บทที่ 205 – สิ่งที่สำคัญที่สุด
หลังจากนั้นสเตฟานี่ก็เริ่มจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเซเรส ซึ่งในตอนแรกมันไม่มี ไม่สิ อาจจะมีอยู่ แต่มันค่อยๆ รุนแรงขึ้น
สเตฟานี่พยายามจะช่วยหยุดเธอจากการที่เซเรสทำร้ายตัวเองตอนหลับ แต่มันกลับไม่เป็นผลดีเลยสักนิด พอจับแขนเธอไว้เธอก็จะกัดปากัดลิ้น
ปิดปากเธอไว้เธอก็จะใช้ขาดิ้นทุรนทุราย สเตฟานี่ไม่สามารถช่วยอะไรเพื่อนคนตรงหน้าได้เลย
ทุกๆ คืนเธอทำได้เพียงนั่งมองเซเรสที่ทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนเช้าเธอจะเห็นเซเรสที่ค่อยๆ ลืมเรื่องในอดีตไปทีละนิดทีละหน่อย
มีเพียงความตายเท่านั้นที่กำลังเข้าใกล้ ความตายของเธอจะเป็นความตายที่ไม่สามารถจำใครได้อีกต่อไป…
สเตฟานี่ได้แต่มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอตรงหน้า เด็กผู้หญิงที่อายุพอๆ กับเธอเท่านั้น…
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เซเรสเริ่มที่จะลืมเลือนแม้แต่หญิงสาวที่มอบความหมายในการใช้ชีวิตให้กับเธอ
เธอที่เคยสอนว่าไม่ใช่ว่าเราต้องเจอเรื่องสนุกก่อนค่อยสนุก แต่เราต้องรู้สึกว่ามันสนุกมันถึงจะสนุก
ใช่ เธอต้องสนุกไปกับมัน.. แต่ความทรงจำในอดีตมันหายไปหมดแล้ว…เธอจำไม่ได้แล้วว่าใบหน้าของแม่เป็นยังไง ใบหน้าผู้หญิงคนนั้นเป็นแบบไหน
แม้แต่ใบหน้าของคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ เธอลืมไปแล้ว.. เธอในตอนนี้จำได้เพียงความทรงจำที่ว่าพ่อที่ตัวเองไม่เคยเห็นหน้าไล่ตัวเองออกจากบ้าน
เธอจึงต้องมาเรียนอยู่ที่นี่…
แต่ไม่ว่าเธอจะลืมสิ่งใดไปในตอนกลางคืน พอตอนเช้าเธอก็จะยิ้มและหัวเราะออกมา
เธอลืมความหมายในการมีชีวิตอยู่ไปแล้ว เธอลืมเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีชีวิตอยู่ไปแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
แต่อาจจะเป็นเพราะการยิ้มและหัวเราะมันกลายเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเธอไปแล้ว มันทำให้ทุกๆ วันเธอจะยิ้มและสนุกไปกับชีวิต…
ที่ไม่รู้ว่ามีไปทำไมนี้..
แน่นอนว่าสเตฟานี่เข้าใจทุกอย่างดี เธออยากจะช่วยเหลือเพื่อนที่สำคัญของตัวเอง เธอจึงเริ่มที่จะเรียนพิเศษ
แต่ด้วยความที่เธอต้องทำงานหาเงินในโรงเรียนด้วย ทำให้เธอมีเวลาว่างน้อยนิด ทั้งยังต้องมาดูแลเซเรสในบางคืน
มันทำให้เธอแทบไม่มีเวลาว่างเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ค่อยๆ ชินกับมัน และแน่นอนว่าเซเรสเองก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งนี้
เธอได้รู้แล้วอย่างหนึ่งว่า…เหตุผลที่เธอต้องมีชีวิตอยู่ละก็.. ก็คงเป็นเพราะเพื่อนคนที่อยู่ข้างๆ นี่ เธอทำทุกอย่างเพื่อเซเรส
และเมื่อเซเรสเห็นสีหน้าสเตฟานี่ตอนเศร้ามันทำให้เธอรู้สึกเจ็บช้ำไปด้วย เธอไม่ต้องการแบบนั้นเลย
เธอไม่อยากให้สเตฟานี่แสดงสีหน้าแบบนั้น เพราะแบบนั้นทุกๆ วันเธอจะยิ้ม จะหัวเราะ… จะสนุกสนานต่อไป
แม้เธอในตอนนี้… จะลืมไปแล้วก็ตามว่าพวกเธอทั้งสองรู้จักกันได้ยังไง.. หรือมีเรื่องอะไรที่เธอต้องทำหรือเปล่า
ความสำคัญอย่างแรกของเธอเลยคือเพื่อน.. ใช่ เพื่อนน่ะใจดีกับเธอตลอด ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทุกๆ วันเธอจะลืมเรื่องของสเตฟานี่ไปทีละนิดทีละหน่อย
แต่เซเรสก็จะยังคงยิ้มและ.. บอกว่าเพื่อนเธอน่ะสำคัญมาก ไม่ควรโกหกเพื่อน และเพื่อนก็ไม่มีทางโกหก…อย่างแน่นอน
กล่าวคืนทุกๆ วันเธอจะพยายามเล่นกับสเตฟานี่เพื่อสร้างความทรงจำใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อไม่ให้เธอลืมสเตฟานี่ไปจากความทรงจำ
ทุกๆ วันราวกับมีความมืดค่อยๆ ไล่กัดกินความทรงจำ… ในแต่ละวัน….
ขนในที่สุดเธอก็ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่.. เพื่อนใหม่ที่ชื่อเลทิเซีย
สำหรับเธอแล้วเลทิเซียเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อน แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก แต่การที่คนคนนี้เป็นเพื่อนสเตฟานี่น่ะไม่ผิดแน่
และเพื่อนของเพื่อนก็คือเพื่อน
ความจริงคือเธอมีความสุขมากที่ได้มีเพื่อนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นความเชื่อใจของเซเรสที่มีน่อเลทิเซียจึงมีขึ้นมาโดยทันที
และพยายามจะสร้างความทรงจำใหม่ๆ กับเพื่อนใหม่ของตัวเอง.. ก่อนที่จะต้องกลับบ้าน
ครอบครัวเธอตามเธอกลับบ้าน
เธอไม่เข้าใจว่าครอบครัวคืออะไร แต่อย่างน้อยเธอก็จำได้ว่าเธอถูกไล่ออกจากบ้าน แต่แน่นอนเธอไม่รู้บรรทัดฐานของครอบครัว
เธอจึงทึกทักไปเองว่าบางทีการไล่เธอออกจากบ้านจนทำให้เธอมาเจอเพื่อนที่ดีแบบนี้ ให้เธอได้รู้จักกับคนที่ดีแบบนี้อาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ
แต่ถ้าอยากให้เธอมีความสุขก็ควรสร้างเองไม่ใช่โยนให้คนอื่นไม่ใช่เหรอ.. ใช่เพราะแบบนั้นพอพูดถึงเรื่องครอบครัวเรียกเธอกลับบ้านเธอถึงได้บ่นออกมาว่า
“ใช่ๆ ทั้งๆ ที่ท่านพ่อไล่ข้าออกจากบ้านแล้วแท้ๆ ทีแบบนี้มาเรียกข้ากลับ หึ ไอ้แก่เฮงซวยเอ๊ย”
เธอเข้าใจแบบนั้น…ในวันนั้นพวกเธอสนุกไปกับการท่องเที่ยวยามราตรี จนถึงเวลาต้องลาจากก็มีจดหมายฉบับหนึ่งบินมาหาเธอ
เซเรสเปิดอ่านเนื้อหาภายในจดหมายนั้น
ในนั้นเต็มไปด้วยคำพูดที่พอเธอได้อ่านก็รู้สึกเจ็บไปทั้งอก ไม่ว่าจะเป็นข้อความเชิงดูถูก ข้อความเชิงเหยียดหยาม
หรือแม้แต่ถูกดูหมิ่นและออกคำสั่ง แต่ทั้งอย่างนั้นพอเธอแอบหันขึ้นมามองเพื่อนทั้งสองคนเธอถึงได้ยิ้มออกมาได้
เหมือนกับว่าตรงนี้ยังมีคนเห็นเธอสำคัญ แต่ตำแหน่งครอบครัวในใจของเธอก็สั่นคลอนไม่มากก็น้อย
แต่เนื้อหาในจดหมายเหมือนครอบครัวของเธอจะเจอกับปัญหาใหญ่มาก ต้องการให้เธอไปช่วยปล้นของ
เพราะเหมือนว่าสถานที่ที่ต้องไปปล้นจะเป็นโกดังที่เวทมนตร์ป้องกัน ถ้าเป็นเซเรสที่สามารถเข้าเรียนหนึ่งในห้าโรงเรียนใหญ่ระดับทวีปได้ละก็ต้องแก้ได้แน่
นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวเธอคิด ดังนั้นจึงส่งจดหมายมาขอความช่วยเหลือ… ไม่สิ.. มาออกคำสั่งกับเธอมากกว่า
พอเธอเห็นคำพวกนั้นเธอไม่ได้รู้สึกสุขใจเหมือนกับตอนอยู่กับเพื่อนทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
แต่ความจรจิงที่ว่าครอบครัวเธอที่ให้กำเนิดเธอนั้นเดือดร้อนถึงฆาตไม่ผิดแน่.. เพราะในจดหมายบอกไว้แบบนั้น
เธอที่สับสนกับทางเลือกของตัวเอง…จึงได้ถามกับเพื่อนๆ ทั้งสองที่มีครอบครัวเหมือนกันว่า….
“สำหรับพวกเจ้าแล้วครอบครัวสำคัญหรือเปล่าสำคัญมากกว่าคนอื่นหรือเปล่า พวกเจ้าอยากจะทำให้พวกเขาเดือดร้อนหรือเปล่า”
และคำตอบของเพื่อนที่สำคัญที่สุดและอาจจะเป็นเหตุผลที่เธอยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็คือ..
“แน่นอนว่าครอบครัวสำคัญที่สุด”
เพื่อนที่แสนสำคัญของเซเรสทั้งสองตอบออกมาแทบจะพร้อมกัน และเลทิเซียก็ยังพูดต่อว่า…
“แน่นอนว่าการทำให้ครอบครัวเดือดร้อนน่ะ.. คือสิ่งที่ผิด.. ไม่ควรทำ…โดยเด็ดขาด”
เธอพูดแบบนั้นเสร็จก็เหมือนไคร่ครวญกับตัวเอง พอเซเรสได้คำตอบเธอจึงสบัดความไม่สบายใจทั้งหมดทิ้ง
เธอพยักหน้าและขอบคุณเพื่อนทั้งสอง..
ใช่แล้ว เพื่อนของเธอทั้งสองคนต่างมีความเห็นเหมือนกันเลย และเธอก็ไม่ควรทำให้ครอบครัวเดือดร้อนแน่
พอมานึกดีๆ ว่าครอบครัวเป็นคนทำให้เซเรสมาเจอกับเพื่อนคนสำคัญของตัวเองแบบนี้ เธอก็ไม่ควรทำให้พวกเขาเดือดร้อน
ใช่ ไม่ใช่แค่เชื่อใจในตัวเพื่อน แต่เชื่อในตัวของครอบครัวด้วย…
เพราะงั้นเธอที่ลืมบรรทัดฐานความดีที่คนคนหนึ่งเคยสอนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว จึงมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความรู้สึกที่มองว่า
เพื่อนคือคนใจดีคอยช่วยเหลือและครอบครัว… ต้องเป็นจุดที่ทำให้ตัวเธอสบายใจที่สุดเช่นกัน
เธอในตอนนี้นอกจากจะเชื่อใจเพื่อน ยังเชื่อใจในครอบครัว.. ทำให้คนอื่นมีความสุข ทำให้คนยิ้ม..?
ทุกอย่างลืมไปแล้ว.. ครอบครัวน่ะสำคัญที่สุด เธอต้องไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน… ต่อให้ต้องปล้นหรือฆ่า ใครก็ตาม…