บทที่ 187 – โคลเอ้กับท่าทางที่แปลกๆ
ไม่นานการแข่งขันก็จบลง ผลการแข่งขันในรอบนี้ก็ได้เปิดเผยสู่สาธารณะโดยโรงเรียนที่มีคนเหลือรอดมากที่สุดนั่นก็คือ
โรงเรียนโรเซ่ ผู้ที่เหลือรอดจากรอบแรกมีทั้งสิ้นยี่สิบกว่าคนเท่านั้น ถือว่าลดลงไปมากเลยทีเดียวจากร้อยกว่าคน
ต่อมาคือโรงเรียนเอเรียสที่เหลืออยู่สิบเจ็ดคนเท่านั้น ส่วนโรงเรียนเมลต้ากับโรงเรียนไลเบอร์นั้นเหลือแค่เลขหลักเดียว
โรงเรียนไลเบอร์เหลือห้าคน แน่นอนว่าหากนับจากจำนวนที่มีอยู่ก็ถือว่าเยอะ ส่วนโรงเรียนเมลต้าเหลืออยู่เจ็ดคน
แน่นอนว่าโรงเรียนลิเบอร์นั้นเหลือรอดแค่คนเดียวเพราะมีผู้เข้าแข่งขันเพียงคนเดียวนั่นเอง
ไม่นานกลางลานกว้างนักเรียนที่ผ่านเข้ารอบต่อไปก็ได้ปรากฎตัวขึ้นหลังจากจบการแข่งขัน การถ่ายทอดสดก็หยุดลงแทบจะทันที
ในตอนนั้นเองผู้บรรยาย ลิซเบล ก็ได้ประกาศผลว่าคะแนนโรงเรียนไหนนั้นมีเยอะที่สุด แน่นอนว่าโรงเรียนลิเบอร์ก็คือโรงเรียนที่ว่า
เมื่อเธอประกาศทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างพากันคาดคิดไม่ถึง มีทั้งคนที่รับไม่ได้ และคนที่รับได้อยู่เต็มไปหมด ลิซเบลได้กล่าวขึ้นต่อ
“เอาล่ะ ในอีกสามวันข้างหน้าการแข่งขันแบบแพ้คัดออกจะเริ่มขึ้น ภายในระยะเวลาสามวัน พวกเจ้าทุกคนจงพักให้เตรียมพร้อมที่สุด”
“รูปแบบการแข่งขันแพ้คัดออกคือตามชื่อ หากแพ้จะถูกคัดออก โดยแต่ละโรงเรียนจะมีทีม แบ่งเป็นทีมละสามถึงห้าคนเพื่อต่อสู้กับโรงเรียนอื่น”
“โดยจะเป็นการส่งตัวแทนหนึ่งคนในทีมลงไปต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม หากชนะได้ก็จะสามารถต่อสู้กับคนต่อไปได้ในทันที แต่แน่นอนว่าหากเหนื่อยและไม่สามารถจัดการศัตรูคนต่อไปก็ให้คนอื่นมาแทน และเมื่อลงจากสนามจะไม่มีสิทธิ์ได้กลับเข้าสู่สนามอีกรอบ”
หรือถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือเป็นการต่อสู้ถ้าหากชนะ ก็จะยังยืนบนสนามได้หากยอมแพ้หรือพ่ายแพ้ก็แค่เปลี่ยนตัวกับทีม
“แน่นอนว่าสำหรับทีมที่เหลือคนเยอะๆ อย่างโรงเรียนโรเซ่ก็มีโอกาสชนะมากขึ้น เพราะคู่ต่อสู้มีความเป็นไปได้ว่าจะสุ่มเจอทีมโรงเรียนเดียวกับตัวเอง”
“และแน่นอนว่าหากทีมใดทีมหนึ่งเลือกที่จะยอมแพ้ให้ทีมของโรงเรียนตัวเองไปต่อได้ ก็ไม่นับว่าเป็นการผิดกฎแต่อย่างใด”
พอพูดแบบนั้นแล้ว ทุกคนก็หันมามองเลทิเซียที่เหมือนจะผ่านรอบแรกออกมาได้ พวกเขาไม่ได้ดูหน้าจอถ่ายทอดสดเพราะพวกเขาเป็นผู้แข่งขัน
ดังนั้นในตอนนี้ทุกคนจึงคิดว่าเลทิเซียอาจจะไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนจนชนะมาได้
พอกฎของการแข่งขันรอบที่สองปรากฏขึ้นอีกครั้ง คนที่เสียเปรียบที่สุดคือเลทิเซียอยู่ดี แถมครั้งนี้เป็นการต่อสู้บนสนามแบบ หนึ่งต่อหนึ่ง
และหากไม่สู้ต่อไปจนครบห้าคนก็จะไม่ผ่านเข้ารอบต่อไป ไม่สามารถหลบหนี หรือยอมแพ้ได้ เพราะตัวเองมีตัวคนเดียว!!!
ราวกับว่าการแข่งขันทั้งรอบนี้และรอบก่อน ทำออกมาเพื่อนกดดันความรู้สึกและฝั่งโรงเรียนของเลทิเซียโดยเฉพาะ
ทุกคนเองก็รู้สึกว่าตัวเองหวานปากอยู่ไม่มากก็น้อย หากได้เจอกับเลทิเซีย ต่อให้เธอเก่งจริง แต่ทุกคนก็ต้องมีขีดจำกัด
พวกเขาไม่คิดว่าเด็กตัวเล็กขนาดนี้จะสามารถอดทนสู้ได้ถึงห้าคนรวดเดียวหรอก หรือก็คือใครก็ตามที่ได้สู้กับโรงเรียนลิเบอร์
ก็คือพวกเขาได้ผ่านเข้ารอบแน่ๆ ทุกคนได้แต่คาดหวังว่าให้ตัวเองได้เจอกับเธอคนนี้ โดยไม่มีใครรู้เลยว่า… การแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น
จะนำพาไปสู่หายนะและความจริงบางอย่างที่โลกไม่เคยสัมผัสถึงมันมาก่อน..
………
ฉันในที่สุดก็ผ่านรอบแรกมาได้ด้วยคะแนนที่สูงลิ่ว ฉันมีคะแนนเกือบๆ หมื่นห้าเลยล่ะ โชคดีที่ไม่เจอคนเก่งๆ ในการต่อสู้รอบแรก
แต่รอบต่อไปนี่แหละจะเป็นประตูที่ฉันอาจจะต้องเจอคนเก่งๆ มากมาย ทีมที่ต้องสู้ด้วยยังไม่ประกาศ ส่วนของรางวัลน่ะฉันได้รับมาแล้วล่ะ
รางวัลสำหรับคนที่ได้คะแนนหมื่นห้าก็คืออาร์ติแฟ็คสองชิ้น ชิ้นแรกคือสร้อยผลึกชีวิต เป็นอาร์ติแฟ็คคู่น่ะ รู้สึกว่าจะให้สำหรับคู่รัก
ฉันไม่มีคนรักอะไรเลยให้เพื่อนอย่างสเตฟานี่ไปล่ะนะ รู้สึกว่ามันจะใช้สื่อสารและสามารถบอกสถานะอีกฝ่ายได้แม้อยู่สุดขอบโลก
คล้ายอุปกรณ์สื่อสารนั่นแหละ เพียงแต่สามารถบอกสถานะความเป็นอยู่ของอีกคนที่สวมสร้อยอยู่ได้
ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาไว้ให้เลวี่กับสเตฟานี่ เพราะสเตฟานี่เห็นของสิ่งนี้แล้วตาวาวเลย ส่วนเลวี่เองก็บ่นบอกว่าอยากได้ของขวัญบ้างตอนที่ฉันเอาสร้อยไปให้ทสึรุ
ส่วนชาร์ล็อตฉันหาเธอไม่เจอเลย อันที่จริงฉันว่าจะให้สร้อยแหวนเธอด้วยแหละ แต่ไว้ค่อยให้พร้อมกับไปขอโทษเธอแล้วกัน
เพราะช่วงนี้ฉันยุ่งหัวหมุนเลย มีคนหลายคนอยากเจอฉันอาจารย์เวโรเน่ก็ห้ามไว้ได้ส่วนหนึ่ง พวกเขาเริ่มลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของฉัน
จนอาจารย์เวโรเน่โกรธแล้วก็ซัดพวกเขาหน้าบูดหน้าบวมกลับบ้านไป ส่วนฉันก็ต้องวางแผนรับมืออย่างสุดความสามารถ
การต่อสู้ครั้งนี้ห้ามใช้อาวุธทุกอย่าง ใช้ได้แค่เวทมนตร์กับร่างกายเพียวๆ ดังนั้นอาวุธคู่กายฉันอย่างด้ายจึงแทบไม่สามารถใช้ได้
ฉันในตอนนี้กำลังเดินหาเลวี่ในที่พักของนักเรียนโรงเรียนลิเบอร์ในเมืองหลวงของมิราลิส แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
“เลทิเซีย มาหาท่านเลวิเนียงั้นสินะ”
คนที่เดินเข้ามาทักฉันคือทสึรุ ที่คอเธอสวมสร้อยที่ฉันให้ด้วยแหละ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกดีใจขึ้นมา
“อืม เลวี่หายตัวไปไหนเหรอ ฉันหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอน่ะ”
ฉันตอบออกไปทสึรุก็ตอบออกไปแบบนั้น ทสึรุก็ตอบฉัน
“รู้สึกว่า เธอจะบอกว่าเหมือนเธอนึกอะไรขึ้นได้จะไปวิจัยงานของเธอต่อที่โรงเรียนน่ะ”
“แบบนี้นี่เอง”
ในขณะที่ฉันคิดแบบนั้นนั่นเอง จู่ๆ ก็มีคนเดินมาด้านหลังพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านเลทิเซียข้ามีเรื่องจะคุย”
เสียงแบบนี้… ฉันหันหน้ากลับไปและก็อย่างที่คาดคือโคลเอ้ผู้ที่มากไปด้วยความสามารถของวิชาดาบ จะว่าไปพักนี้เธอไม่ค่อยเข้ามาคุยกับฉันเลย
ดูจากสีหน้าเธอแล้ว เธอดูจริงจังมาก ทสึรุที่อยุ่ด้านหลังเธอก็พูดขึ้นมาว่า
“งั้นข้ามีเรื่องต้องทำ ข้าขอตัวก่อนนะ”
ว่าแล้วเธอก็เดินจากไป ส่วนโคลเอ้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแสดงสีหน้าลังเลออกมา จะว่าไปแล้วพักนี้เธอมีสีหน้าแปลกๆ นี่น่า
เธอมองฉันอยู่พักหนึ่งก่อนที่เธอจะถามฉันด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุขว่า
“ท่านเลทิเซียน่ะ.. เคยฆ่าคนหรือเปล่าคะ?”
“ห้ะ นี่เธอพูดอะไรของเธอนิ”
ฉันสับสนกับคำถามของเธอ ทำไมเธอถึงสนใจเรื่องแบบนั้น แต่ในตอนนั้นเองโคลเอ้ก็ถามซ้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยใช้กับฉัน
“ช่วยตอบมาด้วยเถอะค่ะ เคยฆ่าคนหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ..”
ฉันไม่รู้จะตอบยังไงดี แต่จะบอกว่าไม่เคยก็คงไม่ได้เพราะ ด้วยมือข้างนี้ ด้วยกำปั้นคู่นี้ฉันเคยฆ่าคนไปมากกว่าสิบคน
ถามว่าฉันเคยรู้สึกเสียใจหรือเปล่าในการฆ่าคน ถ้าจะตอบว่าไม่ ก็คงเป็นการโกหก เพราะยังไงแล้วสำหรับการฆ่าคนคนหนึ่งมันก็หนักหนาเกินไป
แต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าต้องแก้ไข เพราะฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนั้น คิดแบบนั้นฉันก็พยักหน้าไม่ปฏิเสธ
เธอเบิกตากว้างก่อนจะเดินเข้ามาจับแขนของฉันทั้งสองข้างด้วยสีหน้าดูน่ากลัวไม่เหมือนโคลเอ้ที่ฉันรู้จัก
“ฆ่าไปตอนไหนคะ ฆ่าไปกี่คนคะ?”
“เอ่อ.. ฉันเจ็บนะโคลเอ้”
ฉันที่ไม่ได้ใช้ทั้งวิชาดาวไร้ลักษณ์หรือเวทมนตร์เสริมกำลังไม่มีทางทนพละกำลังที่มากมหาศาลของโคลเอ้ได้อยู่แล้ว
พอฉันพูดออกไปแบบนั้นเธอก็ตกใจรีบปล่อยมือ
“ขอโทษค่ะ แต่.. ฆ่าไปกี่คนแล้วงั้นเหรอคะ?”
“ไม่ถึงยี่สิบหรอก”
“งั้นเหรอคะ?”
เธอได้ยินแบบนั้นเธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เอ่อ นี่เธอดูจริงจังกับชีวิตคนขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่โกรธฉันเหรอ
ฉันที่กำลังงุนงงกับท่าทางของโคลเอ้นั้น เธอก็ก้มลงมองหน้าฉันในระยะประชิดแล้วก็พูดขึ้น
“ได้โปรดอย่าฆ่าใครอีกนะคะ ข้าขอร้อง หากเป็นแบบนี้ต่อไป….”
เธอพูดถึงแค่นั้นแล้วก็หยุดชะงักลงก่อนที่จะเงียบไปพักหนึ่ง ถึงจะไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรแต่ฉันก็หยิบดาบเล่มหนึ่งออกมา
“ฉันลืมซื้อสร้อยมาให้เธอ เพื่อเป็นการขอโทษฉันจะให้ของสิ่งนี้แทนแล้วกันนะ มันคืออาร์ติแฟ็คประเภทอาวุธ ดาบจูชิน ที่ฉันได้รับมาจากการได้ที่หนึ่งในการแข่งน่ะ”
“อะ เอ๋ แต่ว่า…”
พอฉันให้ของขวัญเธอก็ตกใจ ก่อนที่จะลังเล แต่ว่าโคลเอ้ก็คือคนที่ฉันรู้จักมาตั้งนานแล้ว ฉันเคยทำให้เธอลำบากตั้งเยอะของแค่นี้..
แต่ฉันก็ยังงุนงงกับท่าทางของเธออยู่ หลังจากเธอปฏิเสธอยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายก็โดนฉันยัดของใส่มืออยู่ดีนะ