บทที่ 276 – วันวานเหล่านั้น
“พี่คะ.. พี่คะ!”
สุ้มเสียงปริศนาดังขึ้นในโสตประสาทของเลทิเซีย ร่างกายของเธอราวกับหลุดหายไปจากโลกใบนี้
ดวงตาสะลึมสะลือ ท้ายที่สุดเปลือกตาที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก และพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจับไหล่เธออยู่
ดวงตาพร่ามัวจากแสงตะวันที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างเล็กน้อย แต่ไม่นานก็คุ้นชินและเห็นภาพโดยรอบชัดเจนยิ่งขึ้น
ทุกอย่างที่อยู่ในสายตาของเลทิเซียนั้นกลับมาชัดเจน ทว่าเมื่อตระหนักถึงพื้นที่โดยรอบเธอก็สับสนและงุนงง
สายตาของเธอหันไปมองเห็นคนที่จับไหล่เธออยู่ ดวงตาของเธออเบิกกว้าง.. คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้สึกจะอยู่มัธยมต้นเท่านั้น
เธอมีสีหน้าที่เป็นมิตรทุกครั้งที่มอง. เลทิเซียเกิดความสับสนพร้อมกลับถามขึ้นอย่างงุนงง
“ลูเซีย.. เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“ห้ะ พูดอะไรของพี่น่ะ”
ลูเซียแสดงสีหน้าสับสนออกมา.. แต่ยังไม่ทันให้เลทิเซียได้พูดอะไร.. ห่างออกไปหลายเมตรที่ยืนหันหลังให้อยู่ตรงห้องครัวนั้น..
เป็นผู้หญิงคนหนึ่งมีผมยาวสลวย.. สวมผ้ากันเปื้อนเหมือนแม่บ้านแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอดูด้อยค่าลงเลยแม้แต่น้อย
“ปัก” เสียงมีดที่ค่อยๆ หั่นแครอทนั้นเรียกเอาสติของเลทิเซียกลับมา ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนลงตรงนั้น
“พี่….”
ปากของเลทิเซียสั่นเบาๆ พอคำพูดของเธอดังขึ้นหญิงสาวคนนั้นไม่ได้หันหน้ากลับมาเพราะมัวแต่วุ่นกับการทำอาหาร
“เรน พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามานั่งหลับที่โต๊ะกินข้าว”
เลทิเซียที่ได้ยินเสียงของพี่สาวดวงตาของเธอสั่นคลอนไปด้วยน้ำตา.. ในวินาทีนั้น.. ในชั่วพริบตานั้น
เธอถึงได้เข้าใจว่า.. เธอน่ะตายไปแล้ว.. ถึงจะยากที่จะเชื่อแต่ว่าปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Time out นั้นไม่สามารถป้องกันหรือฟื้นฟูได้
ทางเดียวที่ทำได้คือหลบหลีก ต่อให้เป็นเลทิเซียหากโดนท่าแบบนั้นเข้าไปจังๆ เธอก็ยังคงสูญสลายหายไปได้
แน่นอนว่าเลทิเซียรู้ดีกว่าใคร เพียงแต่ที่เธอแปลกใจคือทำไมพลังของอามาเระถึงไม่สามารถสะท้อนการโจมตีของอีกฝ่ายได้..
“ลูเซียมาเอาอาหารไปวางโต๊ะได้แล้ว ส่วนเรนก็รีบไปอาบน้ำได้แล้ว”
“ค่า”
ลูเซียตอบอย่างร่าเริงพร้อมกับเดินไปหาเอลน่า แม้แต่เลทิเซียที่กำลังสับสน พอเอลน่าพูดขึ้นมาแบบนั้นร่างกายของเธอก็ทำตามคำสั่งของเอลน่าทันที
เธอเดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับถอดเสื้อผ้า.. สายตานั้นจ้องไปยังกระจกตรงหน้า.. เลทิเซียก็เบิกตากว้างจับหน้าตัวเอง..
ใบหน้าของเธอไม่ใช่ใบหน้าของเรนในชาติก่อน.. แต่เป็นใบหน้าของเลทิเซีย.. ตอนแรกเลทิเซียคิดว่านี่อาจจะเป็นภาพย้อนความทรงจำก่อนตาย..
แต่ว่าในชาติก่อนเธอไม่ได้มีหน้าตาแบบนี้สักหน่อย.. เลทิเซียเริ่มสับสนกับภาพตรงหน้าอย่างไรก็ตามร่างกายก็ยังเคลื่อนไหวเอง
เดินเข้าไปอาบน้ำจนเสร็จสรรพ.. ภายใต้ความงุนงงเช่นนี้เลทิเซียเดินไปนั่งบนโต๊ะอาหาร แล้วลูเซียก็นั่งลงข้างๆ พร้อมกับขยับเก้าอี้มาใกล้เธอ
“พี่คิดเหมือนฉันไหมว่า พี่เอลน่าวันนี้ดูอารมณ์ดีแปลกๆ ล่ะ”
“เอ้ะ เป็นงั้นเหรอ ก็ดูไม่ต่างจากเดิมนี่น่า..”
“ต่างสิ มากด้วยเลยนะ อันที่จริงฉันไปถามพี่มาแล้วล่ะ พี่บอกว่าวันพรุ่งนี้จะได้เจอคนสำคัญน่ะ หรือว่าจะเป็นแฟนหนุ่มกันนะ”
พอได้ยินคำพูดแบบนั้น หัวใจของเลทิเซียก็เต้นระรัว เธอสับสนกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่ก่อเกิดในใจ ลูเซียยิ้มแล้วก็ใช้ศอกดันแขนเลทิเซีย
“เฮ้ๆ พี่ทำหน้าแบบนั้นทำไม พี่เอลน่าก็อายุขนาดนี้ แถมสวยสุดๆ เลยด้วย นี่พี่คิดว่าพี่เอลน่าจะไม่มีแฟนจริงเหหรอ”
“งั้นเหรอ..”
เลทิเซียดูเหม่อลอยเล็กน้อยพอได้ยินคำนั้น เพียงแต่ว่าในวินาทีต่อมามีดในมือของเอลน่าก็ตัดลงบนเขียงอย่างรุนแรง
“พี่ได้ยินนะ ลูเซีย อยากอดอาหารหรือเปล่า”
“พี่ใช่คนหรือเปล่าเนี่ย ฉันว่าฉันพูดเบาแล้วนะ”
“เฮ้อ.. อย่าไปเชื่อคำพูดของน้องสาวจอมแก่นนั่นจริงๆ ล่ะ”
พอเอลน่าพูดแบบนั้น ความสับสนที่ก่ออยู่ในอกของเลทิเซียก็หายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอได้แต่แสดงสีหน้าสับสน
แต่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับพึมพำว่า..
“งั้นเหรอ..”
ลูเซียที่อยู่ข้างก็ก้มหน้าลง… เธอกัดริมฝีปากเบาๆ โดยไม่มีคนสังเกตเห็น
เลทิเซียมองทุกอย่างภาพในความทรงจำของเธอหวนคืนกลับมา.. ใช่ นี่เป็นห้องของทานหารในบ้านหลังเก่าของเธอ
เป็นบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ในครอบครัวมีคนแค่สามคน.. เวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นสำหรับเลทิเซียแล้วเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด
แต่ทว่าความสุขมักอยู่ได้ไม่นาน ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่สูญเสียพี่ไป.. และถูกพาไปในโลกที่ไม่รู้จักต้องระวังตัวอยู่ตลอด
ไม่พอ… พอตระหนักได้แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างที่ตนเองคิดเสมอไปก็ราวกับมีพายุใหญ่พัดเข้ามา.. สเตฟานี่ โคลเอ้..เซเรส
พากันตายไปติด.. ท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่อันน่า..
เลทิเซียหลับตาลง.. แต่มันจบลงไปแล้วสินะทุกอย่าง ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความเหนื่อยล้า ใช่มันจบลงไปหมดแล้ว…
เลทิเซียก้มหน้าลงแต่ในตอนนั้นเองภาพของชาร์ล็อตก็ลอยขึ้นมา.. ภาพบาดแผลบนร่างของเธอ ภาพที่เธอต้องร้องไห้
ภาพที่เธอต้องหลงทางในห้วงแห่งความเจ็บปวดและสับสน ดวงตาของเลทิเซียเปิดขึ้นพร้อมกับผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ล้มลงไปด้านหลัง
กระแทกกับพื้นเกิดเสียงดังจน ทั้งลูเซียและเอลน่าหันมาดู
“ฉัน..ยังตายไม่ได้”
เธอจำได้แล้ว.. เธอพึ่งพูดอะไรไป.. เธอพึ่งบอกว่าจะทำให้ชาร์ล็อตมีความสุขไม่ใช่หรือไงกัน.. แต่ตอนนี้กลับหนีออกมาแบบนี้.. มันใช้ไม่ได้เลย
“ฉันต้องกลับไป”
“พี่.. พูดอะไรของพี่น่ะ”
ลูเซียสับสนกับท่าทางของเลทิเซีย อย่างไรก็ตามพอเอลน่าหันมาเห็นเลทิเซียดวงตาของเธอก็เบิกกว้างเล็กน้อย
ก่อนที่จะยิ้มออกมาที่มุมปาก ในชั่วพริบตานั้นเองร่างของลูเซียก็หายไปในอากาศโต๊ะกินข้าว ห้องผนัง พื้น.. ทุกอย่างหายไป..
กลายเป็นเพียงห้องสีขาวโพลนที่มีเพียงเลทิเซียกับเอลน่า
“พี่…”
เลทิเซียรู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากพันธนาการบางอย่าง แต่ในเวลานั้นเองเอลน่าก็ยืนอยู่ด้านหน้าเธอพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของเลทิเซีย
“คิดจะไปแล้วงั้นเหรอ มาไวไปไวซะจริงนะ”
“พี่..ฉัน…”
“มีอะไรเหรอ”
เลทิเซียยกมือขึ้นกอดเอลน่า.. มันน่าแปลกที่ทันทีที่เธอสวมกอดเอลน่าความรู้สึกอบอุ่นนี้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“ถึงนี่.. จะเป็นแค่ของปลอม.. แต่ฉันน่ะดีใจจริงๆ นะที่ได้เจอกับพี่”
“นี่พวกเรายังไม่ได้ทานข้าวเย็นด้วยกันเลยนะ”
เอลน่าพูดพลางอมยิ้ม เลทิเซียส่ายหน้า
“ฉันไม่มีเวลามามีความสุขในโลกแบบนี้โดยที่ปล่อยให้ชาร์ล็อต.. ให้เพื่อนคนสำคัญของฉันเสียใจได้หรอก เพราะว่าฉันสัญญากับเธอไว้แล้วว่าจะทำให้เธอมีความสุขเพราะงั้น.. ถึงจะต้องจากกับพี่.. จากกับลูเซีย—”
สำหรับเลทิเซียแล้วไม่มีใครรู้ว่าในโลกใบนี้ โลกที่เป็นเหมือนภาพลวงตานี้คุณค่าสำหรับเธอมากแค่ไหน
บางทีหากเป็นเธอก่อนหน้านี้ ต่อให้รู้ว่าเป็นภาพลวงตา เธอก็จะยังคงจมปลักอยู่กับมันต่อไปจนกว่าจะสลายหายไปเป็นแน่
แต่ทว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว.. เธอไม่ได้มีแค่พี่และลูเซียแล้ว.. ในโลกนั้นยังมีสิ่งที่ต้องปกป้องอยู่หากเอาของแบบนั้นมาแลกกับภาพลวงตาแบบนี้..
ถ้าพี่เอลน่ายังอยู่เลทิเซียคงจะโดนตบจนสลบเลยก็ได้..
ทว่าก่อนที่เธอจะได้พูดประโยคนั้นออกมา เอลน่าก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมากั้นปากเลทิเซียพร้อมกับ
“ชู่ว.. พี่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังจะพูด..”
“พี่..”
หัวใจของเลทิเซียรู้สึกราวกับได้รับการเยียวยา เอลน่าเองก็ผละตัวออกจากเลทิเซียพร้อมกับพูดขึ้น..
“แต่ว่าก็ว่าเถอะ.. เธอในร่างนี้ดูกี่ที่ก็น่ารักจริงๆ น้า น่ารักซะจนอยากจะเอาไปนอนกอดทุกคืนเลย”
“….”
“ล้อเล่นน่าๆ แต่ว่า.. เธอโตขึ้นเยอะจริงๆ นะ.. พอไม่ได้อยู่กับพี่แล้วดูสิ เธอโตขึ้นและแมนขึ้นขนาดนี้เชียว.. พี่น่ะภูมิใจในตัวเธอมากเลยล่ะ”
“ฉัน….”
คำพูดอันอ่อนโยนของพี่สาวทำให้เลทิเซียเคว้งคว้าง.. อย่างไรก็ตามเอลน่าก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ เลทิเซียพร้อมกับพูดกระซิบเบาๆ
“แบบนี้ต้องให้รางวัลสินะ ?”
“พูดอะไรของพี่น่—”
เลทิเซียที่ถูกเอลน่าแกล้งเล่นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแต่ยังไม่ทันได้ตอบโต้ ริมฝีปากของเอลน่าก็ประกบลงบนริมฝีปากของเลทิเซีย
เป็นสัมผัสอันอ่อนนุ่มที่ยากจะบรรยายแยกไม่ออกว่านี่คือความฝันหรือความเป็นจริง หัวใจของเลทิเซียเต้นระรัว
พร้อมกับถอยหลังออกไปหลายก้าว
“พะ…พี่ทำอะไรน่ะ”
“เอ๋… ก็ให้รางวัลอยู่ไม่ใช่หรือไง.. ตกใจอะไรกัน”
ใบหน้าของเลทิเซียแดงระเรื่ออย่างไม่ทราบสาเหตุ พอเห็นท่าทางกระวนกระวายของเลทิเซียแม้เอลน่าจะแปลกใจแต่ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
มองแบบนี้เลทิเซียก็ดูน่ารักไปอีกแบบ.. ก่อนหน้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยจูบกันนี่น่า.. พอเห็นสายตาจ้องเขม็งของเลทิเซียเอลน่าก็โบกมือให้
“ก็ได้ๆ .. พี่ไม่กวนแล้ว อ๊ะ ดูท่าถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้วนะ”
ยังไม่ทันได้กล่าวถาม เลทิเซียก็มองไปเจอประตูแสงสีขาวที่กำลังอ้ารอเธออยู่ แม้จะสับสนนแต่ว่าเลทิเซียไม่เคยไม่เชื่อใจเอลน่า
ต่อให้นี่จะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ตาม แม้จะมีคำถามอยู่มากมายแต่เลทิเซียก็กลืนมันลงไปพร้อมกับหันหลังให้เอลน่า..
“เรน.. ไม่สิ เลทิเซีย”
เสียงของพี่สาวดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เลทิเซียหันกลับไปมองเธอ.. เอลน่าชูกำปั้นขึ้นพร้อมกับพูด
“ต่อยคนที่ทำร้ายเธอคืนให้หนักๆ เลยนะ”
“ไม่ต้องบอก..ฉันก็ทำอยู่แล้ว”
เลทิเซียยิ้มออกมาพร้อมกับเดินเข้าประตูแสงและจากไป เอลน่ามองแผ่นหลังเลทิเซียจากไปพร้อมกับโบกมือให้..
“ฉันว่า.. ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอเมื่อตอนนั้นแล้วล่ะ.. เอลเน่”