การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 366

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 366 – การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ

หลังจากนั้นเลทิเซียกับเวโรเน่ก็นั่งทานอาหารค่ำกัน แม้อาหารมื้อนี้จะไม่ได้หรูหรา กลับกันยังดูรันทดด้วยซ้ำ

แต่เลทิเซียไม่ใช่คนเลือกกินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อีกทั้งเธอยังซาบซึ้งในตัวของเวโรเน่ที่แม้สถานการณ์ทางบ้านจะไม่ดีเธอยังช่วยเหลือเลทิเซียอีกต่างหาก

“เจ้าเนี่ยดูเหมือนเด็ก แต่จริงๆ แล้วอายุเท่าไหร่งั้นเหรอ?”

จู่ๆ เวโรเน่ที่ทานข้าวอยู่ก็กล่าวถามแบบนั้นเลทิเซียเองก็ไม่ได้ตอบคำถามทันที เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

จริงๆ ถ้าจากการคาดเดาของเลทิเซียถูกต้อง นี่ต้องเป็นสองร้อยปีก่อนปัจจุบันอย่างแน่นอน

หมายความว่าเธอไม่ควรที่จะเปิดเผยข้อมูลตัวเองมากเกินไป หากเจ้าเทพผู้สร้างนั่นโผล่มาอีกรอบละก็ คราวนี้คงไม่รู้ว่าจะรอดได้ไหม?

อีกทั้งหากยุ่งเกี่ยวมากเกินไปอาจจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกก็ได้ หากเป็นอยู่ไม่ห่างไกลจากปัจจุบันมากเลทิเซียอาจจะพอควบคุมได้บ้าง

แต่ถ้าหากห่างกันเป็นร้อยปี.. หากเลทิเซียยุ่งเกี่ยวมากเกินไปอาจจะเปลี่ยนแปลงโลกในอีกร้อยปีให้หลังได้เลย

ซึ่งขืนเป็นแบบนั้นละก็เจ้าภาพสะท้อนของเทพผู้สร้างต้องโผล่มาอีกรอบก็ได้.. หลังจากเลทิเซียลังเลอยู่สักพักเวโรเน่ก็พูดขึ้น

“อ่า.. ถ้าเจ้าไม่ต้องการจะบอกก็ไม่ต้องบอกก็ได้ ข้าขอโทษที่ถามไปโดยไม่คิด ส่วนข้าอายุสิบเจ็ดปีนะ”

เธอหัวเราะแห้งๆ พร้อมกับรู้สึกผิด เลทิเซียที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา.. พร้อมกับส่ายหน้าแล้วก็ตอบ

“เฮ้อ… ช่างเถอะ ฉันอายุพอๆ กับเธอนั่นแหละ”

เธอได้แต่ถามตัวเองว่านี่เธอทำอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบเหล่านั้นได้ ตอนนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเลทิเซียในยามนี้เหมือนตัวเองในอดีต

นั่นแน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมรอบด้านโดยไม่รู้ตัว เลทิเซียเองก็เช่นกัน

ตลอดห้าปีที่อยู่ในโรงเรียนทุกคนล้วนเป็นมิตรกับเธอ และทุกคนมีแต่คนที่มีจิตใจดี ไม่แปลกที่เลทิเซียจะได้รับอิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป เลทิเซียเองก็เช่นกัน ตลอดการเดินทางของเธอนั้น..

แม้แต่เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากขนาดไหน.. บางทีเธออาจจะรู้สึกว่าเวโรเน่คนนี้น่าสงสารหรืออะไรก็ไม่มีใครทราบ

เพราะความคิดของเลทิเซียในยามนี้นั้นยากแท้หยั่งถึงจริงๆ ..

“เอ๊ะ งั้นเหรอเนี่ย ข้านึกว่าเจ้าอายุน้อยกว่าข้าซะอีก.. ก็นั่นสินะ เจ้าใช้เวทมนตร์ได้นี่นะ”

เลทิเซียที่ได้ยินแบบนั้นก็เกิดคำถามหนึ่งขึ้นมา.. บางทีหากได้คำตอบเธออาจจะรู้เบาะแสเกี่ยวกับเวลาที่เธออยู่ในตอนนี้ก็ได้

เพราะในโลกนี้ไม่มีปฏิทินที่ชัดเจน ดังนั้นหากเลทิเซียอยากรู้ว่าตอนนี้เป็นปีที่เท่าไหร่เลทิเซียต้องนำเอาประวัติศาสตร์ของโลกนี้ที่ตนเองรู้มา

และนำมาเปรียบเทียบว่านี่มันอยู่ช่วงประมาณยุคไหน

“แล้วเธอใช้เวทมนตร์ไม่ได้เหรอ?”

“หือ.. ใช้ไม่ได้แน่นอนอยู่แล้วสิ เจ้านี่ถามอะไรแปลกๆ นะเนี่ย”

“หมายความว่ายังไงเหรอ?”

“เอ่อ.. จะว่าไงดีล่ะ ก็เวทมนตร์น่ะอยากจะใช้ได้ต้องมีเงินซื้อน่ะสิ”

เธอแปลกใจกับคำถามเลทิเซียพอสมควร แต่แน่นอนว่าเธอก้ไม่ใช่คนที่ฉลาดพอที่จะตามทันความคิดเลทิเซียขนาดนั้น

เธอจึงตอบออกมาโดยไม่คิดอะไรมาก พอเห็นเลทิเซียยังมีท่าทางสงสัย เวโรเน่จึงพูดต่อ

“ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ.. แต่เวทมนตร์เนี่ยข้าได้ยินมาว่าการจะใช้งานมันได้ ต้องมีสิ่งที่คล้ายๆ สูตรเวทมนตร์อยู่มั้ง”

“ซึ่งไอ้เจ้าสูตรอะไรสักอย่างเนี่ยจะต้องหาอ่านจากหนังสือเอาใช่ไหมล่ะ ถึงจะรู้ว่ามันทำยังไง แล้วหนังสือที่ต้องเขียนด้วยมือเนี่ยมันก็แพงใช่ไหมล่ะ”

“เพราะแบบนั้นแหละข้าเลยใช้เวทมนตร์ไม่ได้”

เธอกล่าวอธิบาย ถึงเธอจะไม่รู้จักเวทมนตร์มาก่อน แต่ไม่ใช่ว่าหมู่บ้านนี้จะไม่มีคนใช้เวทมนตร์ไม่เป็น แต่หลายๆ คนที่เป็นพ่อค้าหรือเจ้าเมืองนายเมืองนี้

พอจะมีเงินซื้อหนังสือมาอ่านเพื่อใช้เวทมนตร์อยู่หรอก แต่เวโรเน่ไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก… พอเลทิเซียฟังมาถึงขนาดนี้เธอก็หนังตากระตุกเล็กน้อย..

หนังสือที่ต้องเขียนด้วยมือ..? นี่มันแปลกๆ แล้ว.. ถ้าหากเธอจำไม่ผิดเครื่องตีพิมพ์หนังสือเวทมนตร์ในโลกนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อหลังจบสงครามโลกเมื่อห้าร้อยปีก่อน..

เพราะว่าโลกใบนี้นั้นความรู้เชิงวิชาการมันมีเยอะมาก ก็เพเราะมีเวทมนตร์ที่คุณต้องมีความรู้เชิงวิทยาศาสตร์เพื่อแทรกแซงกฎของโลกละนะ

และแน่นอนเพราะแบบนั้นนั่นแหละเครื่องตีพิมพ์เวทมนตร์จึงสำคัญมาก และมันถูกแพร่หลายในยุคห้าร้อยปีก่อนปัจจุบัน

หรือว่านี่เป็นห้าร้อยปีก่อนปัจจุบัน.. ไม่สิ.. ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้แต่เวโรเน่อาจจะแค่ไม่รู้จักเฉยๆ ก็ได้

เพราะกว่าเครื่องตีพิมพ์เวทมนตร์จะถูกใช้งานอย่างจริงจังและเป็นความรู้พื้นฐานก็กินเวลาเป็นร้อยปีอยู่ดี

เพราะระบบข่าวสารของโลกนี้มันห่วยแตกไม่พอ ยังมีพวกโลภมากอย่างพวกขุนนางอีก ดังนั้นทำให้กว่าเครื่องพิมพ์จะเข้าที่เข้าทางก็กินเวลายาวนาน

ไม่สิ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเป็นสี่ร้อยปีก่อนปัจจุบันเลยนะ.. เลทิเซียขมวดคิ้วลงจนเวโรเน่สังเกตเห็น

“มีอะไรเหรอ?”

“เปล่าหรอก”

เลทิเซียส่ายหน้า.. เอาเป็นว่าตอนนี้มีโอกาสที่จะเป็นสี่ร้อยปีก่อนปัจจุบันพอสมควร แต่เลทิเซียไม่จำเป็นต้องรีบเพราะเธอต้องคิดวิธีการอีกมาก

ก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางข้ามเวลาอีกรอบ..

“จริงสิ ว่าแต่เจ้ามาจากที่ไหนเหรอ แล้วจะไปไหนเหรอ.. ข้าลืมถามไปเลย”

จู่ๆ เวโรเน่ก็ถามขึ้น พอเลทิเซียโดยถามแบบนั้นเธอก็มองเวโรเน่ด้วยสายตาแปลกๆ ผู้หญิงคนนี้พาคนอื่นเข้าบ้านโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่ามาจากไหน

หากเธอเป็นนักโทษหนีคุกละก็คงแย่เลยนะเนี่ย.. ไม่สิ พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกเพราะเลทิเซียมีรูปร่างเหมือนเด็ก

จะบอกว่าเวโรเน่ไม่ระวังตัวก็คงไม่ถูกซะทีเดียว.. ต้องโทษที่ร่างกายเธอดูเป็นเด็ก.. เลทิเซียครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า

“ฉันเป็นนักเดินทางน่ะ ฉันกำลังตามหาใครสักคนอยู่น่ะ”

เลทิเซียพูดแบบนั้น พอเวโรเน่ได้ยินแบบนั้นก็เบิกตากว้าง แต่เมื่อนึกว่าเลทิเซียนั้นสามารถใช้เวทมนตร์ได้แถมอายุเยอะกว่าที่เห็นตามรูปร่างเธอก็พอเข้าใจได้

หลังจากนั้นทั้งเลทิเซียและเวโรเน่ก็กินอาหารกันพร้อมกับพูดคุย โชคดีที่เวโรเน่เป็นคนพูดเก่งทำให้เธอชวนคนที่คุยไม่ค่อยเก่งแบบเลทิเซียตลอด

แน่นอนว่าเธอคุยออกรสจนถึงขั้นที่เลทิเซียแอบคิดเลยว่าเด็กคนนี้เหมือนจะไม่เคยคุยกับใครมาก่อนงั้นแหละ

ในขณะทานข้าวเลทิเซียก็ได้ยินเสียฝีเท้าที่เหมือนจะเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านเหมือนกำลังจะเข้ามาบ้าน

พอเสียงนั้นได้ยินเสียงของเวโรเน่คุยอยากสนุกสนาน เขาก็หยุดการกระทำลงก่อนจะถอยหลังแล้วก็เดินจากไป

“…….”

เลทิเซียนิ่งเงียบลงพร้อมกับคิดบางอย่าง ขณะที่คิดแบบนั้นจู่ๆ เวโรเน่ก็กล่าวพรวดพราดออกมา

“นี่เลทิเซียสอนเวทมนตร์ให้ข้าได้ไหม?”

“อืม..”

“จริงเหรอเนี่ย เจ้าสอนข้าได้จริงๆ ใช่ไหม”

“อืม..”

“เย้.. ขอบคุณเจ้ามากในที่สุดข้าก็ใช้เวทมนตร์ได้เหมือนคนอื่นเขา แบบนี้ข้าจะจะสามารถเข้าเมืองหลวงได้แล้วน่ะสิ”

“เอ้ะ?”

เลทิเซียที่เหมือนจะรู้สึกตัวเพราะเวโรเน่โดดออกจากเก้าอี้พร้อมกับกระโดดโลดเต้นแล้วยังเดินมาจับมือเลทิเซียยกขึ้นยกลงพร้อมกับพูด

“ขอบคุณนะ”

ซ้ำไปซ้ำมา.. เลทิเซียที่พึ่งหลุดออกมาจากโลกของความคิดก็พึ่งนึกได้ว่าเวโรเน่พูดอะไรไป เธอยกมือขึ้นเหมือนจะพูดปฏิเสธไป

เพราะว่าหากสอนเวทมนตร์ให้มั่วซั่วละก็แย่แน่ๆ .. แน่นอนว่าทักษะการสอนของเลทิเซียไม่ได้ถือว่าแย่

ผสมผสานกับความรู้จากโลกเก่าทำให้ใครที่ได้รับการสอนจากเลทิเซียนั้นไม่เพียงแต่จะเก่งมากๆ ยังกลายเป็นท็อปอันดับต้นๆ ของโรงเรียนทั้งห้าได้เลย

แน่นอนว่าตลอดห้าปีที่อยู่โรงเรียนเลทิเซียสร้างอัจฉริยะขึ้นมาแล้วมากมายหลายสิบคนอีกด้วย…

แต่ที่ที่เธออยู่ตอนนี้มันอาจจะเป็นไปได้ว่าคือเมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อนปัจจุบันเลยนะ.. ซึ่งหากเกิดปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีกละก็แม้แต่เลทิเซียก็ยังควบคุมไม่ได้

ไม่สิ.. ปัญหามันไม่ใช่ตรงนั้นหรอก ปัญหาจริงๆ คือ หากภาพสะท้อนของเทพผู้สร้างปรากฏออกมาละก็..เธออาจจะตายได้เลยนะ

ไม่สิ อาจจะไม่ถึงตายหรอก แต่ก็อาจจะทะลุเวลาไปที่ช่วงเวลาอื่นอีกก็ได้..

แต่พอเห็นท่าทางที่แสนดีใจของเวโรเน่.. เลทิเซียก็พูดสิ่งที่คิดออกไปไม่ได้..

“…..”

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง..เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ .. หวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ..

………

[ถึงจะนั่งเขียนไม่ได้.. ผมนอนเขียนเอาก็ได้!จะพยายามฝืนสังขารเข็ญตอนใหม่ออกมาเรื่อยๆ นะครับ ฮา – ผู้เขียน]

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท