออกมา.. เพราะฉันรู้ว่า.. หากใช้อารมณ์ฉันจะขาดสติ…
ดังนั้นฉันในตอนนี้จะกำจัดศัตรูของตัวเองด้วยความรู้สึกที่จะต้องกำจัด มือฉันขยับร่างของอีกฝ่ายก็ถูกแยกเป็นชิ้นๆ ด้วยด้าย
น่าแปลกที่ฉันสามารถฆ่าคนด้วยท่าทางปกติ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันโกรธอยู่? หรืออาจจะเป็นเพราะฉันไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจ?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ในตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจ.. ฉันจะมามัวสนใจไม่ได้ หากสนใจชีวิตของคนที่ไม่รู้จัก… จนสูญเสียคนสำคัญไป..
แบบตอนนั้น ตอนที่เสียพี่.. สู้ฉันใช้มือข้างนี้ฆ่าทิ้งให้หมด.. และไม่ต้องคิดอะไรแค่นั้น.. สิ่งที่ฉันต้องทำคือช่วยเซเรสกับสเตฟานี่
ใครขัดขวาง.. หน้าที่ของพวกมันคือตาย…
ฉันยกมือขึ้นก่อนที่จะดีดนิ้วเบาๆ เสียงดีดนิ้วถูกแปรเป็นคลื่นความถี่สูงที่แม้แต่หูมนุษย์ก็ไม่ได้ยินกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
และฉันก็สัมผัสรับรู้โครงสร้างทุกอย่างของเมืองผ่านคลื่นความถี่นี้ ท้ายที่สุดก็เหมือนจะเจอพื้นที่ใต้ดินแห่งหนึ่งและก็มุ่งหน้าไปในทันที
ฉันไม่กล้าที่จะรอช้าอีก เพราะเวลาไม่เคยรอใคร พอมาถึงก็เจอโกดังขนาดไม่ใหญ่มาก ซึ่งมองผ่านหน้าต่างเข้าไปเจอคนยืนเฝ้าอยู่นับสิบคน
ฉันเดินเข้าไปในโกดังโดยไม่สนอะไร พวกเขาหันมาเห็นฉันก่อนที่ชายคนหนึ่งจะพูดขึ้น
“เจ้าเป็นใคร ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเด็กๆ”
“ฉันมาหาหัวหน้าของพวกนาย”
“อุบฮ่าๆ ดูยังเด็กนี่มันพูดเข้า”
จู่ๆ ชายคนหนึ่งก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ก่อนที่ชายคนหนึ่งเหมือนจะสังเกตเห็นชุดของฉันแล้วกระซิบบอกเพื่อน
“ชุดแบบนี้ เด็กนี่อาจจะเป็นเพื่อนของเด็กสองคนนั้น”
“ไม่ใช่ว่าไอ้บีมันไปดักจัดการแล้วเหรอ”
เขากระซิบเหมือนฉันจะไม่ได้ยิน แต่ฉันที่เสริมการนับรู้ด้วยเวทมนตร์นั้นได้ยินแม้แต่เสียงในชั้นใต้ดินด้วยซ้ำ
“พวกนายเป็นเพื่อนกันเหรอ”
ฉันพูดแบบนั้นออกไป สำหรับฉันแล้วคำว่าเพื่อนมันสวยงามมาก บางทีคนเหล่านี้คงจะเสียใจมากหากรู้ว่าเพื่อนตัวเองตาย
แต่ฉันก็เหมือนกัน พวกเขาลักพาตัวสเตฟานี่กับเซเรสมาโดยไม่คำนึงถึงฉันที่เป็นเพื่อน นั่นหมายความว่าฉันไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อให้
แต่ว่าพี่ฉันเคยบอกว่าอย่าเป็นคนใจร้ายเกินไป เขาชั่วมาใช่ว่าเราจะต้องชั่วตอบเสมอไป ดังนั้นพอชายคนนั้นพยักหน้าตอบด้วยความประหลาดใจว่า
“จะว่าเพื่อนก็ใช่อยู่หรอก… เพื่อนร่วมงานนะ.. ว่าแต่เธอได้ยินได้ไง”
ฉันเลยหยิบเอาหัวที่ยังชุ่มเลือดของชายคนเมื่อกี้ออกมาพร้อมกับโยนให้ชายคนนั้นก่อนจะบอกว่า
“ฉันมอบให้เพราะเห็นว่าพวกนายเป็นเพื่อนกันนะ”
“…..”
………
[ควรดีใจไหมเนี่ย เอาหัวมาฝาก… ว่าแต่เลทิเซียนี่นับวันยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ นะ – ผู้เขียน]