การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 334

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 334 – ทักษะที่มีความคิด..?

ท่ามกลางพลังที่ไร้รูปลักษณ์ ไม่ว่าจะเลทิเซียหรือซิลเวียต่างไม่อาจต้านทานได้อย่างสิ้นเชิง

ความแข็งแกร่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเธอจะต่อกรได้เลย ซึ่งบางทีเรื่องนี้คนที่รู้ดีที่สุดคงเป็นเลทิเซียที่เห็นพลังของนิล

ทางเดียวที่พวกเธอจะรอดจากที่แห่งนี้ได้คือหลบหนี.. หลบหนีเข้าไปในต้นกำเนิด ซึ่งอีกฝ่ายคงเข้าไปในต้นกำเนิดไม่ได้ง่ายๆ แน่

แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นเล่ห์กลอันใด ล้วนไม่อาจนำมาใช้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าความไร้หนทางและความแข็งแกร่งเช่นนี้

ท่ามกลางความว่างเปล่า ตัวตนของทั้งสองราวกับพร่าเลือนไปมากกว่าครึ่ง แต่ทว่าในตอนนั้นเอง..

“พรึ้บ”

บางสิ่งบางอย่างพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของคนทั้งสอง คลื่นอสนีบาตสีม่วงอมดำพุ่งผ่านความว่างเปล่าโจมตีใส่นิลอย่างรุนแรง

นิลเลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเธอก็เพียงโบกมือหนึ่งครั้งอสนีบาตนั้นก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันที

แต่นั่นก็เพียงพอแล้วต่อกรหยุดชะงักอีกฝ่าย.. ทำให้ตัวตนของเลทิเซียและซิลเวียกลับมาเป็นปกติ

มองดูเหมือนช้าแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง

เลทิเซียเบิกตากว้างจ้องมองภาพเบื้องหน้า..

“นายท่าน.. อาจารย์ซิลเวีย ข้ามีแผนอยู่”

ที่ปรากฏตัวตรงหน้าเลทิเซียและซิลเวียคือคมดาบสีดำรัตติกาลหนึ่ง.. แต่คราวนี้มันไม่ได้หมุนควงเองเพราะ..

มีเงาร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าพวกเธอ.. ใช่แล้ว.. นี่คือร่างที่เลทิเซียเตยร้างให้.. เธอก็คือไวท์นั่นเอง

เลทิเซียตกตะลึงว่าทำไมเหมือนไวท์จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ต่อความว่างเปล่าแห่งนี้เลย ต่อให้เป็นเลทิเซียก็ยังดูออกว่า..

บางทีไวท์คงจะมีพลังอะไรบางอย่างที่ทำให้ตัวเองมีพลังปกติได้ในดินแดนแห่งนี้.. แต่ในตอนนี้เลทิเซียไม่ได้สนใจเรื่องนั้น

พอไวท์พูดว่าตนเองมีแผน..และพิจารณาถึงฉากตรงหน้า.. ทำไมเลทิเซียจะไม่รู้ว่าไวท์คิดอะไรอยู่?

ต่อให้ไวท์จะไม่ค่อยอยู่กับเลทิเซียเลยก็ตามที แต่ว่าหนึ่งในคนที่เลทิเซียไว้ใจที่สุดก็ไม่พนไวท์ เพราะพวกเธอมีโชคชะตาเกี่ยวพันกันอ่างแน่นแฟ้น

ซึ่งกล่าวคือ เลทิเซียเข้าใจในตัวไวท์มากเลยล่ะ

พอได้ยินแบบนั้นเลทิเซียจึงรีบปฏิเสธทันที

“ไม่ได้เด็ดขาด ไวท์กลับมาเดี๋ยวนี้”

เลทิเซียพูดเสียงดังเขาขั้นตะโกนเลยก็ว่าได้ การแสดงออกให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ของเลทิเซียเช่นนี้ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาทั้งซิลเวียและไวท์ต่างไม่เคยเห็น

พวกเธอจึงหันขวับกลับมามองเลทิเซียด้วยความประหลาดใจ.. ดวงตาของเลทิเซียจ้องไปที่ไวท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทำให้ไวท์สับสนเช่นกัน..

แต่ทว่านิลพอมองเห็นไวท์.. ความทรงจำในอดีตก็ย้อนกลับขึ้นมาในหัว.. คนที่ผนึกมัน คนที่กักขังมันไว้ใต้ทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด..

คือเจ้านี่แหละ… อารมณ์ของนิลที่ไม่คงที่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ พอเห็นไวท์มันก็คำราม..

“แก…. แกก็ด้วย.. ไม่ว่าจะหน้าไหนๆ ก็… อ้ากกกก”

เสียงกรีดร้องคำรามของมันอัดแน่นไปด้วยความคลุ้งคลั่ง ความว่างเปล่าบิดพลิ้วเป็นรอย ทั้งๆ ที่มันเป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลยแท้ๆ

แต่ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความว่างเปล่ากำลังขานรับเสียงกรีดร้องของนิล และกลายเป็นพลังที่จะดับทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า

ไม่สิ ถ้าจะพูดว่าดับทำลายคงไม่ถูก.. ต้องกล่าวว่าลบเลือนออกจากความเป็นจริงทุกอย่างต่างหาก

ไวท์ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกจังหวะ เธอวาดคมดาบไปเบื้องหน้าพร้อมกับกล่าว..

“วิชาดาวไร้ลักษณ์.. คมไร้ลักษณ์”

ดาบในมือเธอตวัดออกไปข้างหน้าเป็นแนวตรงก่อเกิดเป็นคลื่นลึกลับบางอย่าง ไม่สนใจตรรกะหรือแนวคิดใดๆ ทั้งสิ้น

ไม่สนว่านี่จะเป็นความมืดมิด หรือแสงสว่าง ไม่สนใจว่ามันจะเป็นความเป็นจริงหรือภาพลวงตา..

ไม่สนใจว่ามันจะเป็นต้นกำเนิดหรือความว่างเปล่า… คมดาบนี้สามารถสะบั้นได้ทุกอย่าง!

ความว่างเปล่าพลันเกิดรอยแยกไม่อาจส่งผลถึงพวกเลทิเซียได้แม้แต่น้อย.. ไวท์หันหน้าไปหานิลพร้อมกับยกดาบขึ้นด้วยมือวาพร้อมกับพาดดาบไว้บนบ่า

แขนซ้ายยกขึ้นพร้อมกับแบมือไปข้างหน้า.. ท่าทางที่ไวท์แสดงออกมันแสดงให้เห็นถึงความมาดแมน..

อันที่จริงนี่คือการตั้งท่าของเจ้านายคนก่อนเธอ… ไวท์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงาสงบนิ่ง

“วิชาดาวไร้ลักษณ์..คือวิชาที่ไม่ใช่ทั้งเวทมนตร์ ไม่ใช่ทั้งกายภาพ..หรือไม่ใช่แม้แต่ทักษะความสามารถ”

“พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ที่แห่งนี้ไม่มีเวทมนตร์ ไม่มีลักษณะทางกายภาพ.. แต่วิชาดาบนี้ก็จะสามารถสะบั้นได้ทุกอย่าง”

“เพราะอะไรน่ะเหรอ.. เพราะว่าวิชาดาวไร้ลักษณ์ก็คือ… ข้า”

“ข้าก็คือวิชาดาวไร้ลักษณ์ ตราบใดที่ถือครองดาบเล่มนี้ไว้ในมือ.. วิชาล้วนสามารถใช้ออกมาได้”

“นั่นแหละถึงเรียกว่าแกนแท้แห่งวิชาดาบ”

เมื่อเธอกล่าวแบบนั้นเสร็จ มือซ้ายที่ยื่นไปข้างหน้าก็แบมือเป็นแนวนอนพร้อมกับตวัดออกไปด้านข้าง..

ไร้ซึ่งเสียง ไร้ซึ่งการแปรเปลี่ยน… แต่พริบตาต่อมานั้นเอง คอของนิลก็ถูกตัดขาดอย่างไม่น่าเชื่อ

ไวท์ไม่ได้ลืมตาด้วยซ้ำ ราวกับว่าเธอกำลังย้อนทวนความทรงจำของตัวเอง.. ย้อนทวนความทรงจำไปหาเรื่องราวในอดีตกับเจ้านายคนก่อน..

ปากของเธอกล่าวราวกับพยายามจะอธิบายให้เลทิเซียฟัง

“และ..เมื่อสามารถหลอมรวมกับดาบได้.. ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกายก็เปรียบเสมือนดาบเล่มนี้เช่นกัน”

นิลหน้าตาบิดเบี้ยวคอของเธอกลับคืนมาเป็นปกติแทบจะทันที ไวท์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ .. เธอกล่าวกับเลทิเซีย

“วิชาดาวไร้ลักษณ์คือวิชาที่นายท่านคนก่อนสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยใช้ข้าเป็นตัวหลักในการรังสรรค์วิชา.. มันไม่ใช่วิชาที่มีมาตั้งแต่ดาบเล่มนี้ถือกำเนิด”

“ซึ่งนายท่านคนก่อนได้บอกว่าตัวข้าไม่ใช่เวทมนตร์หรือวัตถุทางกายภาพ..”

“ตัวข้าในตอนนี้คือ…ทักษะหนึ่งทักษะ”

พอนางกล่าวเช่นนั้นเลทิเซียกับซิลเวียต่างพากันสับสน.. ต้องรู้ว่าทักษะเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งขนาดไหน.. ทักษะเปรียบดั่งความเป็นจริงที่แน่นอน

เปรียบดั่งต้นกำเนิดหนึ่งต้นกำเนิด.. ต่อให้เป็นความว่างเปล่าก็ไม่อาจหยุดยั้งสิ่งที่เรียกว่าทักษะได้

ซึ่งการที่มีทักษะที่สามารถควบคุมเปลวเพลิงได้นั่นก็แข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทานแล้ว.. แต่วิชาดาวไร้ลักษณ์นั้นไม่เหมือน..

เพราะมันเป็นทักษะที่ใช้ออกไปในฟันบางสิ่งบางอย่าง.. ทักษะการตัด.. นั่นไม่ได้หมายความว่าต่อให้เป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในต้นกำเนิดล้วนไม่อาจป้องกันได้ไม่ใช่เหรอ..

เพราะมันคือทักษะ!

อีกทั้งไวท์ยังบอกว่า..นายท่านคนก่อนสร้างมันขึ้นมา..และเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นทักษะ เรื่องนี้เลทิเซียไม่ได้ตกใจขนาดนั้น

เพราะเธอมีความคาดเดาบางอย่างเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนของไวท์ได้แล้ว.. ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเธอยังไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าทักษะมากนัก

แต่สำหรับซิลเวียนั้นไม่ใช่ เธอเติบโตมาพร้อมกับเหล่าทวยเทพที่จัดสรรทักษะให้ผู้อื่นได้.. แม้เทพจะสามารถจัดสรรว่าผู้ใดควรได้รับอะไร

ว่าคนไหนควรเกิดมาพร้อมอะไร แต่ว่าการสร้างสรรค์ทักษะนั้นกลับอยู่ห่างไกลพวกเขาอย่างไกลแสนไกล..

นี่จึงทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก ยังไม่พูดถึงว่า…ทักษะกลับมีความคิดเป็นของตัวเองได้นี่.. ลองนึกว่าทักษะมีระบบใช้งานเองอัตโนมัติ..

คนผู้นั้นไม่ใช่ว่าเป็นไร้เทียมทานเลยหรือ..

“จะทำอะไรได้พวกแกมันก็ยังเป็นแค่มดปลวกสำหรับข้าในตอนนี้”

นิลตะโกนด้วยความบ้าคลั่งร่างของเธอพุ่งเข้าใจตีใส่ไวท์อย่างรุนแรงจนเกิดการปะทะกัน..

เลทิเซียเรียกสติกลับมาได้.. เธอเห็นฉากโรมรันระหว่างไวท์กับนิล…

ใจของเธอรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดเฉือน..

ไม่ได้เด็ดขาด.. ไม่ได้!

“ไวท์กลับมาเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!!”

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท