บทที่ 223 – ภาระอันหนักอึ้ง
ทันทีที่ลูกธนูนับหมื่นลอยมานั้นเองดาบในมือของเลทิเซียก็ตวัดออกไปเป็นแนวขวางพลังมากมายมหาศาลถูกตวัดออกไปราวกับคลื่นมหาสมุทร
แต่มีสีดำสนิทและบริสุทธิ์ราวกับไร้ซึ่งสรรพสิ่งเจือปน มันกลืนกินฝนธนูที่ลอยลงมาจากฟากฟ้าอย่างง่ายดาย
มองอยู่ไกลๆ เหมือนมีปากสีดำขนาดมหึมาเปิดกว้างกลืนกินลูกธนูไฟไปจนหมดสิ้น ไม่เพียงแค่นั้นคลื่นพลังสีดำทมิฬม้วนกวาดออกไปเบื้องหน้า
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนของทหารที่อยู่ด้านหน้าสุด พวกเขายังไม่ทันได้มีเวลาที่จะเตรียมตัวคลื่นพลังงานอักมากมายมหาศาลปกคลุมรัศมีการมองเห็น
และถูกกลืนกินไป เสียงโหยหวนทรมานดังออกมาจากปากคนมากมายนับไม่ถ้วนผิวหนังของพวกเขาเริ่มฉีกขาดเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดง
ก่อนที่กล้ามเนื้อเหล่านั้นจะตึงขึ้นจนฉีกขาดราวกับยางขาด เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังออกมานั้น
มันทำให้ทหารที่อยู่กองทัพหลังและเหล่าทหารที่ไม่โดนคลื่นพลังนี้ต่างพากันถอยหลังและหวาดกลัว
พวกเขามองเห็นว่ามีคนหลายคนพยายามจะวิ่งหนีออกมา แต่ทว่าที่รอดออกมาจากคลื่นพลังเวทสีดำมีเพียงแขนข้างเดียวที่ร่วงลงกับพื้นอย่างอนาถ
“…….”
ในตอนนี้สิ่งแรกที่พวกเขาคิดคือหนี.. ต่อให้มีจำนวนมากแค่ไหน.. แต่ก็ไม่อาจมองเห็นชัยชนะเบื้องหน้านี้ได้..
คนตรงหน้าต้องเป็นจอมมารแน่นอน แม้จะมีรูปร่างเหมือนเด็กแต่คนบนโลกนี้มีมากมายหลากหลายแบบ อีกฝ่ายอาจจะเหมือนกรณีเดียวกับเลมิสทาเรีย
ที่เหมือนจะมีชีวิตมานานแต่ร่างกายที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้ยังเป็นเด็กอยู่เลย.. และอีกอย่างในเมื่อผู้กล้าสองคนนั้นตายแล้ว
พวกเขาไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องอยู่ แน่นอนพวกเขาไม่รู้ว่าผู้กล้าสองคนนั้นคิดจะให้พวกเขาเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อหลบหนี
นอกจากนี้.. พวกเขาทุกคน.. ยังคงขาดประสบการณ์จริง เมื่อเสียผู้นำขวัญกำลังใจต้องหายไปเป็นธรรมดา!
โลกนี้ไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว พวกเขาไม่มีประสบการณ์ในสงครามเลยสักนิด เมื่อเจอพลังอันล้นหลาม
พวกเขาไม่มีแม้แต่ความคิดจะเอาจำนวนเข้าสู้ หรือแม้แต่การตั้งทัพถอยอย่างชาญฉลาดก็ไม่อาจจะทำได้
แม้จะฝึกมามากมาย จนแทบเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรแถวนี้.. แต่สถานที่ฝึกก็ไม่อาจสอนเรื่องประสบการณ์จริงได้
ดังนั้นทันทีที่ผู้นำโดนฆ่า และกองทัพหน้าโดนกวาดล้างไปอย่างง่ายดาย และจากความน่าหวาดหวั่นของอีกฝ่ายที่กดหัวผู้กล้าสองคนซะอยู่หมัด
ในสมรภูมิก็แปรเปลี่ยนอย่างบ้าคลั่ง บางคนถึงกับถอดชุดเกราะโยนอาวุธหันหลังให้สนาม
“ใครมันจะมายอมตายอยู่ที่นี่วะ ลูกเมียข้าต้องดูแล ในการต่อสู้ที่ไร้หนทางชนะแบบนี้ ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
เขากล่าวแบบนั้นก็หันหลังและวิ่งหนีให้ไปทันที และพอเห็นสิ่งนี้เหล่าทหารมากมายนับไม่ถ้วนก็ต่างพากันโยนอาวุธลงพื้น
“ข้าก็ด้วย”
“หนีสิวะ”
เสียงเห็นต่างมากมายนับไม่ถ้วนต่างพากันวิ่งหนี แต่ในตอนนั้นเองเสียงหนึ่งก็ตะโกนดังขึ้นมาจากด้านหน้าพวกเขา
“พวกเจ้าเป็นทหารนะ!!! หันหลังให้สนามรบแบบนั้น พวกเจ้าไม่กลัวจะถูกตัดหัวประจานหรืออย่างไร”
น่าประหลาดที่คนที่ตะโกนไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นสตรีคนหนึ่งที่ผมสีเหลืองทองราวกับชยชั้นสูง เธอสวมชุดเกราะสีดำราวกับเหล็กกล้า
มันตัดกับสีผิวและสีผมของเธอ แต่ทว่าใบหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยความยึดมั่นที่ยากจะได้พบ
เธอไม่ใช่ขุนนาง ไม่สิ.. ถ้าจะให้พูดเธอก็มีชะตากรรมที่คล้ายสเตฟานี่แต่เธอได้รับโอกาสในการเป็นอัศวินไม่เหมือนสเตฟานี่
เธอได้ฝึกวิชาดาบและไต่เต้าขึ้นมาจนกลายเป็นแม่ทัพระดับสูงผู้หนึ่ง เธอไม่เหมือนในอดีตที่ต้องการใครสักคนมาปกป้อง
เพราะตอนนี้เธอมีหน้าที่ที่ต้องปกป้องคนอื่น เธอมีความคิดว่าหากบนโลกนี้มีตัวเองที่ทุกข์ทรมาน เธอก็ยังเชื่อว่ามีคนที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่า
ดังนั้นตลอดมาเธอจึงไม่เคยยอมแพ้ พยายามที่จะก้าวไปข้างหน้าดังนั้นเธอในฐานะทหารคือการปกป้องประเทศนี้
ปกป้องเมองหลวงแห่งนี้!
“หุบปากไปเลย เจ้าจะให้พวกเราสู้กับสัตว์ประหลาดแบบนั้นได้อย่างไร”
เสียงตะโกนตอกกลับดังขึ้น ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันพยักหน้า นี่ไม่ใช่การปกป้องแล้ว มันแค่การเอาชีวิตไปทิ้งโดยเสียเปล่าต่างหาก
“ถ้าหากพวกเราถอยแล้วใครจะเป็นคนสู้! ใครจะปกป้องบ้านเมือง ใครจะปกป้องแผ่นดินเกิด.. ไม่สิอย่าพึ่งพูถึงเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย.. ใครกันจะมาปกป้องลูกเมียพวกเจ้า?”
“เจ้ามองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เจ้าคิดว่าถ้ามันเจอลูกเมียของเจ้า เจ้าคิดว่าจะสามารถหยุดมันไม่ให้พรากครอบครัวของพวกเจ้าได้ไหม”
“พวกเราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่หากปล่อยให้ของแบบนั้นเข้าเมืองละก็…”
เธอไม่ได้พูดต่อ แต่ทหารทุกคนนั้นรู้คำตอบอยู่ดี บางคนก็หวนนึกถึงหน้าลูกเมียตัวเอง บางคนก็หวนนึกถึงปู่ย่าตายายตัวเอง
พวกเขามาเป็นทหารกันเพื่ออะไร.. เพื่อปกป้อง เพื่อหาเงิน เพื่อทำให้ครอบครัวสุขสบายไม่ใช่หรือไง
หากทิ้งไปแบบนี้แล้วใครจะมาปกป้องครอบครัวของพวกเขาได้ล่ะ!!! นอกจากตัวพวกเขาเอง
ใช่แล้ว สตรีผมทองนี้เองก็เช่นกันเธอเป็นคนดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอรวบรวมเด็กจากทั่วประเทศมาเพื่อเลี้ยงดู
ให้พวกเขาเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง.. ใช่ เธอมีหน้าที่ต้องปกป้องเด็กพวกนั้น ไม่ว่าจะเป็นอดีตของเด็กๆ ปัจจุบันของเด็กๆ แม้แต่อนาคตของเด็กๆ
ดวงตาของเธอฉายความมาดมั่น ไม่ใช่ว่าเธอไม่กลัว.. แต่เธอไม่อาจจะถอยได้ เธอชูดาบในมือขึ้นพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่น
“หากใครคิดว่าตัวเองยังมีสิ่งที่ต้องปกป้องอยู่ก็หยิบดาบขึ้นมา และปกป้องคนที่ตนรักที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองนั้นซะ ต่อให้ต้องตายก็ตาม!!”
ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนในดวงตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาหยิบดาบขึ้นตอบรับเสียงคำรามของหญิงสาวนิรนาม
“ตายเป็นตายสิวะ ข้าต้องปกป้องท่านแม่”
“……”
เสียงตะโกนปลุกกำลังใจจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนดังขึ้น พวกเขากำลังให้กำลังใจตัวเองไม่ใช่ใครอื่น
หญิงสาวผมสีเหลืองทองเธอยิ้มมุมปากและตะโกนขึ้นมาอีกครั้งชูดาบขึ้นเพื่อนำทัพ แต่แน่นอนว่าในเมื่อมีการแสดงออก
ย่อมมีคนที่มีความเห็นแตกต่างกันออกไป ใครบางคนที่ได้ยินแบบนั้นก็คิดต่างออกไป หนึ่งในนั้นคือชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างค่อนข้างผอมแห้ง
สำหรับเขามีลูกสาวอยู่ แต่ทว่าลูกสาวของเขาป่วยส่วนภรรยาของเขาหนีตามขุนนางไปหมด แน่นอนว่าเมื่อหญิงสาวแต่งเป็นอนุภรรยาของขุนนาง
พวกเขาย่อมไม่ต้องการลูกติด.. แต่ละคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ชายคนนี้ก็เช่นกัน ลูกสาวเขาไม่มีทางอยู่ได้โดยไม่มีเขา
หากเขาตายไปตรงนี้สุดท้ายแล้วลูกสาวเขาก็ต้องตายไปอย่างโดดเดี่ยว แต่หากเขาหนีไปก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาและลูกจะรอด..
ดังนั้น…
“หึ ต่อให้พวกเราตายไปก็ไม่ได้แปลว่าพวกเราจะปกป้องได้สักหน่อย ถ้าหากนังสัตว์ประหลาดนั้นฆ่าพวกเราเสร็จมันก็สามารถไปฆ่าครอบครัวพวกเราต่อได้ ไม่มีอะไรมารับประกันว่าสุดท้ายแล้วปีศาจนั่นจะหยุดการฆ่าฟันนี้..”
เขาพูดออกมาเสียงเขาไม่ได้ดังมากแต่พอมันดังขึ้นทุกคนที่กำลังโห่ร้องต่างพากันหยุดชะงักและทบทวนถึงคำพูดของชายผอมกะหร่อง
ที่เขาผอมไม่ใช่เพราะว่าเขาจน เงินที่ได้จากการเป็นทหารมันมีมาก แต่เขาต้องทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อรักษาลูกสาวของเขาแม้มันจะไม่เคยหายสนิทเลยสักครั้ง
และหลายๆ คนที่อาจจะเจอสถานการณ์ใกล้เคียงกับชายผอมกะหร่องคนนี้ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะมีคนตั้งคำถามว่า…
“แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ”
ชายคนนั้นก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย
“พวกเราก็แค่ก้มหัวให้มัน.. ข้าได้ยินว่าพวกจอมมารชอบแย่งชิงขยายอาณาเขตเป็นของตัวเอง ถ้าพวกเรายอมทำตามที่มันสั่งบางทีพวกเราอาจจะรอดก็ได้”
และเมื่อเขาพูดขึ้น คนจำนวนมากต่างพากันเห็นด้วยแน่นอนว่าคนที่ไม่เห็นด้วยก็มี เพราะพวกเขาไม่กล้าที่จะหักหลังบรรพบุรุษตัวเอง
ไม่สิ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องศักดิ์ศรี แค่ว่าหากพวกเขายอมไปแล้วใช่ว่าพวกเราจะสามารถมีชีวิตอย่างสงบสุข
เพราะได้ยินมาว่าในดินแดนปีศาจนั้นเต็มไปด้วยการแก่งแย่ง
ทำให้ในกองทัพนั้นแตกเป็นสองฝ่าย… และกลายเป็นว่าพวกเขาจะฆ่ากันเองเสียอย่างนั้น..
แน่นอนว่าทุกอย่างนี้… ล้วนแล้วแต่มีปัญหาที่แตกต่างกันออกไปไม่มีใครควรมากำหนดว่ามันควรเป็นแบบไหนตั้งแต่แรกแล้ว
และไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวที่เป็นแม่ทัพหรือชายผอมกะหร่อง ต่างมีภาระที่ต้องแบกรับ ปัญหาของทั้งสองมันต่างกัน
หนึ่งต้องปกป้องอนาคตอันสดใสของเด็กๆ แม้เธอต้องแลกด้วยชีวิต
อีกหนึ่งต้องปกป้องอนาคตอันสดใสของลูกสาว.. เพราะหากขาดเขาไปอย่าว่าแต่การหาอะไรทานเลย.. แม้แต่การเดินเองยังแทบทำไม่ได้
ภาระอันหนักอึ้ง… ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์