เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้กล่าวออกมาด้วยความงงงวย
” มันไม่มีทางเหลือเเล้วเหรอ ”
เเต่เฟยหลงกลับยิ้มขึ้นมาเเล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการหยอกล้อ
” เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะกล่าวออกมาเเบบนั้น ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองเฟยหลงด้วยความสงสัยก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้น
” เเล้วท่านบอกว่าไม่มีทางเเล้วทำไม ”
เฟยหลงก็ได้ทำท่าทางงงงวยก่อนที่จะกล่าวกับเสี่ยวไป๋ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
” เเล้วทำไมเจ้าไม่ฟังข้าให้จวก่อนละ ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินเช่นั้นก็เงียบปากลงเเล้วเเอบกล่าวในใจคนเดียว
” ข้าลืมไปได้ไงว่าพี่ใหญ่เป็นคนอย่างนี้ ”
เมื่อเฟยหลงลองนึกดูเเล้วก็พบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเฟยหลงมักจะชอบตอบคำถามเเบบคลุมเครือหรือไม่ก็จงใจกล่าวออกมาช้า
เพื่อที่ให้พวกเขากระโดดลงไปในกับดักที่พี่ใหญ่ได้เตรียมไว้
ทางด้านเฟยหลงที่เห็นเสี่ยวไป๋ไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีกจึงเริ่มที่จะอธิบายถึงเเผนการขั้นต่อไปของตน
” เอาละในเมื่อเป็นอย่นี้ข้าจะอธิบายเเผนการขั้นต่อไปเองต้องทำยังไง ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เฟยหลงก็ได้เปลี่ยนท่าทีจากที่ดูเกียจคร้านเป็นจริงจังขึ้นมา
” ก่อนที่ผนึกจะคลายออกอย่างสมบูรณ์นั้นต้องใช้เวลาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ”
” ระหว่างนั้นเเล้วจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เป็นจุดสนใจอย่างเเน่นอนทางพวกเราก็ทำได้เพียงอย่างเดียว……………….. ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้กล่าวคาดคั้นคำตอบจากเฟยหลง
” วิธีนั้นคืออะไรหรือพี่ใหญ่ ”
เฟยหลงไม่ตอบเเต่ได้ค้นหาบางอย่างในกระเป๋ามิติก่อนที่จะนำฟืนออกมากองหนึ่งเเละเนื้อสัตว์อสูรที่ล่ามาระหว่างทางกลับมายังเมืองชายเเดน
เเล้วตอนนั้นเองที่เฟยหลงได้เริ่มเเล่เนื้อเเล้วทำความสะอาดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะจุดไฟโดยใช้เพลิงสีครามของตนเเละเชื้อเพลิงเป็นไม้ฟืนกองนั้น
ก่อนที่จะนั่งลงเเล้วย่างเนื้อเเล้วกล่าวออกมาว่า
” ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาสักหน่อย ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้เห็นการกระทำทั้งหมดของเฟยหลงอยู่ในสายตาขงตนจึงกล่าวออกมาด้วยความสงสัยสะท้อนให้เห็นผ่านดวงตาของมัน
” พี่ใหญ่ท่านกำลังทำอะไรอยู่เหรอ ”
เฟยหลงได้กล่าวตอบเสี่ยวไป๋กลับไปสั้นๆว่า
” ย่างเนื้อ ”
เสี่ยวไป๋มี่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้กล่าวถามต่อไปด้วยความสงสัย
” เเล้วพี่ใหญ่ท่านทำเเบบนี้เเล้วนั้นมันได้อะไรอย่างนั้นเหรอ ”
เฟยหลงที่กำลังมองเนื้อสัตว์อสูรที่กำลังถูกย่างอยู่นั้นก็ได้เงยหน้าตนก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับเป็นเรื่องที่สมควรจะกระทำในตอนนีิที่สุด
” ก็ข้าหิวอยู่ไง ”
เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินดังนั้นก็ได้มองเฟยหลงด้วยสายตาที่เบิกกว้างก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
” พี่ใหญ่………สรุปเเล้ว……ที่ท่านทำอย่างนี้…………เพราะท่านหิว ”
เฟยหลงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้กล่างเชิญชวนซูซ่านเเละเจียงหงที่กำลังมองเฟยหลงด้วยสายตาที่ไม่ต่างกับเสี่ยวไป๋
เเละหยิบเนื้ออย่างที่กำลังสุกมาถือไว้ในมือของตนก่อนที่ตะกล่าวออกมาว่า
” พวกเจ้าจะยืนอยู่ทำไมกันละเนื้อย่างที่ข้าทำมันอร่อยอย่างเเน่นอนพวกเจ้าก็รู้ดีถึงฝีมือในการทำอาหารของข้า ”
ซูซ่านเเละเจียงหงได้มองหน้ากันเเละตอนนั้นเองที่กลิ่นเนื้อสัตว์อสูรย่างได้ลอยมาถึงที่ทั้งสองยืนอยู่เเล้วได้มีเสียงท้องร้องดังขึ้น
” โคร๊กกกกกกกกกกก ”
ทั้งซูซ่านเเละเจียงหงหน้าเเดงอย่างรวดเร็วก่อทน่จะนึกขึ้นมาได้ว่าพวกนางนั้นยังไม่ได้มานอะไรเลยตั้งเเต่เริ่มสงครามมาก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย
นั้นจึงทำให้พวกนางเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆกับเฟยหลงอย่างเชื่องช้าส่วนเสี่ยวไป๋ที่เห็นดังนั้นก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เฟยหลงที่เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
” ถ้าเจ้าหิวเเล้วคิดจะไปสู้ศัตรูทั้งอย่างนี้เเล้วเจ้าคิดว่าพวกเจ้ามีพลังที่จะสู้อย่างนั้นเหรอ ”
” พวกเจ้ายังไม่ได้บรรลุขอบเขตที่ให้พลังปราณหล่อเลี้ยงร่างกายได้อย่างยาวนานจนไม่ต้องทานอาหารก็ได้ซะหน่อย ”
เเล้วเฟยหลงก็ได้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
” ส่วนเรื่องผนึกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก “