การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 393

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 393 – เป็นมิตรหรือศัตรู

“เอาล่ะ เมื่อเจ้าได้รับคำตอบแล้วก็ถึงทีของข้าที่จะถาม”

ไอรีนกล่าวแบบนั้นออกมาพร้อมกับมองไปที่เลทิเซีย เลทิเซียเองก็ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดว่า

“ถามมาเลย ฉันจะตอบเท่าที่ฉันตอบได้”

ถึงจะพูดแบบนั้นเอาเข้าจริงหากไม่นับเทพผู้สร้างและมารดาแห่งสรรพสิ่งที่หลุดโลกไปแล้ว เลทิเซียอาจจะเป็นคนที่เข้าใจกฎของโลกนี้มากกว่าใคร

เพราะเธอกำลังหาวิธีแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วอยู่ หากเธอไม่เข้าใจมันก็คงไม่มีปัญญาเปลี่ยนอะไรได้

อย่างไรก็ตามเลทิเซียก็ไม่ได้คิดจะตอบคำถามที่ตัวเองไม่ต้องการเหมือนกัน เพราะแต่แรกเดิมทีแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ได้บอกความจริงมาทั้งหมดเหมือนกัน

ไอรีนเองก็นั่งคิดคำถามอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเรื่องของคนตรงหน้ามันเหมือนเต็มไปด้วยม่านหมอก

ไม่สามารถสืบหาได้ เธอรู้แค่จากเวโรเน่ว่าอีกฝ่ายกำลังตามหาคนสำคัญหรืออะไรสักอย่างอยู่ก็เถอะ

แต่ก็ยังมีคำถามอีกว่าทำไมต้องไปอยู่แดนมนุษย์ ถ้าหากอีกฝ่ายตามหาคนสำคัญเพราะยังไงซะอีกฝ่ายก็เป็นปีศาจนะ

หรือมีคนสำคัญเป็นมนุษย์กัน?

ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้นอีกฝ่ายเหมือนจะเป็นจอมมารด้วยน่ะสิ แต่ว่าไอรีนไม่รู้จักเลยนะว่าอีกฝ่ายเป็นจอมมารคนไหนทั้งสิบสองคน

การดำรงอยู่ของอีกฝ่ายคือมีแต่คำถามเท่านั้น.. แต่ว่า.. ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่เธอยังมีคำถามที่สำคัญกว่านั้น.

“ดูเหมือน.. เจ้าจะเป็นจอมมารสินะ? เจ้าเป็นมิตรหรือศัตรูของพวกเราเผ่ามนุษย์?”

“ท่านพี่พูดอะไรเนี่ย เลทิเซียจะเป็นจอมมารได้ยังไง?”

“เวโรเน่เจ้าเงียบก่อน!”

“แต่ว่าข้าก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเลทิเซียเป็นคนสอนเวทมนตร์ให้ข้า ไม่มีทางที่เธอจะเป็นปีศาจหรอก แถมยังเป็นจอมมารเนี่ยยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย? ท่านพี่ลืมไปแล้วเหรอว่าเผ่าปีศาจไม่สามารถใช้เวทมนตร์เผ่ามนุษย์ได้”

“ข้ารู้”

ไอรีนตอบกลับ.. อันที่จริงที่เธอพูดคำว่า ‘เป็นจอมมาร’ เธอรู้อยู่แล้วว่าเวโรเน่ต้องแย้งขึ้นมาอย่างแน่นอน

ใช่ส่วนหนึ่งเพื่อจะยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นจอมมารจริงหรือเปล่า เพราะเมื่อก่อนหน้านี้เธอก็สัมผัสได้ว่าเลทิเซียใช้เวทมนตร์แทรกแซงของเผ่ามนุษย์

ดังนั้นคำพูดของเธอเหมือนจะมีคำถามว่า ‘เป็นมิตรหรือศัตรู’ อยู่ก็จริงแต่พอมีเวโรเน่อยู่ด้วย มันจึงกลายเป็นมีสองคำถามโดยปริยายว่า

สรุปเป็นจอมมารจริงหรือเปล่า? ถ้าเป็นจริงแล้วเป็นมิตรหรือศัตรู? นี่คือสิ่งที่ไอรีนต้องการและคาดเดาเอาไว้

อย่างไรซะอีกฝ่ายที่เห็นการแย้งกันอีกฝ่ายต้องตอบแน่ๆ ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย

ยิ่งปืนนัดเดียวได้นกสองตัว อันที่จริงไอรีนก็ไม่ชอบวิธีการเหมือนมารดาตัวเองที่ใช้ความเข้าใจต่อเวโรเน่ในการเอาเปรียบอีกฝ่ายเท่าไหร่

แต่ต้องเข้าใจว่าพวกเธออยู่ในสถานการณ์ที่หนักหนาอย่างมาก หากพลาดแค่ก้าวเดียวอนาคตจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ดังนั้นทุกอย่างต้องรอบคอบ.. แถมตัวตนของเลทิเซียมีปริศนาเยอะจนเกินไป หาดกไม่รีบไต่ให้ไปอยู่ระดับเดียวกัน อาจจะทำให้สถานการณ์ไม่เป็นตามที่หวัง

อย่าว่าแต่เป็นมิตรเลย หากตนถือไพ่ด้อยกว่าอีกฝ่าย ก็สามารถโดนเอารัดเอาเปรียบได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าเลทิเซียเองก็มองออก เธอไม่ได้ว่าอะไรเช่นกัน ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการเลทิเซียก็ไม่ปฏิเสธที่จะบอก..

เพราะคำถามต่อไปของเลทิเซียเองก็ค่อนข้างละเอียดอ่อน ซึ่งอีกฝ่ายน่าจะเดาคำถามต่อไปของเลทิเซียได้ จึงพยายามจะถามว่าเลทิเซียเป็นมิตรหรือศัตรูเอาไว้ก่อน

“อย่างแรก… ใช่ ฉันคือปีศาจ ส่วนเป็นจอมมารหรือเปล่านั้นก็แล้วแต่พวกเธอจะตัดสินใจ เผื่อเธออาจจะไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ทุกคนแข็งทื่อต่อให้ไม่ใช่จอมมารก็ทำได้ หากคนคนนั้นแข็งแกร่งมากพอละก็นะ”

เลทิเซียไม่ได้โอ้อวดตนเองเธอแค่พูดตามความเป็นจริงเท่านั้น แต่พอได้ยินคำตอบที่เหมือนจะปฏิเสธและไม่ปฏิเสธในเวลาเดียวกันของเลทิเซีย

ไอรีนก็ถึงกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย..

“แบบนั้นก็หมายความว่าเจ้าเก่งระดับจอมมารอยู่ดีไม่ใช่หรือไง?”

ไอรีนย่นอุบอิบในใจ แต่เธอก็ว่าไม่ได้เพราะเธอเล่นแง่กับอีกฝ่ายก่อนเองนี่น่า อย่างไรก็ตามก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า

อีกฝ่ายเป็นจอมมาร งั้นคำถามต่อมาทำไมเลทิเซียถึงสามารถใช้เวทมนตร์แทรกแซงได้ล่ะ.. จากความเข้าใจของไอรีนมันไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาดนี่น่า

“เอ๊ะ แล้วเจ้าใช้เวทมนตร์มนุษย์ได้ไงน่ะ?”

คนที่ถามไม่ใช่ไอรีนแต่เป็นเวโรเน่ที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ เลทิเซียครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก

“นั่นถือเป็นความลับสุดยอดของฉัน หากถูกรู้ก็คงแย่สิ”

เลทิเซียตอบออกมาแบบนั้นก็จริง แต่ไอรีนมองออกทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการจะตอบ แต่เธอก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องรู้เช่นกัน

เพราะหากอยากรู้มากไปมันจะกลายเป็นการเซ้าซี้แทน ขืนทำแบบนั้นโอกาสที่อุตส่าห์ได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนกันแบบนี้จะเสียเปล่า

“ส่วนเป็นมิตรหรือศัตรูนั้น… ก็แล้วแต่พวกเธอจะตัดสินใจเหมือนกัน”

“แต่ว่า…”

เลทิเซียยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วก่อนที่จะพูดขึ้นต่อว่า

“หนึ่ง.. ฉันไม่ได้สนใจเรื่องสงครามระหว่างมนุษย์หรือปีศาจอะไรทั้งสิ้น สำหรับฉันสงครามมันก็แค่การเข่นฆ่าที่ไร้ประโยชน์ของผู้มีอำนาจ พวกมันเหล่านั้นต้องการจะแสดงศักยภาพของตัวเองว่าตัวเองเหนือกว่า ตัวเองเก่งกว่า และท้ายที่สุดก็จะมีเหยื่อแบบเด็กคนนั้น นั่นแหละสงครามในมุมมองของฉัน”

เลทิเซียไม่จำเป็นต้องบอกว่าเป็นมิตรหรือศัตรู เธอให้อีกฝ่ายคิดเองจะดีกว่าเพราะยังไงซะเธอในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือคนคนนั้นที่เลทิเซียตามหาหรือเปล่า

ดังนั้นการจะสร้างมิตรที่ดีก็จำต้องให้อีกฝ่ายเห็นมุมมองของตัวเธอเองก่อน ซึ่งนับว่าเป็นวิธีการตอบคำถามว่าเป็นมิตรหรือศัตรูได้ดีที่สุด

“สอง.. อย่างที่บอกไปข้อแรกฉันไม่สนใจก็หมายความว่า ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกมันเท่าไหร่ฉันปรากฏตัวที่นี่ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนสำคัญของฉันเท่านั้น”

“สุดท้าย.. และเพื่อการนั้นฉันต้องหา ‘คนคนหนึ่ง’ เพื่อที่จะเป็นตัวแปรบางอย่างที่ฉันไม่ขอพูดรายละเอียดเยอะ แต่เอาเป็นว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เปลี่ยนทุกอย่างในยุคนี้”

เลทิเซียกล่าวออกมาแบบนั้น เธอเองก็ไม่รู้จุดประสงค์ของไอรีนเหมือนกัน ดังนั้นเลทิเซียจึงไม่ตอบว่าเป็นมิตรของเผ่ามนุษย์หรือไม่

แน่นอนว่าไม่ใช่เผ่าอื่นเหมือนกัน แต่นี่ไม่ได้บอกว่าเธอเป็นกลางเช่นกัน ไม่รู้สิจากคำพูดของอีกฝ่าย

ไอรีนรู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนกับคนที่อยู่ในทวีปแห่งนี้เลย หรือว่าเลทิเซียจะมาจากนอกทวีปกันแน่?

เรื่องนี้เธอไม่อาจจะมั่นใจได้เหมือนกัน.. แต่อย่างน้อยพอได้ฟังคำตอบของเลทิเซียไอรีนก็มั่นใจว่า ..

อาจจะสามารถสร้างพันธมิตรกับอีกฝ่ายได้ เพราะหากอีกฝ่ายไม่ได้เข้าข้างใครและหากดึงอีกฝ่ายที่อาจจะมีพลังพอกับจอมมารมาอยู่ด้วยได้

ก็หมายความว่าทุกอย่างจะดีขึ้นมากเลยทีเดียว ถึงจะไม่รู้ว่าคนคนหนึ่งที่เธอหมายถึงคืออะไร และไม่เข้าใจด้วยว่า

ทำไมการที่คนคนนั้นจะเป็นตัวแปรยุคสมัยนี้ แถมหากเอาข้อสองกับข้อสามมารวมกันจะได้คำตอบอย่างหนึ่งว่า

บางทีเลทิเซียอาจจะมาตามหาคนคนนั้นที่เมืองนี้ และสาเหตุที่ตามหาเพราะต้องการช่วยเหลือคนสำคัญอย่างแน่นอน

ถ้ามองในมุมเข้าข้างตัวเองหน่อย เลทิเซียเองก็อาจจะอยากหยุดสงคราม เพราะการหยุดสงครามอาจจะช่วยให้คนสำคัญเธอไม่เป็นอะไร?

ถ้าเป็นแบบนั้น.. หรือว่าคนคนนั้นก็คือพวกไอรีน?

ไม่สิ.. ถ้าพวกเธอเป็นคนคนนั้นที่เลทิเซียตามหาจริงๆ แล้วทำไมเลทิเซียถึงไม่บอกจุดประสงค์ล่ะ

หรือว่ามีคนอื่นนอกจากพวกไอรีนที่ต้องการหยุดสงครามอยู่อีกอย่างงั้นเหรอ?

แต่แน่นอนว่านี่มันคือการมองเข้าข้างตัวเอง เพราะต่อให้บังเอิญขนาดไหนมันก็คงไม่มีอะไรบังเอิญแบบเข้าข้างพวกเธอขนาดนั้นหรอกมั้ง

แต่น่าเสียดายที่โชคชะตานั้นมักยากจะคาดเดา

สุดท้ายแล้วคำตอบจะใช่หรือไม่นั้น…

จะอยู่ในคำถามถัดไปของเลทิเซีย

“พวกเธอ… มาที่นี่เพื่อเจรจายุติสงครามกับจอมมารใช่ไหม?”

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท