การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 212

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 212 – สองโลกที่แตกต่าง

ความเป็นจริงถูกบิดเบือน! สิ่งที่เรียกว่าความเป็นจริงนั้นกล่าวถึงทุกอย่างที่สิ่งมีชีวิตสามารถรับรู้ได้

ยกตัวอย่างเช่นสี ทั้งโลกเรามีสีอยู่มากมายหลากสีนั่นแหละคือความเป็นจริงของโลกใบนี้… แต่ทว่าการบิดเบือนความเป็นจริงนี้

สามารถทำให้สีที่มีมากมายนั้นเหลือเพียงแค่สองสียังได้! นั่นแหละคือพลังของสิ่งที่เรียกว่าการบิดเบือนความเป็นจริง

มันคือพลังที่สามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างแท้จริง อันที่จริงสำหรับเหล่าผู้กล้าหรือจอมมารคงไม่นับว่าเป็นเรื่องไกลตัวเกินไปนัก

แต่สำหรับนักเวทในระดับมหานักเวทแล้ว.. มันแทบจะเป็นไปได้ยากมาก แม้ไม่นับว่าไม่สามารถหาได้ แต่ก็นานทีมีครั้งเพียงเท่านั้น

บุคคลที่สามารถสร้างสิ่งนี้ได้ล้วนแล้วไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน นี่ยังไม่กล่าวถึงว่าผู้ที่ใช้ของชิ้นนี้ในตอนนี้เป็น..ผู้สืบทอดคัมภีร์แห่งรูนเท่านั้น

หาใช่ผู้คนพบ!

กล่าวมากความคงจะไม่ดี เพราะในจังหวะที่ดาบเล่มนี้ปรากฏขึ้นมาสีหน้าของเซเรสก็ซีดลงราวกับว่ามีพลังความเผด็จการมากดหัวเธอเอาไว้

“สเตฟานี่….”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเบาบางออกมา แต่สเตฟานี่ไม่ได้สนใจเธอจับดาบเล่มนั้นออกมา คัมภีร์แห่งรูนก็ร่วงลงกับพื้น

แม้ว่าสเตฟานี่จะไม่เคยใช้ดาบมาก่อน แต่ทันทีที่เธอจับดาบ เธอก็ราวกับกลายเป็นเพชฌฆาตผู้ลงดาบกับอาชญากรชั่วร้าย

ขาของเธอก้าวออกไปข้างหน้าเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างของเธอทะลุความว่างเปล่ามาโผล่อยู่ตรงหน้าเซเรส

ดาบเล่มนั้นตวัดใส่คอของเซเรสทันที แต่ทว่าเซเรสกลับตอบโต้ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดของเธอก็ตอบสนองทันที

ดาบที่อยู่ข้างเอวถูกชักออกมารับดาบของสเตฟานี่จนเกิดเสียงสนั่น ร่างของเซเรสถอยไปกับพื้นหลายเมตร

ดาบของเธอไม่ได้ถูกลบให้หายไป แน่นอนว่าดาบบิดเบือนความเป็นจริงเล่มนี้ไม่สามารถทำอันตรายให้กับสิ่งของได้

นั่นคือข้อเสียอย่างหนึ่งของดาบเล่มนี้ ต้องฟันใส่สิ่งมีชีวิตเท่านั้น เพราะสิ่งของไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย คนที่ผิดคือผู้ถือครองต่างหาก

“ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้ด้วย ทำไมพวกเราต้องฆ่ากันด้วยล่ะ สเตฟานี่!!!!”

เซเรสตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างของเธอยังสั่นอยู่เลย เพราะการที่ถือดาบหันใส่ ‘เพื่อน’ สำหรับเธอมันเป็นเรื่องยากเกินไป

พอได้ยินคำถามของเซเรส สเตฟานี่ก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเธอนั้นราวกับคนบ้า เหมือนกับว่าเธอได้ยินคำถามที่โง่งมที่สุดในโลก

ในเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียดชังและความผิดหวังนั้น เธอจ้องมองไปยังคนที่ ‘เคย’ เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของตัวเอง

“ทำไมงั้นเหรอ ฮ่าๆ งั้นข้าขอถามเจ้ากลับว่า ทำไมเจ้าต้องฆ่าพ่อกับแม่ข้าด้วย?”

พวกสเตฟานี่ตะโกนด้วยเสียงแหบพร่าเห็นชัดว่าเธอร้องไห้เป็นเวบลานานจนทำให้เสียงเปลี่ยน เซเรสที่ได้ยินคำถามนั้นเธอยิ่งไม่เข้าใจ

ทำไมสเตฟานี่ถึงถามแบบนั้นกัน.. มันสำคัญขนาดนั้นเลยอย่างนั้นเหรอ? แต่แน่นอนว่าเซเรสไม่มีทางเลือกนอกจากตอบออกไปเพื่อสนทนากับสเตฟานี่ต่อ

“นั่นก็เพราะคำสั่งของท่านพ่อ..”

พอสเตฟานี่ได้ยินแบบนั้น เธอก็หัวเราะออกมาพร้อมกับพุ่งโจมตีใส่เซเรสทันที เสียงหัวเราะของเธอเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

“ใช่ไง? เจ้าทำเพื่อพ่อ และข้าเองก็จะฆ่าเข้าเพื่อพ่อกับแม่ของข้า เหตุผลมันก็แค่นั้นแหละ”

คมดาบสีดำของสเตฟานี่พุ่งตวัดเป็นแนวตั้งใส่หัวของเซเรส แต่ว่าเซเรสก็ใช้ดาบในมือตวัดดาบป้องกัน “เคร้ง”

เธอไม่เข้าใจคำตอบของเลยสักนิด เธอจึงตะโกนตอบกลับออกไปด้วยความสับสนภายใต้สีตกกระทบของดาบสองเล่ม

“ข้าไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด ทำไมพวกเราต้องมาฆ่ากันด้วยเหตุผลแค่นั้น อีกทั้งเจ้าสองคนนั้นมันก็ตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

เสียงตะโกนตอบกลับของเซเรสเหมือนกับทำเสียงบางอย่างในใจของสเตฟานี่ขาดลง เธอใช้ดาบในมือบุกจู่โจมด้วยความโกรธแค้น

“ใช่ พวกเขาตายไปแล้ว.. ตายไปหมดแล้ว ด้วยฝีมือเจ้าไงล่ะเซเรส เจ้าบอกว่าเป็นเหตุผลแค่นั้น.. งั้นเจ้าจะบอกว่าเจ้าฆ่าพ่อแม่ข้า.. ฆ่าคนด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อเจ้าสั่งแค่นั้นอย่างนั้นเหรอ”

ด้วยการรุกหนักของสเตฟานี่ทำให้เซเรสถอยหลังอย่างไม่หยุด อีกทั้งการที่สเตฟานี่ฟันดาบใส่ไม่หยุดมันทำให้มือทั้งสองข้างเธอเริ่มด้านชา

“จริงอยู่ที่การฆ่าคนไม่ดี.. และมันก็เป็นเหตุผลแค่นั้น.. แต่พ่อกับแม่เจ้าตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ อีกทั้ง…”

เซเรสที่กำลังจะพูดว่าอะไรสักอย่างแต่คำพูดก่อนหน้าทำให้สเตฟานี่รู้สึกโกรธจนหน้าเป็นริ้วเป็นรอย เธอเหวี่ยงดาบใส่เซเรสไม่หยุด

สเตฟานี่ไม่คิดว่าคนที่ตัวเองเคยเป็นเพื่อนจะไร้ใจขนาดนี้ ทั้งที่เธอพยายามสอนเรื่องคุณค่าของชีวิตไปมากแค่ไหนก็ตาม

แต่เซเรสกลับไม่สนใจพูดออกมาหน้าด้านๆ ว่าแค่คนตาย.. อีกทั้งสองคนนั้นยังเป็นพ่อแม่ของสเตฟานี่ที่รักยิ่ง มันจะทำให้เธอไม่โกรธได้อย่างไร?

“หุบปาก หุบปาก หุบปาก!!! เจ้ามันสมควรตาย ข้าจะล้างแค้นให้ท่านพ่อกับท่านแม่ หุบปากและยอมแพ้แล้วไปตายซะ”

ในจังหวะนั้นคมดาบของสเตฟานี่ก็ตวัดใส่แขนขวาที่ถือดาบของเซเรสจนขาดได้สำเร็จ แขนขวาเธอลอยออกไปอย่างน่ากลัว

และในชั่วพริบตานั้นฤทธิ์ของการบิดเบือนความเป็นจริงจะทำงานแต่อารมณ์ด้านลบในจิตใจของเซเรสนั้นมีมากมายเกินไป

มันอึดอัด และเสียใจ.. เสียใจที่ต้องฆ่าฟันกับเพื่อนของตัวเอง มันจึงทำให้อาร์ติแฟ็คที่เลทิเซียให้มาทำงาน

แม้ว่าพลังของการบิดเบือนความเป็นจริงพยายามจะลบเซเรสออกไปจากโลกแต่ทว่า พลังของอาร์ติแฟ็คที่ถูกกระตุ้นจากอารมณ์ด้านลบมันก็มีมากไม่แพ้กัน

และพริบตานั้นเอง เสียงแตกร้าวก็ดังขึ้น อาร์ติแฟ็คที่เลทิเซียมอบให้ก็พังทลายลง แต่ทว่าแขนที่ควรถูกตัดก็ฟื้นฟูกลับมาดังเดิม

การบิดเบือนความเป็นจริงสู้อารมณ์เสียใจของเซเรสไม่ได้!!! แม้อาร์ติแฟ็คนั่นจะล้ำค่าขนาดไหน แต่การที่จะหยุดผลของการบิดเบือนความเป็นจริงมันแทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

แต่ทว่าภายใต้อารมณ์ด้านลบที่มากเกินไปมันจึงสามารถทำให้ต้านทานได้หนึ่งครั้ง แต่อาร์ติแฟ็คนั้นก็พังทลายลงไปในที่สุด

“ของขวัญของเลทิเซีย เจ้าไม่คู่ควรกับความใจดีของเธอ”

สเตฟานี่ตะโกนออกมา เซเรสสีหน้าซีดเผือดเนื่องจากเมื่อกี้ราวกับเธออยู่คาบกึ่งเส้นกั้นระหว่างความเป็นและความตาย

ภายใต้ความเสี่ยงตายของเซเรสมันจึงทำให้เธอโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว เธอถอยห่างออกไปหลายเมตร ก่อนที่จะตะโกนออกไป

“มันจะมากเกินไปแล้วนะสเตฟานี่ เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่เพราะของที่เลทิเซียให้ ข้าได้ตายไปจริงๆ นะ”

เสียงตะโกนของเธอดังออกมามันทำให้สเตฟานี่หยุดชะงักลง ดาบสีดำในมือของสเตฟานี่ลดต่ำลง

“มากเกินไป…?”

มากเกินไปอย่างงั้นเหรอ สเตฟานี่ไม่เข้าใจคำพูดของเซเรสเธอไม่เข้าใจว่ามากเกินไปในที่นี้มันคืออะไรสำหรับเซเรส

แต่การที่บิดามารดาของเธอมาตาย.. ตายโดยที่ตาไม่หลับด้วยซ้ำ สีหน้าสิ้นหวังของมารดายังคงแทรกซึมในหัวใจ

ท่านแม่ที่เลี้ยงดูมาตลอด ท่านแม่ที่แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่พอได้กินขนมหวานก็ทำท่าทางเหมือนกับเด็ก

เธอตายไปโดยที่ตาไม่หลับ สำหรับสเตฟานี่มันยังมีอะไรที่จะมากไปกว่านี้ได้อีกเหรอ การที่เธอจะล้างแค้นกับคนที่ทำแบบนั้นกับพ่อแม่เธอมันมีอะไรมากไปกว่านั้นอีกเหรอ

“เจ้าบอกว่ามากเกินไปอย่างนั้นเหรอ.. การที่เจ้าฆ่าท่านพ่อกับท่านแม่ข้า เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่ามันมากเกินไปอย่างงั้นเหรอ”

“เจ้ารู้ไหมท่านแม่ข้าน่ะตายโดยที่ตาเธอไม่หลับด้วยซ้ำนะ คำพูดสุดท้ายที่เธอพูดกับข้า เจ้ารู้หรือเปล่าว่าคืออะไร”

เธอถามออกไปหวังว่าเซเรสจะเข้าใจความรู้สึกในตอนนี้ของตัวเอง เพราะเซเรสก็อยู่ในเหตุการณ์ ไม่สิ.. เธอเป็นผู้ลงมือเยต่างหาก

อย่างน้อย.. อย่างน้อยเธอก็อยากให้เซเรสสำนึกผิดต่อหน้าเธอกราบขอขมาแม่ของเธอ.. เพียงแค่นั้น..

“ข้าน่ะ..ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลยนะ.. ท่านแม่มีแต่ให้ข้าอยู่ตลอด.. แต่ว่า.. ข้ายังไม่ได้ตอบแทนอะไรท่านแม่เลย.. ท่านก็ด่วนจากไปก่อนไวอันควร”

“เจ้ารู้ไหมเพราะใคร.. ใช่… เพราะเจ้าไง.. เจ้ายังจะบอกว่ามันมากเกินไปอีกหรือเปล่า”

สเตฟานี่ร้องไห้ทั้งที่พูดออกมา พอพูดเสร็จเธอเงยหน้าขึ้นมองเซเรส.. พอนึกถึงหน้าเซเรสขึ้นมาเธอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเช่นกัน

ทำไมเธอต้องมาทำอะไรแบบนี้กับคนสำคัญของเธอด้วย.. เซเรสยังไม่เคยคิดจะตอบโต้เธอสักครั้งเลย.. ใช่ สเตฟานี่ก็รู้สึกเสียใจอยู่ในอกไม่น้อย

ในตอนนั้นเองสร้อยที่เลทิเซียเคยให้ก็เรือนแสงแผ่วเบา ความรู้สึกนี้ของสเตฟานี่มันถูกส่งไปหาเลทิเซียด้วย

แต่ยังไม่ทันให้สเตฟานี่สังเกตเห็น ก็มีคำตอบที่ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดของเซเรสก็ดังขึ้น

“แล้วมันยังไงล่ะ มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่ตายน่ะ???”

“…….”

………

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท