บทที่ 371 – ผลงานศิลปะแห่งจิตวิญญาณ
“ศิลปะคือจิตวิญญาณงั้นเหรอ”
เวโรเน่พึมพำด้วยความฉงนสนเท่ห์ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าของฟุ่มเฟือยอย่างงานศิลปะอันวิจิตรนั้นห่างไกลจากตัวเวโรเน่มากที่สุด
เพราะครอบครัวของเธอไม่ได้ร่ำรวยขนาดที่จะพอเอาเงินมาทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ต่อการดำรงอยู่แบบนี้อย่างแน่นอน
อันที่จริงแม้แต่น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเธอยังรู้สึกเสียดายด้วยซ้ำ ดังนั้นสำหรับเธอการจะมาใช้เงินเพื่ออะไรแบบนี้
สู้เอาเงินไปเลี้ยงชีพยังดีซะกว่า แต่เมื่ออีกฝ่ายเสนอให้เธอทำโดยแลกกับค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งแล้ว..มันก็อีกอย่างหนึ่ง
ถึงเงินก้อนนั้นสำหรับสเวนจะไม่ได้เยอะอะไรเลย.. แต่สำหรับเวโรเน่นั้นเธอสามารถอยู่รอดได้อีกหลายวัน
ดังนั้นเธอจึงยอมทำตามโดยไม่ลังเล.. แต่เมื่อเธอฟังคำกล่าวของสเวนแล้วมันก็ทำให้เธอก้มหน้าลงคิดตาม
จริงอยู่ที่เธอไม่เยเข้าใจเสน่ห์ของสิ่งของฟุ่มเฟือยพวกนี้.. แต่เมื่อสายตาของเธอจ้องไปยังประติมากรรมน้ำแข็งด้านหลังของสเวน
เธอก็ราวกับหลุดเข้าไปในโลกที่มีกองศพนับพันนับหมื่นกองเป็นพะเนินพร้อมกับมีจอมมารเหยียบย่ำอยู่กลางซากศพเหล่านั้นราวกับผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง
ซากศพนั้นสมจริงราวกับเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นตรงหน้าของเวโรเน่ในบัดนี้
เสียงร้องโหยหวนอันแสนเจ็บปวดของผู้คนที่ถูกจอมมารสังหารนั้นดังแว่วๆ ภายใต้จิตสำนึกของเธอ
เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็มองเห็นสายตาอันเย็นเฉียบของอมมาร ราวกับว่ารูปปั้นนี้มีจิตวิญญาณอยู่จริงๆ ..
ราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ และจดจ้องมาที่เธอ เพียงแค่สายตานั้นมันก็ทำให้เธอรู้สึกหนักอึ้งแล้วทำให้ต้องกลืนน้ำลายอย่างช่วยไม่ได้
“นี่คือ..ประติมากรรมที่มีจิตวิญญาณ..?”
เธอพึมพำด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย ดวงตาของสเวนที่มองไปที่เวโรเน่พลันเผยความรู้สึกบางอย่าง
ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนดีขนาดนั้น แต่หากพูดถึงเรื่องศิลปะอย่างงานประติมากรรมแล้ว เขาจะไม่สองแง่สองง่าม
ความรักที่เขามีให้งานศิลปะนั้นอยู่เหนือกว่าทุกผู้ทุกคน เขาพยักหน้าตอบเวโรเน่ที่ยังไม่ลงมือแกะสลักทันที
“ใช่แล้ว.. ผลงานชิ้นนี้คือผลงานที่ข้าสร้างขึ้นมาจากความรู้สึกบางอย่างอันแรงกล้าภายในตัวของข้า”
“จอมมาร.. คือสิ่งที่ข้ากลัวมันมากที่สุด ทั้งโหดร้ายและน่ากลัวอย่างถึงที่สุดความรู้สึกหวาดกลัวอันแรงกล้านี้ข้าจึงได้วาดมันลงบนน้ำแข็ง”
“แสดงความน่ากลัวของสิ่งที่ข้ากลัวที่สุดออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจอันแรงกล้า.. สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นด้วยความหวาดกลัวอันล้ำลึก”
“นั่นแหละ..คือผลงานที่ดีที่สุดของข้า”
แน่นอนว่าสำหรับสเวนที่มีบิดาเป็นผู้กล้านั้น เขาย่อมรู้จักจอมมารดีกว่าผู้อื่นเป็นไหนๆ .. ความรู้สึกที่รุนแรงที่สุดสำหรับเขาคือจอมมาร
จอมมารที่ฆ่าสังหารได้อย่างเลือดเย็นและโหดร้าย.. ความรู้สึกหวาดกลัวเหล่านั้นมันรุนแรงยิ่งกว่าความรู้สึกทุกอย่างในร่างกายเขา
ทำให้เขาบรรยายมันออกมาผ่านศิลปะ.. และนี่แหละก็คือความงดงามของศิลปะ ศิลปะที่สร้างขึ้นมาจากความรู้สึกอันแรงกล้า
ผลงานที่งดงามราวกับมีชีวิต..
“แล้วเจ้าล่ะ.. สำหรับเจ้า.. เจ้าคิดว่าความรู้สึกจากเบื้องลึกอันแรงกล้าของเจ้าคืออะไร.. ลองหลับตาและนึกถึงมันสิ บรรยายมันออกมาภายใต้น้ำแข็งชิ้นนี้”
สเวนกล่าวอย่างรอบรู้ เวโรเน่ที่ฟังแบบนั้นความรู้สึกอันลึกล้ำบางอย่างปรากฏขึ้นภายในใจของเธออย่างเงียบๆ ..
เธอหลับตาลงตามคำแนะนำของสเวน.. ความรู้สึกของเธอ.. ความรู้สึกของเวโรเน่.. คืออะไรงั้นเหรอ?
ความเกลียดชัง? ความหวาดกลัว? ความเศร้าโศก?
เปล่าเลย.. ตลอดมาเธอก็เคยถูกผู้คนรังเกียจเพราะหน้าตาของเธอที่เป็นแบบนั้น.. แต่ทว่า.. เธอก็ยังอยู่ได้…
งั้นเธอต้องการอะไร เลทิเซียตรงนั้นงั้นเหรอ? ไม่ใช่.. ไม่ใช่.. สิ่งที่เธอต้องการน่ะคืออะไรที่เรียบง่ายกว่านั้น..
ความรู้สึกอันแรงกล้าของเธอ.. เธอต้องการครอบครัวเหมือนดั่งในอดีต.. มีเธอ มีท่านพ่อและ..มีท่านแม่..
“ท่านพ่อ..ท่านแม่..”
เวโรเน่พึมพำด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แรงกล้า.. ท่านแม่ทำอาหาร ท่านพ่อล่าสัตว์ เธอก็ช่วยท่านแม่แบบจิปาถะ
หัวเราะด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน พูดคุยด้วยกัน..
ทุกอย่างมันหายไปแล้ว.. ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนท่านแม่ได้ทิ้งท่านพ่อกับตัวเธอเองไปอยู่ในเมืองหลวง
ท่านพ่อเริ่มติดเหล้าและบุหรี่หลังจากนั้นไม่นาน ท่านพ่อที่เคยใจดีก็เริ่มใช้กำลังกับเธอเป็นบางครั้ง..
ถึงแม้เขาจะเลิกทำไปแล้วแต่ว่าก็มีบางครั้งที่พยายามจะทำร้ายเธอถึงจะไม่สำเร็จ.. แต่ถึงแบบนั้นเธอก้ไม่เคยเกลียดผู้เป็นบิดา..
เธอยังเคารพและรักบิดาคนนั้นเหมือนเดิม.. หางตาของเธอมีน้ำตาไหลออกมา.. มือของเธอยกขึ้นและค่อยๆ สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมน้ำแข็งบางอย่างจากความรู้สึกเบื้องลึก..
เลทิเซียเองก็ไม่ต่าง เธอราวกับหลุดไปในโลกแห่งความทรงจำของเธอ.. ไม่สามารถพูดได้ว่าเลทิเซียนั้นไร้เทียมทาน
จริงอยู่ที่เธอในตอนนี้แข็งแกร่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด.. เพราะเธอในยามนี้แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง
แต่ถึงแบบนั้น.. ถึงแบบนั้นลึกๆ แล้ว ลึกๆ ภายในใจของเธอแล้วยังมีความต้องการที่อยากจะทำให้สำเร็จอยู่..
ใช่ แม้เธอจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ไร้เทียมทานถึงเพียงนี้เธอก็ยังมีความปรารถนาที่ไม่อาจจะไขว่คว้ามาได้
รอยยิ้มของคนสำคัญที่ตายจากไป.. รอยยิ้มที่จากไปแล้วนั้นไม่อาจจะหวนคืนกลับมาได้อีก แม้เธอจะอยู่เหนือกาลเวลาไปแล้ว
แต่ว่ามันกลับไม่สามารถช่วยเพื่อนคนสำคัญได้ นั่นแหละคอความต้องการของเธอ..
“ทุกคน..”
เลทิเซียราวกับหลุดไปจากโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งแค่นั้น สุดยอดปานใด.. สุดท้ายแล้วเลทิเซียก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิต
ที่มีทั้งความโลภ ความเกลียดชัง ความเศร้าโศก.. ความต้องการที่อยากจะแปรเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่าง
เธอกัดริมฝีปากเบาๆ … มือของเธอวาดออกไปข้างหน้าราวกับต้องการจะวาดฝันสิ่งที่ตัวเองต้องการลงแท่นน้ำแข็งเบื้องหน้า
ใช้ความรู้สึกที่เธอแสวงหาและต้องการมากที่สุด.. เมื่อทั้งคู่ลงมอเคลื่อนไหวผู้คนที่อยู่รอบด้านต่างพากันให้ความสนใจ
แม้เวโรเน่จะไม่ได้เก่งกาจ แต่ทุกการเคลื่อนไหวที่เคลื่อนไหวจากความรู้สึกและจิตวิญญาณนั้นมันงดงามอย่างยากที่จะหันสายตาหนี
ตรงข้ามกับเวโรเน่ที่ไม่มีความรู้เรื่องงานประติมากรรม เพราะเลทิเซียนั้นรู้จักดี อาจจะบอกได้ว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญเลยมากกว่า
ก็นะทักษะที่มีมากกว่าหนึ่งล้านทักษะจำเป็นต้องมีทักษะที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมีดหรือการสร้างผลงานประติมากรรมอยู่แน่นอน
ซึ่งไม่เพียงแค่นั้นตัวเธอยังรู้จักงานประติมากรรมและศิลปะทุกชนิดดี.. เพราะแบบนั้นการเคลื่อนไหวของเธอช่างรวดเร็วและงดงามราวกับเทพธิดาที่เต้นรำอยู่บนพื้น
ผมสีดำเงางามของเธอนั้นโบกสะบัดทุกครั้งที่เคลื่อนไหว.. ทุกการเคลื่อนไหวของเธอนั้นช่างงดงามหาใดเปรียบแม้แต่สเวนที่เห็นภาพนี้ยังอ้าปากค้าง
“นี่มัน….”
เขารู้สึกสับสนและกังวลเล็กน้อยเพราะเขาเดิมพันของไปเยอะนะ.. แต่เลทิเซียก็ยังวาดมือด้วยความประณีตและว่องไว..
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์นั้นเอง ดวงตาที่ปิดสนิทของเวโรเน่ก็พลันเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับพูดขึ้น..
“เสร็จแล้ว…”
ถึงเธอจะไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ก็เถอะ แต่มันราวกับว่าเธอได้วาดมือตามเสียงเพรียกร้องของโลกใบนี้ ของความรู้สึกจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนต่างพากันหันมามองทันที.. บัดนั้นราวกับทุกผู้ทุกคนถูกมนต์ต้องสะกดลงบนผลงานของเวโรเน่..
มันไม่ได้งดงามประณีตแต่อย่างใด กลับกันยังมีบางส่วนที่ดูไม่เหมือนเค้าโครงของมนุษย์เลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่าประติมากรรมชิ้นนี้เป็นคนสามคนที่ยืนอยู่.. คนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่มีหน้าเป็นเหลี่ยมๆ ไม่ดูเป็นมนุษย์
อีกคนเป็นผู้ชายหน้าตาไม่ต่างกัน.. ทั้งสองคนกอดกกันเสมือนสามีและภรรยาและด้านล่างก็มีเด็กคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคนนี้..
งานประติมากรรมชิ้นนี้นั้นไม่ได้มีความสวยงามทางกายภาพใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่าทำให้เป็นรูปร่างได้ขนาดนี้สำหรับมือใหม่นับว่ามีพรสวรรค์มากแล้วด้วยซ้ำ
แต่ทว่า..ที่มันสะกดสายตาของผู้คนทั้งหมดกลับหาใช่ความงดงามภายนอก.. แต่ในงานแกะสลักชิ้นนี้นั้น
แม้จะไม่มีเค้าโครงความเป็นมนุษย์อยู่เลยก็ตาม แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นราวกับเป็นครอบครัวอันแสนสุข..
บางที.. บางทีสิ่งที่เด็กคนนี้ต้องการมากที่สุดกลับไม่ใช่เงินตราหรือเพื่อนฝูง.. แต่เป็นครอบครัวที่…บางทีในตอนนี้คงจะไม่สามารถมีมันได้แล้ว..
ผลงานศิลปะแห่งจิตวิญญาณ…