บทที่ 334 – ทักษะที่มีความคิด..?
ท่ามกลางพลังที่ไร้รูปลักษณ์ ไม่ว่าจะเลทิเซียหรือซิลเวียต่างไม่อาจต้านทานได้อย่างสิ้นเชิง
ความแข็งแกร่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเธอจะต่อกรได้เลย ซึ่งบางทีเรื่องนี้คนที่รู้ดีที่สุดคงเป็นเลทิเซียที่เห็นพลังของนิล
ทางเดียวที่พวกเธอจะรอดจากที่แห่งนี้ได้คือหลบหนี.. หลบหนีเข้าไปในต้นกำเนิด ซึ่งอีกฝ่ายคงเข้าไปในต้นกำเนิดไม่ได้ง่ายๆ แน่
แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นเล่ห์กลอันใด ล้วนไม่อาจนำมาใช้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าความไร้หนทางและความแข็งแกร่งเช่นนี้
ท่ามกลางความว่างเปล่า ตัวตนของทั้งสองราวกับพร่าเลือนไปมากกว่าครึ่ง แต่ทว่าในตอนนั้นเอง..
“พรึ้บ”
บางสิ่งบางอย่างพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของคนทั้งสอง คลื่นอสนีบาตสีม่วงอมดำพุ่งผ่านความว่างเปล่าโจมตีใส่นิลอย่างรุนแรง
นิลเลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเธอก็เพียงโบกมือหนึ่งครั้งอสนีบาตนั้นก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันที
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วต่อกรหยุดชะงักอีกฝ่าย.. ทำให้ตัวตนของเลทิเซียและซิลเวียกลับมาเป็นปกติ
มองดูเหมือนช้าแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง
เลทิเซียเบิกตากว้างจ้องมองภาพเบื้องหน้า..
“นายท่าน.. อาจารย์ซิลเวีย ข้ามีแผนอยู่”
ที่ปรากฏตัวตรงหน้าเลทิเซียและซิลเวียคือคมดาบสีดำรัตติกาลหนึ่ง.. แต่คราวนี้มันไม่ได้หมุนควงเองเพราะ..
มีเงาร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าพวกเธอ.. ใช่แล้ว.. นี่คือร่างที่เลทิเซียเตยร้างให้.. เธอก็คือไวท์นั่นเอง
เลทิเซียตกตะลึงว่าทำไมเหมือนไวท์จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ต่อความว่างเปล่าแห่งนี้เลย ต่อให้เป็นเลทิเซียก็ยังดูออกว่า..
บางทีไวท์คงจะมีพลังอะไรบางอย่างที่ทำให้ตัวเองมีพลังปกติได้ในดินแดนแห่งนี้.. แต่ในตอนนี้เลทิเซียไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
พอไวท์พูดว่าตนเองมีแผน..และพิจารณาถึงฉากตรงหน้า.. ทำไมเลทิเซียจะไม่รู้ว่าไวท์คิดอะไรอยู่?
ต่อให้ไวท์จะไม่ค่อยอยู่กับเลทิเซียเลยก็ตามที แต่ว่าหนึ่งในคนที่เลทิเซียไว้ใจที่สุดก็ไม่พนไวท์ เพราะพวกเธอมีโชคชะตาเกี่ยวพันกันอ่างแน่นแฟ้น
ซึ่งกล่าวคือ เลทิเซียเข้าใจในตัวไวท์มากเลยล่ะ
พอได้ยินแบบนั้นเลทิเซียจึงรีบปฏิเสธทันที
“ไม่ได้เด็ดขาด ไวท์กลับมาเดี๋ยวนี้”
เลทิเซียพูดเสียงดังเขาขั้นตะโกนเลยก็ว่าได้ การแสดงออกให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ของเลทิเซียเช่นนี้ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาทั้งซิลเวียและไวท์ต่างไม่เคยเห็น
พวกเธอจึงหันขวับกลับมามองเลทิเซียด้วยความประหลาดใจ.. ดวงตาของเลทิเซียจ้องไปที่ไวท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทำให้ไวท์สับสนเช่นกัน..
แต่ทว่านิลพอมองเห็นไวท์.. ความทรงจำในอดีตก็ย้อนกลับขึ้นมาในหัว.. คนที่ผนึกมัน คนที่กักขังมันไว้ใต้ทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด..
คือเจ้านี่แหละ… อารมณ์ของนิลที่ไม่คงที่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ พอเห็นไวท์มันก็คำราม..
“แก…. แกก็ด้วย.. ไม่ว่าจะหน้าไหนๆ ก็… อ้ากกกก”
เสียงกรีดร้องคำรามของมันอัดแน่นไปด้วยความคลุ้งคลั่ง ความว่างเปล่าบิดพลิ้วเป็นรอย ทั้งๆ ที่มันเป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลยแท้ๆ
แต่ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความว่างเปล่ากำลังขานรับเสียงกรีดร้องของนิล และกลายเป็นพลังที่จะดับทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
ไม่สิ ถ้าจะพูดว่าดับทำลายคงไม่ถูก.. ต้องกล่าวว่าลบเลือนออกจากความเป็นจริงทุกอย่างต่างหาก
ไวท์ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกจังหวะ เธอวาดคมดาบไปเบื้องหน้าพร้อมกับกล่าว..
“วิชาดาวไร้ลักษณ์.. คมไร้ลักษณ์”
ดาบในมือเธอตวัดออกไปข้างหน้าเป็นแนวตรงก่อเกิดเป็นคลื่นลึกลับบางอย่าง ไม่สนใจตรรกะหรือแนวคิดใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่สนว่านี่จะเป็นความมืดมิด หรือแสงสว่าง ไม่สนใจว่ามันจะเป็นความเป็นจริงหรือภาพลวงตา..
ไม่สนใจว่ามันจะเป็นต้นกำเนิดหรือความว่างเปล่า… คมดาบนี้สามารถสะบั้นได้ทุกอย่าง!
ความว่างเปล่าพลันเกิดรอยแยกไม่อาจส่งผลถึงพวกเลทิเซียได้แม้แต่น้อย.. ไวท์หันหน้าไปหานิลพร้อมกับยกดาบขึ้นด้วยมือวาพร้อมกับพาดดาบไว้บนบ่า
แขนซ้ายยกขึ้นพร้อมกับแบมือไปข้างหน้า.. ท่าทางที่ไวท์แสดงออกมันแสดงให้เห็นถึงความมาดแมน..
อันที่จริงนี่คือการตั้งท่าของเจ้านายคนก่อนเธอ… ไวท์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงาสงบนิ่ง
“วิชาดาวไร้ลักษณ์..คือวิชาที่ไม่ใช่ทั้งเวทมนตร์ ไม่ใช่ทั้งกายภาพ..หรือไม่ใช่แม้แต่ทักษะความสามารถ”
“พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ที่แห่งนี้ไม่มีเวทมนตร์ ไม่มีลักษณะทางกายภาพ.. แต่วิชาดาบนี้ก็จะสามารถสะบั้นได้ทุกอย่าง”
“เพราะอะไรน่ะเหรอ.. เพราะว่าวิชาดาวไร้ลักษณ์ก็คือ… ข้า”
“ข้าก็คือวิชาดาวไร้ลักษณ์ ตราบใดที่ถือครองดาบเล่มนี้ไว้ในมือ.. วิชาล้วนสามารถใช้ออกมาได้”
“นั่นแหละถึงเรียกว่าแกนแท้แห่งวิชาดาบ”
เมื่อเธอกล่าวแบบนั้นเสร็จ มือซ้ายที่ยื่นไปข้างหน้าก็แบมือเป็นแนวนอนพร้อมกับตวัดออกไปด้านข้าง..
ไร้ซึ่งเสียง ไร้ซึ่งการแปรเปลี่ยน… แต่พริบตาต่อมานั้นเอง คอของนิลก็ถูกตัดขาดอย่างไม่น่าเชื่อ
ไวท์ไม่ได้ลืมตาด้วยซ้ำ ราวกับว่าเธอกำลังย้อนทวนความทรงจำของตัวเอง.. ย้อนทวนความทรงจำไปหาเรื่องราวในอดีตกับเจ้านายคนก่อน..
ปากของเธอกล่าวราวกับพยายามจะอธิบายให้เลทิเซียฟัง
“และ..เมื่อสามารถหลอมรวมกับดาบได้.. ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกายก็เปรียบเสมือนดาบเล่มนี้เช่นกัน”
นิลหน้าตาบิดเบี้ยวคอของเธอกลับคืนมาเป็นปกติแทบจะทันที ไวท์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ .. เธอกล่าวกับเลทิเซีย
“วิชาดาวไร้ลักษณ์คือวิชาที่นายท่านคนก่อนสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยใช้ข้าเป็นตัวหลักในการรังสรรค์วิชา.. มันไม่ใช่วิชาที่มีมาตั้งแต่ดาบเล่มนี้ถือกำเนิด”
“ซึ่งนายท่านคนก่อนได้บอกว่าตัวข้าไม่ใช่เวทมนตร์หรือวัตถุทางกายภาพ..”
“ตัวข้าในตอนนี้คือ…ทักษะหนึ่งทักษะ”
พอนางกล่าวเช่นนั้นเลทิเซียกับซิลเวียต่างพากันสับสน.. ต้องรู้ว่าทักษะเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งขนาดไหน.. ทักษะเปรียบดั่งความเป็นจริงที่แน่นอน
เปรียบดั่งต้นกำเนิดหนึ่งต้นกำเนิด.. ต่อให้เป็นความว่างเปล่าก็ไม่อาจหยุดยั้งสิ่งที่เรียกว่าทักษะได้
ซึ่งการที่มีทักษะที่สามารถควบคุมเปลวเพลิงได้นั่นก็แข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทานแล้ว.. แต่วิชาดาวไร้ลักษณ์นั้นไม่เหมือน..
เพราะมันเป็นทักษะที่ใช้ออกไปในฟันบางสิ่งบางอย่าง.. ทักษะการตัด.. นั่นไม่ได้หมายความว่าต่อให้เป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในต้นกำเนิดล้วนไม่อาจป้องกันได้ไม่ใช่เหรอ..
เพราะมันคือทักษะ!
อีกทั้งไวท์ยังบอกว่า..นายท่านคนก่อนสร้างมันขึ้นมา..และเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นทักษะ เรื่องนี้เลทิเซียไม่ได้ตกใจขนาดนั้น
เพราะเธอมีความคาดเดาบางอย่างเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนของไวท์ได้แล้ว.. ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเธอยังไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าทักษะมากนัก
แต่สำหรับซิลเวียนั้นไม่ใช่ เธอเติบโตมาพร้อมกับเหล่าทวยเทพที่จัดสรรทักษะให้ผู้อื่นได้.. แม้เทพจะสามารถจัดสรรว่าผู้ใดควรได้รับอะไร
ว่าคนไหนควรเกิดมาพร้อมอะไร แต่ว่าการสร้างสรรค์ทักษะนั้นกลับอยู่ห่างไกลพวกเขาอย่างไกลแสนไกล..
นี่จึงทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก ยังไม่พูดถึงว่า…ทักษะกลับมีความคิดเป็นของตัวเองได้นี่.. ลองนึกว่าทักษะมีระบบใช้งานเองอัตโนมัติ..
คนผู้นั้นไม่ใช่ว่าเป็นไร้เทียมทานเลยหรือ..
“จะทำอะไรได้พวกแกมันก็ยังเป็นแค่มดปลวกสำหรับข้าในตอนนี้”
นิลตะโกนด้วยความบ้าคลั่งร่างของเธอพุ่งเข้าใจตีใส่ไวท์อย่างรุนแรงจนเกิดการปะทะกัน..
เลทิเซียเรียกสติกลับมาได้.. เธอเห็นฉากโรมรันระหว่างไวท์กับนิล…
ใจของเธอรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดเฉือน..
ไม่ได้เด็ดขาด.. ไม่ได้!
“ไวท์กลับมาเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!!”