บทที่ 316 – มันดีแล้วจริงๆ
เลทิเซีย.. เธอมีชีวิตอยู่โดยมีความเชื่อมั่นในเรื่องครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใด หากพี่สาวบอกว่าถูกเลทิเซียก็เชื่ออย่างไม่คัดค้าน..
ไม่ใช่ว่าหากพี่สาวสั่งให้ไปฆ่าคนเลทิเซียต้องไปทำตาม มันไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ไม่ใช่เพราะว่าเลทิเซียจะไม่ทำตาม
แต่เป็นเพราะพี่สาวเลทิเซียไม่มีทางพูดแบบนั้นอย่างแน่นอนยังไงล่ะ.. ทุกคำพูด ทุกคำสอนของพี่สาวเลทิเซียเชื่ออย่างสนิทใจ
เพราะเธอเป็นทั้งเหมือนครู.. เป็นทั้งเหมือนแม่.. เป็นทั้งเหมือนคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเลทิเซีย..
เลทิเซียไม่เคยคิดว่าพี่สาวไม่ถูก.. และเธอก็มีชีวิตอยู่มาแบบนั้นโดยลอด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเลทิเซียไม่ได้ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
เพราะเลทิเซียมีความคิดเป็นของตัวเองยิ่งกว่าใครๆ เธอมีชีวิตอยู่โดยการระแวดระวังทุกอย่างรอบตัว
และการมีชีวิตอยู่โดยการคำนึงถึงคำสอนของพี่สาวมันเลยทำให้ความคิด ความเชื่อความเป็นตัวของตัวเองของเธอบิดเบี้ยวและผิดแผกในบางครั้ง
เพราะพี่สาวเลทิเซียนั้นเป็นคนดีเกินไป.. เธอเป็นคนดีมากในขณะที่เลทิเซียกลับไม่ใช่คนที่จะโชคดีขนาดนั้น
ดังนั้นเมื่อตอนที่สเตฟานี่กำลังจะถูกจับโดยโจรสองคน.. ความคิดของเธอจึงตีกันอยู่ภายใน พี่สาวกับตัวเอง..
สุดท้ายเธอยังเลือกที่จะเชื่อพี่สาวก่อนเชื่อตัวเอง.. และก็เป็นแบบนั้นตลอดมา.. แต่ทว่ามันเปลี่ยนไป..
เมื่อห้าปีก่อนเลทิเซียได้เปลี่ยนไป.. โลกใบนี้มันไม่ได้สวยงามนั่นเป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริงอยู่แล้ว..
สเตฟานี่ เซเรสและโคลเอ้ หรือแม้แต่อันน่า.. ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่อยากตายยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ว่าเพราะบางสิ่งบางอย่าง บางความจริง บางความคิดที่เกิดจากความเข้าใจผิด ความเห็นไม่ลงรอย..
มันจึงนำพาไปสู่ความเจ็บปวดอันแสนทรมาน.. แน่นอนว่าคนทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง บ้างก็ไม่ได้คิดแบบเดียวกัน
บ้างก็ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน ดังนั้นนั่นจึงเป็นบ่อที่เกิดความขัดแย้งขึ้นมา.. เรื่องนี้เลทิเซียเข้าใจดีกว่าใคร
เพราะตลอดสองชีวิตที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตโดยการหาความขัดแย้งคนอื่นที่มีต่อตนเองเสมอ ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น
และเพราะความคิดแบบนั้นของเธอมันจึงทำให้เซเรสต้องตาย สเตฟานี่ต้องตาย ครอบครัวเธอต้องพัง..
ใช่ เพราะความคิดโง่ๆ ของเลทิเซียที่คิดเองเออเองไปคนเดียว เธอจึงเข้าใจดียิ่งกว่าใครว่า..ความคิด วิเคราะห์มันก็เหมือนดาบสองคม..
หากคิดถูกก็ยิ่งดี.. แต่หากคิดผิดมันก็จะนำพาไปสู่ความขัดแย้ง.. นั่นจึงเป็นบทเรียนให้เธอต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโลก
ต้องไม่ใช่ความขัดแย้ง ต้องไม่มีเพียงแค่นั้น.. พอเธอเปิดใจรับ.. เธอก็ได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย สิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ความโหดร้ายของสิ่งมีชีวิต
นั่นก็คือสันติสุข.. รอยยิ้ม.. ความเป็นมิตร.. เธอได้เรียนรู้มันและเข้าใจมัน ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเธอได้รับฟังความทุกข์ของคนอื่น
ได้ฟังความสุขของคนอื่น.. มันทำให้เธอรู้ว่า.. โลกนี้มันโหดร้าย ใช่
แต่ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะยังมีสิ่งที่สวยงามเหลืออยู่
และคำสอนของพี่สาวเอลน่าเธอ ก็สอนเธอแบบนั้นอยู่ตลอดว่าให้ช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
“เรน.. ฟังนะ.. การช่วยเหลือคนอื่นน่ะมันไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจว่าฉันน่ะทำดี ฉันช่วยคนอื่นมาเยอะ..”
“เราต้องไม่ทำดีเพราะว่ามันคือความดีเราเลยต้องทำ.. เราต้องทำเพราะว่ามันถูกต้อง.. มันทำให้คนอื่นมีความสุขไม่ให้คนอื่นมีความทุกข์”
“แบบนั้นแหละที่เรียกว่าความดีน่ะ”
ใช่.. พี่เอลน่าสอนเลทิเซียแบบนี้ ดังนั้นในตอนนี้ ตอนที่เธอเห็นนิลรู้สึกแย่ รู้สึกเสียใจและเจ็บปวด
มันไม่ใช่ว่าเธอช่วยเพราะเธอต้องเป็นคนดีตามที่พี่บอก.. แต่เธอทำเพราะเธอคิดว่ามันถูกต้องแล้ว และนิลจะมีความสุข
ใช่ โลกใบนี้มันโหดร้าย
แต่บางสิ่งบางอย่างที่งดงามน่ะ.. ไม่จำเป็นต้องดึงมันให้มาแปดเปื้อนความโสมมของโลกใบนี้ก็ได้..
เพราะงั้นเหตุผลที่เลทิเซียทำไมถึงตัดสินใจที่จะช่วยนิล นั่นมีเพียงอย่างเดียว..เพราะเธอเหมือนกับตัวเองในอดีต
ถึงแม้โลกนี้จะโหดร้ายกับเธอ แต่เลทิเซียก็ไม่คิดที่จะมองเหมารวมอีกต่อไปว่า.. ทุกอย่างต้องเป็นด้านลบเสมอไป
ในตอนนี้ พอเห็นนิลวิ่งออกไปเธอจึงตัดสินใจโดยไม่ลังเล.. แต่ทว่ามุมปากของอาคุสก็แสยะยิ้มขึ้น
ในตอนนั้นเองลูกบอลปริศนาก็กลิ้งมาหยุดอยู่ใต้เท้าของเลทิเซีย
“อาร์ติแฟ็คอีกแล้วเหรอ..”
เธอร้องออกมา แต่วินาทีต่อมานั้นเองควันโขมงก็ระเบิดออกมาจากอาร์ติแฟ็ค ควันเหล่านี้พิเศษมากมันปิดกั้นแม้แต่การไหลของพลังเวท
ต่อให้ใช้เวทตรวจจับก็ไม่อาจตรวจได้ ถึงเลทิเซียจะใช้ไม่ได้แต่แรกแล้วก็เถอะ
“อ๊า?!”
เสียงร้องของนิลดังขึ้นทำให้เลทิเซียหันไปทางต้นเสียงแต่เพราะหมอกบังอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็น
แต่ในขณะที่เธอกำลังสับสน ซิลเวียที่อยู่ข้างเห็นเลทิเซียทำท่าทางแปลกไป ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เถอะ
แต่ในมุมมองของเธอเหมือนเลทิเซียจะต่อรองกับใครสักคน ดังนั้นเธอจึงไม่ก่อกวน เพราะถึงแม้เธอจะมองไม่เห็น
แต่ซิลเวียนั้นรู้ดีว่าเลทิเซียนั้นไม่ใช่คนบ้า.. ดังนั้นเธอจึงไม่กล้ากวนแต่พอเห็นเลทิเซียสับสนก็ทำให้เธอรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นทันที
เพราะในมุมมองของเธอโลกยังปกติดีทุกอย่าง.. พอเธอเห็นท่าทางแปลกๆ ของเลทิเซีย เธอจึงเรียกเลทิเซียพร้อมกับจับไหล่เลทิเซีย
“เลทิเซีย มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ”
ทันทีที่เลทิเซียถูกสัมผัสโดยซิลเวียเธอก็รู้สึกแปลกประหลาดเพราะมุมมองสายตาที่เหมือนจะมีหมอกบดบังราวกับมันกำลังทับซ้อนกับพื้นที่ที่ไม่มีหมอกบัง
ทำให้กลายเป็นว่าเธอในตอนนี้มองเห็นโลกสองแบบในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกนั้นมันทำให้เธอสบสนเล็กน้อย
แต่ในตอนนั้นเองสายตาเลทิเซียที่เหมือนจะมองทะลุควันหมอกและไม่ทะลุในเวลาเดียวกัน เธอก็หันไปทางต้นเสียงซึ่งเหมือนว่านิลจะถูกจับตัวไปโดยชายที่สวมผ้าคลุมสีดำ
ทันทีที่นิลร้องพวกมันก็หอบเอาร่างนิลก่อนที่จะทำให้เธอสลบและพุ่งหนีไปในความมืดตามพื้นที่ที่เป็นเงาในซากปรักหักพัง โชคดีที่เลทิเซียถูกซิลเวียจับไว้ทันทำให้เธอมองเห็นทิศทางที่ศัตรูจากไป
เลทิเซียไม่มีเวลามาอธิบายสถานการณ์ ถึงตอนนี้พวกเธอยังจะเอาตัวไม่รอดก็ตาม แค่เลทิเซียไม่อาจทิ้งเด็กคนนั้นได้ลง
เพราะหากเป็นแบบนี้เด็กคนนั้นอาจจะเป็นคนที่ไม่ยอมรับใครเลยก็ได้.. เลทิเซียจับแขนซิลเวียแล้วก็พูดขึ้น
“เด็กคนนั้นถูกลักพาตัวไปแล้ว ตามไปกัน”
“เอ้ะ.. แต่ว่า…”
ซิลเวียกำลังจะบอกว่าแบบนั้นมันอันตรายเกินไป เพราะพวกเธอยังไงซะก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว
แต่ทว่าก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรเลทิเซียก็พูดขึ้น..
“ฉันไม่สามารถปล่อยเด็กคนนั้น..ทั้งแบบนั้นได้.. อย่างน้อยฉันในตอนนี้.. ก็รู้สึกแบบนั้น”
“…..”
สายตาที่จริงจังและเต็มไปด้วยความยืนกรานนั้นมองไปข้างหน้า.. ราวกับว่าตัวเธอได้คิดดีแล้ว
ซิลเวียที่อยู่ด้วยกันกับเลทิเซียมาตลอดตั้งแต่เด็ก เธอที่เห็นภาพนี้ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างเล็กน้อย..
ก่อนที่เธอจะหลับตาลงแล้วก็ยิ้ม..
“อื้ม ข้าเข้าใจแล้ว”
เธอคนนี้.. เปลี่ยนไปมากในระดับนี้แล้ว เธอถึงกับทำหน้าจริงจังแบบนั้นได้นี่ ซิลเวียจึงไม่คิดที่จะขัดแย้ง
เลทิเซียในสายตาซิลเวียนั้นไม่เคยยอมรับใครแม้แต่ตัวเธอเองแต่มันเปลี่ยนไปเรื่องนี้ทำให้เธอสับสนอยู่บ้างแต่พอเห็นแบบนี้แล้ว
เธอก็รู้สึกว่า..มันดีแล้วจริงๆ …
………………….