การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 224

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 224 – แสงเทพมารมรณะ

ภายใต้สนามรบที่ปั่นป่วนนั้นเอง คลื่นพลังเวทมนตร์สีดำทมิฬอันบริสุทธิ์ก็สลายหายไป ก่อนจะเผยให้เห็นเพียงซากศพที่เน่าเปื่อยของคนหลายพันหลายหมื่น

เพียงพริบตาเดียวก็สูญเสียคนไปหนึ่งในสิบ นี่ทำให้ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

แถมซากศพเหล่านั้นบังไม่น่ามองเท่าไหร่นัก เพราะร่างนั้นถูกพลังอันมหาศาลแผดเผา แม้มันไม่ใช่ไฟ แต่ความหนาแน่นของพลังมันทำให้พลังเวทดังกล่าวนั้น

ไม่ต่างจากไฟที่มีความร้อนสูง แถมยังมีผลลัพธ์ที่คล้ายกับน้ำกรดที่สามารถกัดกร่อนทุกอย่างได้

บางคนที่ตัดสินใจจะกลับมาสู้ต่อ ก็ต่างพากันถอนหายใจเฮือก ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องมากยิ่งขึ้น

คนหลายพันคนที่เห็นด้วยกับชายผอมกะหร่องต่างพากันก้าวเดินออกมา หันหลังให้เลทิเซียหันหน้าประจันกับสตรีผมสีเหลืองทอง

“นี่พวกเจ้า.. คิดจะทรยศจริงๆ อย่างงั้นเหรอ…”

หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ… แต่ชายร่างผอมแห้งที่เหมือนจะกลายเป็นผู้นำของฝั่งทรยศก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย

“ทรยศอะไรกัน ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ที่พวกเรามาอยุ่กันตรงนี้ ฝึกอบรมมาหลายปีทุกอย่างก็ล้วนเป็นเพราะเงินต่างหาก.. ในเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าพวกเราย่อมไขว่คว้าเอาไว้สิ พวกเราไม่ได้โง่สักหน่อย”

ใช่แล้ว พวกเขาทุกคนที่มายืนอยู่ตรงนี้ ต่อให้เป็นทหารที่ฝึกอบรมมาอย่างดีก็ตาม แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขานั้นรักประเทศที่ห่วยแตกแบบนี้

พวกเขาทำเพียงเพราะมันได้เงินต่างหาก ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งถ้าหากจะย้ายข้าง

ชายคนนั้นพูดอย่างมีเหตุผล ทำให้หญิงสาวกัดฟันกรอด เธอเองก็ถอยไม่ได้เช่นกัน.. อนาคตอันสดใสของเด็กกว่าสิบคนอยู่ในกำมือของเธอ

หากจอมมารยึดไปละก็.. บอกลาได้เลยเรื่องอนาคตอันสดใสของเด็กๆ .. ความโกรธ ความไร้หนทาง ความจนปัญญาทำให้เธอยกดาบขึ้นชี้ไปที่ชายร่างผอมแห้ง

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น.. ข้าในนำหัวหน้ากองทัพจะขอถือว่าเจ้าเป็นกบฏต่ออาณาจักรของเรา.. มีคำสั่งประหารทันทีสำหรับกบฏงั้นก็ตายซ—”

ทว่าก่อนที่จะทันได้พูดจบ สายฟ้าสีดำก็ผ่าลงมาจากฟากฟ้าพุ่งกระแทกลงไปข้างๆ หญิงสาวและชายผอมแห้ง “เปรี้ยง!!!”

“อ้ากกกกก”

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นฉับพลัน ไม่ว่าจะฝั่งทรยศหรือไม่ทรยศล้วนโดนสายฟ้าสีดำทมิฬนี้ผ่าอย่างง่ายดายและ…

ร่างกายก็กลายเป็นตอตะโกอย่างน่ากลัวเหลือเพียงกระดูก มีเพียงเสียงกรีดร้องสุดท้ายของพวกเขาเท่านั้นที่ดังขึ้นท่ามกลางเสียงฟ้าผ่า

ทว่าไม่ใช่แค่นี้ เพราะสายฟ้าสีดำมากมายก็ผ่าลงกลางสนามรบราวกับพายุโหมกระหน่ำเข้ามา

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ มันไม่ใช่การสู้รบหรือการทำสงคราม.. แต่เป็นการฆ่าล้างบาง

เลทิเซียในตอนนี้… เป็นเหมือนกับขอมมารอย่างแท้จริง บางทีคงมีแค่คำว่าจอมมารเท่านั้นที่เหมาะสมกับความโหดเหี้ยมของเธอ

คนทุกคนที่ขวางทางคือศัตรูของเธอ คือศัตรูของเซเรส คือศัตรูของสเตฟานี่… มันต้องตาย…

ภายใต้เสียงกรีดร้องเงาร่างเล็กๆ ก้าวเดินมาข้างหน้าเธอเหยียบผ่านซากศพของกองทัพหน้าราวกับไม่อยู่ในสายตา

มือขวาถือดาบยาวที่ไม่เหมาะกับขนาดตัวเองเลยด้วยซ้ำ ราวกับยมทูตจากเบื้องล่างทุกคนต่างพากันถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“หึ ดูเหมือนว่าเจ้าปีศาจนั่นจะไม่ได้ต้องการเจ้าเป็นลูกน้องนะ”

หญิงสาวผมสีเหลืองทองที่เห็นอีกฝ่ายฆ่าไม่สนฝ่ายเมื่อครู่จึงฉวยโอกาสพูดขึ้น ชายผอมแห้งก็กัดริมฝีปาก

เขาไม่สนใจหญิงสาวผมสีเหลืองทอง แต่รีบวิ่งไปทางที่เลทิเซียเดินมา ทุกคนเข้าใจสิ่งที่ชายรูปร่างผอมแห้งกำลังจะทำทันที

คนที่เห็นด้วยก็ต่างพากันมองหน้ากันแล้วก็วิ่งตามชายคนนั้นไป.. ก่อนที่จะไปหยุดอยู่ตรงหน้าเลทิเซียแล้วก็ก้มกราบ

“ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย.. พวกเราสัญญาว่าจะทำตามคำสั่งท่านทุกอย่าง”

เสียงของชายคนนั้นยังมีความหวาดกลัวอยู่ แต่เขาก็พยายามจะแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าตัวเองไปอยู่ด้านนั้นแล้ว..

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ดูอารมณ์ปีศาจที่อยู่ตรงหน้านี้เท่าไหร่เพราะทันทีที่เขากล่าวเสร็จเลทิเซียก็ยกดาบในมือขึ้นตวัดเป็นแนวตั้งลง

หญิงสาวผมสีเหลืองทองที่เห็นเช่นนั้น เธอเบิกตากว้างก่อนที่จะตะโกน

“รีบหลบออกมาเร็ว”

แต่มันก็สายเกินแก้ คลื่นตัดอากาศตัดใส่ร่างกายของคนนับร้อยที่อยู่ใกล้ๆ ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง ร่างพวกเขาถูกตัดแยกออกเป็นสองส่วน

โชคยังดีที่บางคนโดตัดแค่แขน.. ส่วนชายรูปร่างผอมแห้งที่โดนคมดาบที่มองไม่เห็นเฉียดหน้าเขาก็กรีดร้องออกมาพร้อมกับถอยหลังออกไปด้วยความกลัว

เสียงของเขาไม่อาจจะส่งไปถึงเลทิเซียในยามนี้เพราะ.. ทุกอย่างในสายตาเลทิเซียตอนนี้คือ.. พวกเขาขวางทางตัวเอง..

ทำไม… ทำไม.. เธอแค่ต้องการที่จะล้างแค้นให้สเตฟานี่.. ทำไม.. ทำไม.. ทำไมพอคนสองคนนั้นทำผิดถึงมีคนปกป้อง..

แต่ว่าสเตฟานี่ที่เจออะไรต่อมิอะไรถึงไม่มีคนปกป้อง.. ทำไมกันล่ะ ตอนที่สเตฟานี่จะตายถึงไม่มีคนมาปกป้องแบบนี้

ไม่ยุติธรรม.. ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

“พวกแกมันเห็นแก่ตัว.. พวกแกทุกคน”

เลทิเซียคำรามลั่นด้วยความโกรธ เธอโยนดาบในมือทิ้งออกไปด้านข้างและในวินาทีนั้นเองเธอยกมือขึ้นมาด้านหน้า

มือขวาของเธอพลันมีพลังงานบางอย่างหลอมรวมกันอย่างน่าประหลาด ไม่มีแรงลมน่ากลัว ไม่มีคลื่นเสียหวีดหวิว

ไม่มีแม้แต่กลิ่นอายของพลังเวท ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำเอาทุกคนหน้าเผือดสี ในมือเลทิเซียที่มี ‘บางสิ่งบางอย่างอยู่’

มันอัดแน่นไปด้วยความโกรธ ความเกลียด.. โลกนี้ไม่ยุติธรรม ใช่ มันยุติธรรมสำหรับเธอ สำหรับเลวี่ สำหรับใครสักคนที่เกิดมาพร้อมกับความสบายไม่เคยเจอความลำบาก

แต่มันกลับไม่ยุติธรรมสำหรับสเตฟานี่ สำหรับเซเรสหรือแม้แต่ทสึรุ.. ยกโทษให้ไม่ได้เด็ดขาด.. ทุกคน…ที่ขวางทาง..ต้องตาย

ในชั่ววินาทีนั้นลูกบาศก์สีดำก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเธอ ลูกบาศก์นี้ขนาดมันเล็กมาก เล็กพอๆ กับปลายเข็มเลยก็ว่าได้

แถมมันยังดูเบาบางอ่อนแอ ไร้ซึ่งพิษภัยใดๆ .. ใช่ ในมุมมองของการบรรยายมันคงเป็นเช่นนั้น..

เพราะทันทีที่ของขนาดเล็กจิ๋วนี่ปรากฏขึ้น.. ทุกคนในสนามรบ.. ไม่สิ.. ในอาณาจักรนี้.. ในทวีปแห่งนี้…ในโลกแห่งนี้…

หรือไม่ก็อาจจะเป็นสรรพสิ่งทั่วทั้งจักรวาลต่างพากันสั่นกลัว!!!! ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม!

ไม่ใช่ว่ารู้มันคืออะไรเลยหวาดกลัว… แต่เป็นการสั่นกลัวโดยธรรมชาติ

“หายไปซะ.. หายไปซะ”

เลทิเซียตะโกนออกมาราวกับเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ลูกบาศก์สีดำขนาดเล็กจิ๋วพุ่งไปเบื้องหน้า

กระแทกใส่อกของชายรูปร่างผอมแห้งสีหน้าเขาแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวและ… ลูกบาศก์สีดำพลันขยายใหญ่ขึ้น

และกลืนกินทั้งสนามรบภายในเวลาอันรวดเร็ว

และทันทีที่สนามรบถูกลูกบาศก์สีดำปกคลุมจนไม่อาจมองเห็นด้านในได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เส้นแสงสีขาวปริศนาพลันพุ่งออกจากลูกบาศก์สีดำจากทุกทิศทางมากมายหลายหมื่นเส้น.. อาจจะเกือบๆ 9 ใน 10 ส่วนที่รอดจากการโจมตีครั้งแรกเลยก็ว่าได้

เส้นแสงเหล่านี้พุงดิ่งไปยังทิศทางของเมืองหลวงหรืออาจจะเป็นนอกเมืองไปยังหมู่บ้าน.. ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งอาณาจักร!

ในเมืองหลวงเขตสลัม ในซอกตรอกซอยแห่งหนึ่งมีเด็กผู้หญิงที่อายุราวๆ สิบถึงสิบเอ็ดขวบนอนโทรมอยู่บนเสื่อขาดๆ

ตรอกแห่งนี้มีคนจนมากมายนอนอยู่.. และเด็กคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เส้นแสงสีขาวพุ่งทะลุสรรพสิ่งมาติดที่ฝ่ามือของเธอ

เด็กหญิงที่นอนหลับสนิทพลันเปิดตาขึ้นดวงตาของเธอค่อนข้างมืดมัว.. เธอเป็นลูกสาวของชายผอมแห้งคนนั้น

แม้ร่างกายเธอจะอุดมสมบูรณ์กว่าผู้เป็นพ่อมากนัก แต่ทว่าทั้งแขนทั้งขาของเธอต่างก็ไร้เรี่ยวแรงเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด

นอกจากนี้ดวงตาของเธอก็เห็นทุกอย่างหมองมัวเรียกได้ว่าอีกไม่นานก็คงบอดสนิท ดวงตาที่ใกล้จะบอดสนิทของเธอจ้องมองที่ฝ่ามือ..

“ท่าน..พ่อ..”

เสียงไม่เป็นคำของเธอดังออกจากปาก ใช่.. เธอเป็นคนหูหนวกไม่รู้กระทั่งวิธีเปล่งเสียงที่ถูกต้อง.. นี่แหละอาการของเธอ..

น้ำตาเธอไหลออกมาจากดวงตาราวกับได้ยินเสียงของพ่อจากแสงสีขาวทั้งๆ ที่เธอไม่ควรจะได้ยินเสียงอะไรแท้ๆ ..

“พ่อขอโทษ…”

เขากล่าวอย่างไร้หนทาง น้ำตาของเด็กหญิงไหลรินออกจากดวงตา.. เธอส่ายหน้า..

“ข้า..ดีใจที่ได้..เกิดเป็น..ลูก—”

แต่ยังไม่ทันได้กล่าวจบ.. คอของเธอก็ถูกบิดกลับด้านอย่างน่ากลัวและตายไปแทบจะทันที.. พ่อตาย.. เธอเองก็ตาย

ดวงตาหม่นมัวของเธอยังไม่ได้ปิดสนิทเลยด้วยซ้ำ..

และภาพนี้ก็เกิดขึ้นไปทั่วทั้งอาณาจักร..ใครก็ตามที่มีแสงสีขาวเชื่อมเข้ากับตัว.. ต่างพากันตกตายในสภาพที่น่าหวาดกลัว

บางคนอาจจะไม่ตายแต่ก็เพียงน้อยนิดเท่านั้น.. เพราะการตายแบบไม่ทราบสาเหตุนี้มันเป็นเหมือนโศกนาฏกรรมลูกโซ่..

ปรากฏการณ์ถูกเรียกในภายหลังว่า.. แสงเทพมารมรณะ…

………………

แสงเทพมาร – หมายถึงแสงเส้นสีขาวเป็นเทพ ลูกบาศก์ดำเป็นมาร

มรณะ – พรากสรรพชีวิตเกือบทั่วทั้งอาณาจักแถมเป็นการตายเหมือนการตายแบบลูกโซ่

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท