บัลลังก์สีทองหม่นตอนนี้ได้เปร่งประกายราวกับเเสงสว่างสีทองสาดส่องลงออกมาจากตัวบัลลังก์
บัลลังก์สีทองค่อยลอยขึ้นเเล้วหยุดอยู่กลางอากาศโดยห่างจากพื้นไม่มากเเล้วเเผ่เเรงกดดันมหาศาลออกมากดทับพวกเฟยหลงอย่างรุนเเรง
” อึก ”
สีหน้าของหลินหยางเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสได้ถึงเเรงกดดันทางพลังวิญญาณที่เเผ่ออกมาจากบัลลังก์สีทองหม่น
ที่ราวกับคลื่นน้ำที่ซัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างพวกซูซ่านที่โดนเเรงกดดันนั้นเริ่มถอยออกมาห่างไกลมากขึ้นเพราะว่าพวกนางทั้งสองคนเเม้จะไม่ได้โดดเด่นในเรื่องพลังวิญญาณอะไรมากเเละขอบเขตพลังของพวกนางยังอยู่เเค่เขตหลอมรวมขั้นต่ำ
ได้เพราะตัวพวกนางทั้งสองคนนั้นได้รับทรัพยากรที่เหใาะสมในการทดสอบจึงนำมาทะลวงจากระดับขอบเขตวิญญาณขั้นสูงสุดได้
ซึ่งคนที่พอจะอดทดกับเเรงกดดันนั้นได้มีหลีเหวิน
เพราะว่าหลีเหวินนั้นก็คือนักปรุงยาในการปรุงยาต้องใข้พลังวิญญาณทำให้ระดับพลังวิญญาณของหวัเหวินมากพอๆกับหลินหยาง
ทางด้านโครงกระดูกนั้นไม่ได้ถอยกลับมาอย่างพวกเขาเเต่ยืนอยู่ที่เดิมก่อนหน้านี้ราวกับขุนเขาที่ตั้งตระหง่านไม่อาจจะมีอะไรทำอันตรายได้
เเสงจากบัลลังก์สีทองที่เปร่งประกายเริ่มที่จะสงบลงเเล้วไม่ปลดปล่อยเเรงกดดันอย่างบ้าคลั้งเหมือนตอนเเรก
ซึ่งตอนนั้นเองที่ร่างเงาถือกระบี่ได้กล่าาวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
” ตอนนี้ข้าพอที่จะควบคุมบัลลังก์สีทองได้เเล้วเเต่เราต้องไปต่อไม่มีเวลาพัก ”
” เพราะเมื่อผนึกที่บัลลังก์สีทองได้ถูกทำลายเเล้วตอนนี้เปลวเพลิงที่ถูกผนึกอยู่ก็ได้ปะทุขึ้นในอีกไม่นานนี้……….. ”
เมื่อร่างเงาถือกระบี่ไม่ทันได้กล่าวจบก็ได้เกิดเเรงสั้นสะเทือนขนาดใหญ่เกิดขึ้นจนพวกเฟยหลงเเละคนทั้งหมดที่เข้ามาในโบราณสถานรู้สึกได้
ทางด้านคนที่ติดอยู่ในค่ายกลลวงตานั้นก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ
” มันเกิดบ้าอะไรขึ้นอีกละ……… ต้องมาวิ่งหนีไอพวกผีบ้าที่ตามมาไม่หยุดหย่อน ”
” วันนี้ข้าไม่มีดวงเลยหรือไงที่ต้องมาเจออะไรเเปลกๆแบบนี้ ”
” ข้าในวันนี้พกมาเเต่ความโชคร้ายมันช่างหน้าเศร้าเหลือเกิน”
ระหว่างที่พวกเขากำลังบ่นไปเรื่อยทางด้านร่างเงากระบี่ได้สัมผัวถึงเปลวเพลิงที่กำลังอาละวาดเพื่อหามางขึ้นมาบนพื้น
” ตู้ม ตู้ม ตู้ม ”
เสียงระเบิดดังขึ้นกระจายเป็นวงกว้างพร้อมกับเเรงสั่นสะเทือนอันมหาศาลที่กำลังทะลักออกมาเเล้วอากาศเริ่มที่จะร้อนขึ้นมาราวกับพวกเขากำลังอยู่กลางกองเพลิง
เจียงหงเเละซูซ่านที่รู้สึกได้นั้นก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย
” น้องสาวซูเจ้ารู้สึกว่าอากาศมันร้อนขึ้นกว่าเดิมหรือป่าว ”
” พี่สาวเจียงก็รู้สึกงั้นเหรอ ”
อุณหภูมิตอนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมันเริ่มที่จะทำให้พวกเขาเริ่มใช้พลังปราณสร้างเป็นโล้ปกคลุมตัวของพวกเขา
ทางด้านเจียงหงเเละซูซ่านก็เริ่มใช้พลังปราณเพื่อปกป้องตัวเองจากความร้อนนั้นเเล้วเหมือนกัน
เเล้วตอนนั้นเองที่เสียงคำรามขนาดใหญ่ได้ดังขึ้นมาจากพื้นดิน
” โฮกกกกกกกกกกกก ”
เเสงสีส้มได้ปะทุขึ้นกลางจากพื้นดินเเล้วตอนนั้นเองที่มีบางอย่างโผล่ออกมาด้วยความเร็วสูงก่อตัวเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง
ทางด้านเฟยหลงที่เห็นดังนั้นจึงหรี่ตาลงก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมกับร่างเงากระบี่
” ดูเหมือนว่าเปลวเพลิงที่ท่านผนึกเอาไว้นั้นจะดูดซับพลังจากค่ายกลที่ท่านเเบ่งไปให้มันจนก่อเกิดจิตวิญญาณขึ้นมาเเล้วเเถมมัยังอารมณ์ไม่ดีด้วย ”
” อาจจะเป็นเพราะถูกขังมานานจนออกไปไหนไม่ได้เเล้วตอนนี้พวกเราจะเอายังไงกันดี ”
ร่างเงากระบี่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเพราะพวกเจาไม่คิดว่าเปลวเพลิงในตอนนั้นจะเปลี่ยนเเปลงตัวเองกลายเป็นเปลวเพลิงที่มีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง