ไป๋ยี่เซวียนคุยกับพวกเขาต่ออีกสองสามคำ ถึงถามว่า “วันนี้ทั้งสองท่านมาด้วยเรื่องอันใดรึ?”
โจวกุ้ยหลานก็รู้ว่าเขายุ่งมาก เวลาเป็นเงินเป็นทอง ก็ไม่คิดจะยื้อเขาไว้อีก เลยบอกเป้าหมายในการมาของตนเสียเลย
“เถ้าแก่ไป๋ ข้าต้องการไม่มาก ต้องการไส้กรอกสามสิบจิน เบคอนห้าสิบจิน” โจวกุ้ยหลานพูดสิ่งที่ตนคิดมาระหว่างทางแล้ว
ของพวกนี้สำหรับพวกเขาคนธรรมดาไม่น้อยเลย แต่สำหรับโรงเตี๊ยมใหญ่อย่างโรงเตี๊ยมเทียนเซียงนี้แล้ว อาจจะว่าแค่สามวันก็หมดไปเท่านี้แหละ
“ท่านต้องการมากเพียงนี้? ใกล้จะถึงหน้าฤดูที่จะทำไส้กรอกเบคอนเองได้แล้วนี่นา” ไป๋ยี่เซวียนฟังคำพูดโจวกุ้ยหลานแล้ว แอบตกใจ
ของพวกนี้ราคามิถูกนัก หากเอามากินทุกวัน พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกกินไปจนข้ามปีก็ยังกินมิหมดเลยนี่นา
“พวกข้าคิดอยากลองทำขนมใหม่ จะเอาแต่งอมืองอเท้ากินเงินเก่าก็มิได้กระมัง อีกอย่าง หากผิดพลาดไป ก็ยังทำกินเองได้ และยังมอบให้เครือญาติได้ด้วย” โจวกุ้ยหลานก็ไม่คิดปิดบังไป๋ยี่เซวียน นางยังคิดจะคุยตกลงร่วมมือกับไป๋ยี่เซวียนเลยนี่นา
“ขนมทำจากไส้กรอกเบคอน? ขนมอะไร? จะบอกข้าสักหน่อยได้หรือไม่?” ไป๋ยี่เซวียนรู้สึกฉงน จนอดถามไม่ได้
เขาเคยกินขนมมาไม่น้อย ล้วนเป็นของหวานทั้งนั้น มีขนมที่ทำจากไส้กรอกเบคอนที่ไหนกัน?
“ตอนนี้ยังมิได้ทำออกมา และไม่อาจบอกได้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ หากถึงเวลาแล้วทำสำเร็จ ต้องเอามาให้เถ้าแก่ไป๋ลองชิมแน่นอน” โจวกุ้ยหลานยิ้มบอก
“หากท่านทำออกมาได้ จะเอามาให้ข้าลองชิมก่อนได้หรือไม่? หากจะร่วมมือ พวกท่านสามารถส่งให้ข้าเป็นระยะเวลานาน หรือไม่ข้าก็ซื้อสูตร?”
ไป๋ยี่เซวียนเลียบเคียงถาม
หลังจากเครื่องปรุงครั้งนี้แล้ว เขาเชื่อมั่นในตัวโจวกุ้ยหลานมากขึ้นไม่น้อย
มักรู้สึกว่าเขามองสตรีผู้นี้ไม่ออก แต่มีอย่างหนึ่งที่เขาเข้าใจ ขอเพียงร่วมมือกับนาง โรงเตี๊ยมนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในตำบลแน่ มิแน่ว่าต่อไปอาจจะได้ไปเปิดในเขตก็เป็นได้
สำหรับสวีฉางหลิน….
หางตาเขาเหลือบมองไป แต่ไม่กล้าคิดเป็นอริด้วยนัก คนผู้นี้ต่อให้ยืนอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็ยังรู้สึกว่าคนผู้นี้ราวกับอยู่ห่างจากเขายิ่งนัก เขาเคยเห็นผู้เก่งกาจในเขตมาไม่น้อย ราศีบนตัวนั้นยังมิอาจเทียบเคียงกับนายพรานบ้านนอกคนนี้ไม่ได้เลย
“ได้สิ เช่นนั้นพวกเราก็ประหยัดเวลานัก” โจวกุ้ยหลานรับคำยิ้มแย้ม
หากมันเป็นการค้าที่สามารถทำได้นาน นางเองก็ดีใจ แบบนี้ที่บ้านจะได้มีรายได้ตลอด
ไป๋ยี่เซวียนเองก็ไม่รั้งรอต่อ เขาหาคนงานมาคนหนึ่งให้ไปนำไส้กรอกและเบคอนมา
“พี่สะใภ้ พวกเราเองก็ร่วมมือกันมานานแล้ว ข้ามิเก็บเจ้าราคาแพงดอก เบคอนให้เจ้าหนึ่งจินสิบห้าอีแปะ สำหรับไส้กรอก ยี่สิบอีแปะแล้วกัน” ไป๋ยี่เซวียนบอก หางตาเหลือบมองไปทางโจวกุ้ยหลาน
เนื้อสดก็ต้องสิบสองสิบสามอีแปะ ยามแพงก็ต้องสิบห้าอีแปะ เบคอนทำขึ้นมาต้องลงแรงนัก สิบห้าอีแปะนี่คือราคาต้นทุนแล้ว ส่วน ไส้กรอกก็ถือว่าถูกมากแล้ว
“ทั้งหมดก็หนึ่งตำลึงและ350อีแปะ” โจวกุ้ยหลานคิดเลขได้รวดเร็ว หันไปมองสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินยกมือควักถุงเงินและหยิบตำลึงเงินออกมาหนึ่งก้อน และยื่นให้ไป๋ยี่เซวียน
“รบกวนเถ้าแก่ไป๋ทอนเป็นตำลึงเงินชิ้นเล็กๆและอีแปะให้ข้าด้วย” สวีฉางหลินบอก
พอเห็นตำลึงเงินก้อนหนึ่งที่สีเงินเป็นประกายนั้น ต่อให้เป็นไป๋ยี่เซวียนที่ร่ำรวยยังอดตาพร่าไม่ได้
“นี่แค่หนึ่งตำลึงกว่า พวกท่านกลับเอาตำลึงเงินก้อนหนึ่งที่มีค่าหนึ่งร้อยตำลึงมาให้ข้าเลยรึ?” ไป๋ยี่เซวียนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“งั้นเงินนี้ต้องแบ่งออกมาใช้นี่นา เถ้าแก่ไป๋โรงเตี๊ยมของท่านน่ะมีเงินสดไม่น้อย เอามาแลกกับตำลึงเงินก้อนหนึ่งเหมาะสมที่สุดแล้ว” โจวกุ้ยหลานยิ้มร่าบอก
ไป๋ยี่เซวียนไร้หนทางได้แต่รับมา และบอกกับพวกเขาว่า “งั้นพวกท่านรอข้าที่นี่” หลังจากสั่งการเสร็จแล้ว ก็นำตำลึงเงินก้อนหนึ่งนั่นรีบร้อนจากไป
น้องรับใช้คนนี้ไม่เลวเลย หยิบตะกร้ามาใส่ของพวกนี้ พอมองดูเบคอนไส้กรอกเหล่านี้แล้ว โจวกุ้ยหลานดีใจมาก ของพวกนี้สามารถทำของอร่อยได้ไม่น้อยเลย
ผ่านไปสักครู่ ไป๋ยี่เซวียนก็กลับมา ในมือถือถุงเงินถุงใหญ่มาด้วย โจวกุ้ยหลานมองด้วยสายตาเป็นประกาย
ไป๋ยี่เซวียนยื่นถุงเงินให้กับสวีฉางหลิน พลางยิ้มบอก “นี่คือเงินทอน พวกท่านลองนับดูเถิด”
“ไม่ต้องนับดอก คนอย่างเถ้าแก่ไป๋มีหรือจะให้พวกเราน้อยไป?” โจวกุ้ยหลานโบกมือ พลางยิ้มบอก
ไป๋ยี่เซวียนรู้สึกสบายใจนัก และหันมองโจวกุ้ยหลานด้วยสายตาชื่นชม
สวีฉางหลินเห็นสายตาเขาแล้ว รู้สึกไม่สบอารมณ์ เลยยกเบคอนไส้กรอกเหล่านั้นด้วยมือเดียว พลางบอกโจวกุ้ยหลาน “ไปกันเถอะ”
“ได้ เช่นนั้นคราวหน้าพบกันใหม่นะ เถ้าแก่ไป๋” โจวกุ้ยหลานรับคำ และบอกลาไป๋ยี่เซวียน
“แล้วสูตรเครื่องปรุงก่อนหน้านี้…” ไป๋ยี่เซวียนรีบร้อนเอ่ยปาก พูดไปได้ครึ่งเดียวก็ชะงัก แต่ความหมายชัดเจนนัก
“เถ้าแก่ไป๋ ในเมื่อขายสูตรขายให้ท่านแล้ว ข้าก็ไม่เอามาให้คนอื่นอีกดอก นอกจากทำกินเองที่บ้านแล้ว ก็มิได้บอกผู้อื่นอีกเลย” โจวกุ้ยหลานเข้าใจความหมายของไป๋ยี่เซวียนดี เลยบอกออกมาเอง
ก่อนหน้านี้ในเมื่อไป๋ยี่เซวียนไม่ได้ให้นางเซ็นสัญญา แสดงว่าเขาเชื่อใจในตัวนางระดับหนึ่ง อย่างนั้นเมื่อนางรับเงินมา ก็ต้องทำให้เขามั่นใจ
“ขอบใจท่านมากนัก” ไป๋ยี่เซวียนกำหมัดคารวะโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาทำจากใจจริง ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน และตอนนั้นเขาก็ร้อนใจจนลืมถามเรื่องนี้ไป ไม่คิดว่าวันนี้นางจะพูดคำนี้ออกมาเอง เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องกลัวคนอื่นแล้ว
“เป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว แต่เถ้าแก่ไป๋ ข้าหวังว่าเรื่องนี้จะไม่แพร่ออกไปว่าเกี่ยวข้องกับพวกเรา พวกเราแค่อยากใช้ชีวิตธรรมดา” สวีฉางหลินพูดต่อ
โจวกุ้ยหลานมองสวีฉางหลินอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะพูดอย่างนี้ออกมาเอง
แต่มันก็เป็นสิ่งที่นางคิดอยู่แล้ว นางชอบชีวิตในตอนนี้มาก แค่อยากจะแอบหาเงินเพื่อให้กินดีอยู่ดีเท่านั้นก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น นางไม่อยากได้เลย
“ตกลง!”
ไป๋ยี่เซวียนรับคำหนักแน่น และส่งทั้งสองคนออกทางประตูหลัง
หลังจากออกมา ทั้งสองคนจูงมือเสี่ยวไน่เปากันคนละข้างเดินอยู่บนถนน ซื้อน้ำตาลปั้นให้เสี่ยวไน่เปา และซื้อพุทราเคลือบน้ำตาลด้วย
เสี่ยวไน่เปาพึ่งได้กินของกินพวกนี้เป็นครั้งแรก เขายิ้มแย้มไม่หุบเลยตลอดทาง
โจวกุ้ยหลานอดถอนหายใจไม่ได้ “ต่อไปต้องพาเขามาตำบลบ่อยๆหน่อยแล้ว”
“ยุ่งยากเกินไป” สวีฉางหลินบ่นออกมา
เขาก้มหน้ามองเสี่ยวไน่เปา ในยามที่มองใบหน้าเล็กนั้น สมองกลับผุดภาพใบหน้าชายอีกผู้หนึ่งออกมา เลยเบนสายตาไป
ต่อไปคงพาเสี่ยวเทียนออกมาบ่อยไม่ได้มากนัก
“ท่านแม่ ข้ายังอยากกินพุทราเคลือบน้ำตาลอีก” เสี่ยวไน่เปาถือพุทราเคลือบน้ำตาลในมือ พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
คราวนี้เขาไม่อยากพูดอะไรกับพ่อเขามากนัก ท่านพ่อไม่รักเขาแล้ว ท่านแม่ดีกว่า
โจวกุ้ยหลานมองพุทราเคลือบน้ำตาลที่กินไปแค่สองชิ้นในมือเขา ได้แต่ปฏิเสธว่า “ไม่ได้ เจ้ายังกินไม้นี้มิหมดเลย”