นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 321 แต่งตั้งไท่จื่อ 1
เมืองหลวงตกอยู่ในท่ามกลางแห่งความหวาดกลัวอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกแบบนี้กระทั่งยังได้แพร่หลายไปที่ราชสำนัก
ได้มีชีวิตที่สงบสุขเพียงสามปีเท่านั้น ตอนนี้จะถูกโจมตีบ้านเมืองอีกแล้วหรือ?
พอข่าวนี้ส่งมา ราคาเมล็ดข้าวพันธุ์ของเมืองหลวงก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในวันที่สาม พระราชวังก็มีข่าวส่งมา ฮ่องเต้จะแต่งตั้งบุตรชายของหวั่นกุ้ยเฟยเป็นไท่จื่อ และพิธีก็จัดอยู่ในอีกห้าวัน
พอข่าวดีนี้ส่งออกมา ทำให้พยับเมฆที่ปกคลุมอยู่กับเมืองหลวงจางหายไป
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจข่าวเหล่านี้แม้แต่นิดอยู่แล้ว สองวันนี้ นางพยายามดูแลร่างกายให้ดีขึ้น ส่วนไป๋ยี่เซวียนหาวิธีอยู่ข้างนอกตลอด อยากลองดูว่าจะสามารถพานางและเด็กสองคนไปพบสวีฉางหลินด้วยกันได้หรือเปล่า
แต่เสียดาย ทุกครั้งที่เขากลับมาล้วนส่ายหน้าต่อโจวกุ้ยหลาน
ร่างกายของโจวกุ้ยหลานดีขึ้นมาหน่อย ก็พาเด็กสองคนกลับโรงน้ำชาอีกครั้งหนึ่ง
เถ้าแก่เห็นนางมา ดีใจขึ้นมาทันที”โอ๊ยลูกค้า กว่าจะได้มาที!”
“ถ้าพวกเจ้าไม่มาอีก ธุรกิจของเถ้าแก่คงต้องล่มจมเลย!”ลูกค้าคนหนึ่งพูดล้อเล่นพวกเขา ส่วนลูกค้าคนอื่นก็หัวเราะกันอีกครั้งหนึ่ง
หลายคนล้วนมาเพื่อเด็กสองคนนี้ แต่หลายวันนี้เด็กสองคนล้วนไม่อยู่ในโรงน้ำชา คนเหล่านั้นนั่งสักพักก็ไป บางคนไม่มาด้วยซ้ำไป ทำให้เถ้าแก่โรงน้ำชาใจร้อนมาก
กำลังคิดจะไปหาดูว่ายังมีเด็กสองคนที่เล่นหมากรุกเป็นอีกไหม ก็เห็นโจวกุ้ยหลานพาเด็กสองคนมา เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไรล่ะ?
โจวกุ้ยหลานตอบกลับด้วยมารยาท เถ้าแก่คนนั้นก็เป็นคนที่รู้เรื่องรู้ราว รู้ว่านางไม่ค่อยมีอารมณ์ ก็เลยจัดที่นั่งริมหน้าต่างนั้นให้นางเหมือนเดิม
เด็กสองคนอยากอยู่กับแม่ตัวเอง เลยปฏิเสธคนที่มาเชิญให้พวกเขาไปเล่นหมากรุก คนเหล่านั้นต่างมองหน้าเข้าหากัน รู้สึกเสียความรู้สึกมาก
เถ้าแก่คนนั้นเห็นว่าบรรยากาศที่นี่ไม่ดี เลยรีบให้น้องเสิร์ฟน้ำชาให้โจวกุ้ยหลาน และถือขนมสองจานมาให้ด้วย พร้อมถูมือถามโจวกุ้ยหลานว่า”คุณฮูหยินขอรับ นี่เป็นอาหารใหม่ของโรงน้ำชาเราขอรับ จะลองชิมดูไหมขอรับ?”
โจวกุ้ยหลานฟื้นสติกลับมา เห็นว่าเถ้าแก่กำลังมองนางอย่างประจบสอพลอ นางก้มหน้ามองขนมต่อหน้า และดูเด็กสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างซื่อๆ ก็รู้ความหมายของเถ้าแก่เลย
“รุ่ยอาน รุ่ยหนิง พวกเจ้าไปเล่นเองก่อนเถอะ”
เด็กสองคนต่างส่ายหน้ากัน ยังคงนั่งอยู่อย่างซื่อๆ
“คนมากมายขนาดนี้อยากเล่นกับพวกเจ้าเลยนะ ไปเถอะ แม่ไม่เป็นไรหรอก”โจวกุ้ยหลานพยายามอยากจะยิ้มออกมา แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าดูเหมือนชาไปแล้ว นางก็เลยไม่บังคับตัวเอง
“ใช่ไง แม่ของพวกเจ้านั่งอยู่ที่นี่ ไม่เป็นไรหรอก!”เถ้าแก่รีบพูดต่อ
เด็กสองคนแอบมองหน้าเข้าหากัน และมองสีหน้าของแม่พวกเขาอีกทีหนึ่ง แล้วต่างส่ายหน้ากัน
ถึงแม้พวกเขายังเด็กอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมแม่ไม่ร่าเริงขนาดนี้ แต่แม่อารมณ์ไม่ดีพวกเขาก็มีหน้าที่อยู่กับแม่
โจวกุ้ยหลานยื่นมือไปจับผมของรุ่ยหนิงที่อยู่ข้างๆ และโน้มน้าวใจว่า”พวกเจ้าไปเล่นกับคนอื่นก่อนเถอะ แม่อยากนั่งอยู่คนเดียวสักครู่หนึ่ง อย่าดื้อนะ”
ในที่สุดเด็กสองคนก็ไม่กล้าทำให้แม่โมโห เลยลงมาจากเก้าอี้และเดินออกไปข้างนอกด้วยขาที่สั้น
เมื่อเห็นพวกเขาเดินมา คนที่อยู่โรงน้ำชาล้วนปรบมือกัน และให้เด็กสองคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ จะเล่นหมากรุกกับเด็กสองคน
เมื่อเห็นพวกเขาเดินไป โจวกุ้ยหลานก็ถอนหายใจออกมา
ตอนนี้อารมณ์นางไม่ค่อยดี จะให้เด็กสองคนอยู่ข้างๆไปเพื่อไรล่ะ?สองวันนี้เด็กสองคนนี้ล้วนไม่ค่อยได้พูด ไม่มีความร่าเริงของความเป็นเด็กอีกเลย นางเลยไม่อยากมีอะไรมาผูกมัดเด็กสองคน
นางย้ายสายตาไปนอกหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง เห็นประตูชาดแดงที่ปิดสนิทบานนั้น ขอบตาแดงขึ้นมา นางจึงรีบใช้มือปิดบริเวณใบหน้าเอาไว้
นางดูดจมูก เพื่ออยากจะระงับความอยากร้องไห้ลงไป แต่ก็เสียเปล่า ในที่สุดน้ำตาก็ไหลลงมา นางเลยใช้มือไปเช็ด
ในเมื่อเจอเขาไม่ได้ งั้นเขาอยู่ห่างไกลจากเขาหน่อย เขาคงรู้สึกได้หรอกเนอะ……
หลายวันต่อมาเหมือนกลับสู่ความสงบอีก ไม่มีใครรู้ว่าข้างในของจวนหู้กั๋วกงเป็นสถานการณ์อย่างไร
องค์หญิงอานผิงที่เดิมจะมาทุกวันนั้นก็ไม่ได้มาอีก ส่วนฝั่งนู้นนอกจากคนใช้ที่ออกมาซื้ออาหารแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าออกอีกเลย
โรงน้ำชามีคนซุบซิบอยู่ว่า แคว้นหลัวม่านก่อกวนประชาชนในชายแดนอยู่ตลอด สัตว์ปีกของประชาชนหลายคนล้วนถูกแย่งไป เมล็ดข้าวพันธุ์ก็ถูกแย่งไป ช่วงนี้โหดขึ้นเรื่อยๆ
มีคนโมโหมาก มีคนถอนหายใจ แต่ล้วนไม่มีวิธีอะไรเลย
“คนเหล่านั้นฉวยโอกาสที่นายพลสวีบาดเจ็บหนักมาสอบสวน หากฝั่งเรายังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก กลัวจะต้องทำสงครามอีกครั้งหนึ่ง!”
“เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง ทหารพวกนั้นถูกนายพลสวีโจมตีไปเกือบหมดแล้วไม่ใช่หรือ?พวกเขามีทหารเพิ่มมาจากไหนอีก?”
“ขอให้มีแต่ประชาชนก็มีทหารไม่ใช่หรือ?คนของแคว้นหลัวม่านร่างกายแข็งแรง คนธรรมดาอย่างเราเอาชนะไม่ได้หรอก ข้าว่าแคว้นเหลียงเราต้องมีเกณฑ์ทหารอีกแล้ว!”
“อย่าว่าแต่แคว้นหลัวม่านในทิศเหนือเลย ข้าได้ข่าวว่าแคว้นเย่ว์ในทิศตะวันตกก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว!”
“เฮ้ย แคว้นเหลียงของเรากว้างให้เช่นนี้ ไม่มีนายพลที่สามารถออกรบได้เลยหรือ?”
พอคนนั้นพูดเช่นนี้ออกมา คนอื่นก็รีบสะกิดให้เชาเงียบปาก
คนนั้นก็สังเกตได้ว่าตัวเองพูดผิด เลยเงียบปากไว้ คนอื่นก็ได้เปลี่ยนไปคุยเรื่องที่สวีฉางหลินถูกลอบสังหาร
มีคนบอกว่าคนทำเป็นคนที่ประเทศศัตรูส่งมา มีคนเดาว่าเป็นคนในราชสำนัก คนที่พูดอะไรล้วนมีหมด
ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงวันแต่งตั้งไท่จื่อ ถึงแม้เป็นยามที่ทำสงครามอยู่ แต่ประชาชนก็ล้วนดีใจหมดกับเรื่องที่แต่งตั้งไท่จื่อ
อย่างน้อยอนาคตพวกเขามีราชทายาท ทุกอย่างล้วนไม่เหมือนกัน
แต่หลายคนก็รู้สึกแปลกดี มีที่ไหนแต่งตั้งไท่จื่อเร่งรีบเช่นนี้ล่ะ?ใช้เวลาสั้นๆเพียงห้าวันเท่านั้น จะเตรียมอะไรได้?
“ถ้าองค์ชายเพียงองค์เดียวของเราถูกแต่งตั้งเป็นไท่จื่อ แล้วอนาคตฮองเฮาของเราจะอยู่ได้อย่างไร?”
“เรื่องนี้พูดไม่ถูกหรอก ใครให้ฮองเฮาไม่มีบุตรชายล่ะ?”
โจวกุ้ยหลานตกใจ มองไปตามเสียง เห็นสองคนบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากนาง แต่ตอนนี้พวกเขาพูดถึงเรื่องของหวั่นกุ้ยเฟยไปซะแล้ว
นางมีความแปลกใจเกิดขึ้น ฮองเฮามีลูกอยู่แล้ว เหตุใดพวกเขาถึงพูดว่าองค์ชายที่จะถูกแต่งตั้งนี้เป็นบุตรชายคนเดียวของฮ่องเต้? และยังพูดว่าฮองเฮาไม่มีลูก?
เป็นไปได้อย่างไร?ฮองเฮามีเสี่ยวเทียนอยู่แล้วไง……
ความคิดนี้เกิดขึ้นในสมองของนาง นางเหมือนอยากจะจับอะไรให้ได้ แต่ในวินาทีต่อไป อยู่ๆสมองก็คิดไม่ออกเลย
นางเคาะสมองของตัวเองสองทีอย่างแรง แต่ก็นึกอะไรไม่ออก มีเพียงเรื่องอดีตกับสวีฉาวหลินวนเวียนอยู่ในสมอง
ขอบตาของนางแดงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงรีบหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่กล้าให้คนอื่นสังเกตถึงสิ่งผิดปกติของนาง
กำลังคิดอยู่ ก็เห็นว่าประตูพระราชวังค่อยๆเปิดออก มีกองเกียรติยศเดินออกมา คนอื่นก็ล้วนมาดูสนุกที่ริมหน้าต่าง
ณ พระราชวัง
หวั่นกุ้ยเฟยช่วยจื่อเฉิงที่มีอายุเพียงแปดขวบจัดระเบียบเสื้อของเขา เห็นชุดไท่จื่อบนร่างกายของเขา ก็โล่งใจออกมา
“จื่อเฉิงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือไท่จื่อของแคว้นเหลียงแล้ว ในขณะเดียวกันเจ้าเป็นความภูมิใจของเสด็จแม่ด้วย”