บทที่ 217 – ความโกรธ
ก่อนหน้านี้ที่สเตฟานี่ เลทิเซียและเซเรสกำลังมีปัญหากันอยู่เลมิสทาเรียผู้ซึ่งใช้โอกาสนี้ล่วงลึกเข้าไปในห้วงวิญญาณของเลทิเซีย และทันทีที่เจ้าตัวสัมผัสกับดวงวิญญาณของเลทิเซีย
เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ไม่ใช่เสียงของเลทิเซีย แต่เป็นเสียงของเลมิสทาเรียนั่นแหละ
เธอกรีดร้องโหยหวนราวกับถูกไฟลวก พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น”
ตลอดแปดดวงวิญญาณที่ผ่านมาเธอล้วนทำเช่นนี้ทุกอย่าง พูดอีกอย่างก็คือเธอมีประสบการณ์ในการกลืนกินดวงวิญญาณมามากมาย
การกลืนกินดวงวิญญาณมันมีหลักการเดียวกับที่สร้อยผลึกชีวิตใช้ เพียงแต่ผู้ที่ถูกกลืนกินจะเสียเปรียบกว่ามาก
เพราะเป็นผู้ถูกกระทำแถมการโจมตีทางวิญญาณยังไม่สามารถใช้พลังทางกายภาพป้องกันได้ แม้จะมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อดวงวิญญาณเช่นกัน
แต่นั่นก็ไม่สามารถป้องกันการกลืนกินได้ แต่ทว่าพอเลมิสทาเรียสัมผัสกับดวงวิญญาณ ความแสบร้อนก็พุ่งเข้าสู่วิญญาณของเธอ
แค่นี้ยังพอว่า แต่มันไม่ใช่แค่นี้ คนที่ถูกดูดกลืนกลับกลายเป็นเธอเสียเอง ดังนั้นเธอจึงได้แต่กรีดร้องถอยออกมาจากดวงวิญญาณของเลทิเซีย
“อ้า หัวของข้า.. ไม่”
เธอร้องออกมาราวกับดวงวิญญาณกำลังถูกเข็มนับพันแทงอย่างไม่สามารถป้องกันได้
ความเจ็บปวดที่วิ่งแล่นไปทั่วได้แต่สร้างความงุนงงให้เธอ สถานการณ์ตอนนี้มันคือเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกันแน่
เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่แน่นอนว่าแผนหลายร้อยปีที่ผ่านมาเธอไม่มีทางยอมแพ้เพราะพลาดครั้งแรกอย่างแน่นอน
เลมิสทาเรียกัดปากด้วยความหงุดหงิดและกำลังจะใช้เวทมนตร์นั้นเอง สุ้มเสียงปริศนาก็ดังขึ้นจากแห่งหนใดไม่มีใครทราบ
ราวกับว่ามันดังมาจากห้วงเวลาที่ไกลออกไป
“นี่เจ้า.. คิดจะทำอะไร?”
“ใครน่ะ!!!”
เลมิสทาเรียรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งกาย เธอจำได้ว่านี่ไม่ใช่เสียงของเลทิเซียหรือนังเด็กสเตฟานี่นั่น
หมายความว่า.. ในตัวเลทิเซียมีวิญญาณอื่นอยู่อีกงั้นเหรอ อีกทั้งเสียงเมื่อกี้แค่ฟังก็รู้สึกว่าพลังแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้
ไม่สิ เลมิสทาเรียก็เคยเจอเทพมาบ้าง แต่ต่อให้เป็นเทพเธอก็ไม่คิดว่าจะสามารถใช้เสียงง่ายๆ ในการเขย่าขวัญเธอได้
ในตอนนี้เธอจึงตกใจอย่างมาก
“อ่า…?”
ในตอนนั้นเองเสียงที่ดูเย็นชานั้นก็อุทานอย่างตกใจ เธอเหมือนจะแปลกใจในเรื่องบางเรื่องขึ้นมาก่อนที่จะส่งเสียงใคร่ครวญ
“อืมๆ ..แบบนี้นี่เอง.. อ๋า? เป็นแบบนี้เอง อ่า ท่านจอมมารนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราจะเจอกันสินะ?”
เธอพูดพึมพำอยู่คนเดียวแต่เหมือนจะมีแค่เลมิสทาเรียที่ได้ยินเสียงนี้ แต่ว่าเธอก็ไม่มีเวลาขนาดนั้น
เธอพ่นลมหายใจออกมาและตรงดิ่งไปยังดวงวิญญาณของเลทิเซีย แต่ทันทีที่อ้าปากและจะกลืนกินดวงวิญญาณของเลทิเซียนั้นเอง
“อ้ากกก”
เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้ดวงวิญญาณของเธอดูพร่าเลือนลงไปไม่น้อยสีหน้าซีดเผือด
“งั้นเหรอ..”
และในตอนนั้นเองเสียงของเลทิเซียก็ดังขึ้นมา ในตอนนี้สีหน้าของเลทิเซียก็มืดมนลงไปมากเมื่อกี้นี้สเตฟานี่พึ่งสลายหายไปต่อหน้าต่อตา
ใช่แล้ว เธอตายไปแล้ว ไม่มีทางช่วยได้แล้ว และไม่ถึงนาทีต่อมาเลมิสทาเรียที่พยายามกลืนดวงวิญญาณเลทิเซีย
แต่เหมือนกลับถูกกินซะเอง นั่นหมายความว่า.. ความทรงจำส่วนหนึ่งของเลมิสทาเรียถูกเลทิเซียมองเห็น
และหนึ่งในนั้น คือแผนการอันชั่วร้ายของสองพี่น้องคู่นี้.. แล้วคิดว่าในตอนนี้เลทิเซียจะรู้สึกยังไง
ตลอดมาเลทิเซียเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดจะสู้ใคร เธอเป็นคนประเภทที่หากเจอปัญหาก็ต้องหลีกเลี่ยงไว้ก่อน
และด้วยความที่เธอเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย สำหรับเลทิเซียจึงกลายเป็นว่าเธอพยายามหลีกเลี่ยงข้อพิพาททุกอย่างกับการปฏิสัมพันธ์รอบด้าน
ไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากทำ แต่เพราะเธอกลัวต่างหาก กลัวว่าจะโดนลอบกัด กลัวว่าจะมีปัญหา ดังนั้น..
ตลอดมาเธอจึงหลีกเลี่ยง เมื่อเจอสถานการณ์ขับขันก็ต้องทุ่มสุดกำลังเพราะว่านั่นเป็นเหตุการณ์ที่ ‘หลีกเลี่ยง’ ไม่ได้แล้ว
แม้แต่ก่อนหน้านี้เองที่เธอโกรธ แต่นั่นก็เพราะเธอไร้หนทาง ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ ความอึดอัดมันทำให้เธอระเบิดความโกรธออกมาอย่างคับแค้นใจ
แต่ทุกอย่างที่กล่าวมามันไม่เหมือนกับตอนนี้.. ตอนนี้เธอกำลังโกรธอย่างแท้จริง มันมากยิ่งกว่ามีคนมาดูถูกพี่น้องของเธอ
เพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นโดยมีคนจัดฉากทำให้คนสำคัญ คนที่ยอมรับตัวเธออย่างสเตฟานี่หายไป…
เธอตายไป.. ใช่แล้ว ในตอนนี้เลทิเซียกำลังโกรธมากเสียงลึกลับที่เคยพูดกับเลมิสทาเรียก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ราวกับว่าไม่ต้องการที่จะพูดอะไรในยามนี้
“ทุกอย่างมันเป็นฝีมือของพวกเธอสินะ”
น่าแปลกที่แม้จะโกรธแต่เธอก็ยังพูดขึ้นมาราวกับกำลังสงบนิ่ง หากเป็นแต่ก่อนอารมณ์โกรธมันคงระเบิดออกไปแล้ว
แต่เธอในตอนนี้กลับต่างออกไป มันดูน่ากลัวกว่าเดิมเสียอีก
“เอาล่ะ เจ้าเองก็ได้เวลาออกไปแล้วนะ ชิ้วๆ”
เสียงลึกลับนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง พอมันดังขึ้นเลมิสทาเรียก็กรีดร้องโหยหวนก่อนที่จะหลุดออกจากตัวของเลทิเซียอย่างง่ายดาย
ในโลกด้านนอกเธอปรากฏตัวออกมาก่อนที่จะมีร่างกายเหมือนเดิมทุกระเบียบนิ้ว จากการถูกเตะออกจากห้วงจิตเมื่อสักครู่มันทำให้ทั้งดวงวิญญาณของเธออ่อนล้า
เพราะถูกฉุดกระชากอย่างรุนแรง
“นั่นมันอะไร!”
เสียงของเธอตะโกนขึ้นด้วยความหวาดกลัว ชี้นิ้วไปที่เลทิเซีย แต่เลทิเซียไม่ได้ตอบคำถามของเลมิสทาเรีย
เลมิสทาเรียรู้ว่าคนที่ไล่ตัวเองออกมาไม่ใช่เลทิเซียแต่เป็นดวงวิญญาณลึกลับตนนั้น เธอกัดฟันกรอดแล้วก็ตัดสินใจที่จะหลบหนี
คราวนี้เธอคำนวณพลาดไปหลายอย่างเลยในตอนนี้ต้องเอาตัวรอดก่อน หลังจากตัดสินใจที่จะหนีเจ้าตัวก็หลบหนีทันที
แต่เลทิเซียไม่ได้ไล่ตามทันที เธอค่อยๆ ก้มลงไปอุ้มเอาหัวของสเตฟานี่ขึ้นมาดวงตาของเธอมีรอยเปียกชุ่ม
ดวงตายังปิดไม่สนิท ภาพก่อนหน้าลอยเข้ามา เมื่อข้างนั้นของเธอคว้าเอาไว้ได้เพียงแค่ความว่างเปล่า
และเลทิเซียก็ก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของสเตฟานี่.. ภาพนี้หากคนนอกมาเห็นคงสยองไม่น้อยเลย
“รอก่อนนะสเตฟานี่.. ฉันจะ…ฆ่าพวกมันทุกคนให้หมดเอง ต่อหน้าเธอ นี่ไม่ใช่ความผิดของพวกเราสามคน.. แต่เป็นความผิดของขุนนางโง่เง่า ความผิดของเจ้าบัดซบสองคนนั้น..”
เลทิเซียพึมพำแล้วก็เก็บร่างของสเตฟานี่เข้าไปในมิติส่วนตัวพร้อมกับร่างที่สลบอยู่ของเซเรส
เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นดวงตาของเลทิเซียในตอนนี้มันดูดำมืดยิ่งกว่ายามวิกาล แสงจากดวงอาทิตย์ราวกับถูกดูดกลืนเข้าไป
ผมสีดำสนิทสยายออก.. พลังทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมา ท้องฟ้าเปลี่ยนสี บรรยากาศหนักอึ้ง
ในตอนนี้พื้นที่แถบนี้.. ไม่สิ.. ทั้งอาณาจักรถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดันบางอย่าง ความโกรธ ความเกลียด ความแค้นของเลทิเซียมันช่าง..
หนักหนาสาหัสกว่าของสเตฟานี่มากนัก..
ทั้งที่เป็นตอนเช้าแท้ๆ แต่ตะวันกับไม่ส่องแสง แต่ที่เปล่งแสงเด่นชัดกลับเป็นจันทราราวกับว่ามันดูดแสงของดวงอาทิตย์ไปจนหมด
เลมิสทาเรียที่อยู่ห่างไกลออกไป แทบสำลักลมหายใจสายตาเลทิเซียราวกับมองทะลุทุกสิ่งตรงมาที่เธอ
“บ้าไปแล้ว.. นี่มัน.. บ้าอะไรเนี่ย”