นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่328 ซื้อบ้าน 1
มุมปากยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ เกือบจะถึงหลังหูแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ตอนแรกเป็นการหัวเราะแบบกลั้นไว้ แต่ต่อจากนั้นเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
ใครบางคนที่อยู่ท่ามกลางความมืด”……”
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง สวีฉางหลอนถึงควบคุมตัวเองได้ ค่อยๆสงบลง และตะโกนเรียกไปทางอากาศ”เสี่่ยวอี”
พอเสียงนี้เบาลง ก็มีผู้ชายที่ใส่ชุดสีดำปรากฏตัวในห้อง แม้กระทั่งใบหน้าก็ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีดำ
ตอนนี้เขากำลังคุกเข่าข้างอยู่บนพื้น ก้มหน้ารอคำสั่งของคุณชาย
“เมื่อกี้เจ้าเห็นไหม?”สวีฉางหลินถาม
ร่างกายของเสี่่ยวอีแข็งตัวขึ้นมา”เห็นขอรับ”
คุณชายจะฆ่าเขาเพื่อปกปิดความลับหรือเปล่า?เมื่อกี้เขาเห็นคุณชายยิ้มโง่ๆ……
“ภรรยาของข้าสวยไหม?”สวีฉางหลินนึกถึงภรรยาน้อยของตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก
เสี่่ยวอี”……”
“เคยเห็นคนที่สวยเหมือนภรรยาของข้าไหมเนี่ย?”สวีฉางหลินก็ไม่สนว่าเสี่่ยวอีตอบหรือเปล่า ถามต่อ
เสี่่ยวอี”……”
คุณชายบ้าไปแล้วหรือเปล่า?
สวีฉางหลินถึงสังเกตได้ว่าเสี่่ยวอีไม่ได้ตอบ ก้มหน้าไปมอง ก็เห็นว่าเสี่่ยวอีเงยหน้ามองเขาอย่างเหลือเชื่อ
“ทำไมเจ้าไม่ตอบเลย?”
“ไม่……ไม่เคยเห็น……”เสี่่ยวอีตอบแบบติดอ่าง
สวีฉางหลินทำหน้าจริงจัง”ห้ามมีความโลภต่อภรรยาของข้า!”
เสี่่ยวอี”……”
ถึงแม้คุณหญิงก็หน้าตาดีอยู่ แต่……แต่ก็ไม่ถึงขั้นสวยเลิศ?คุณชายมองออกตรงไหนว่าเขาจะโละต่อคุณหญิง?
“ตอบมา!”
ไม่ได้รับคำตอบของเสี่่ยวอี สายตาของเขาเย็นชาลง สั่งด้วยเสียงโกรธ
เสี่่ยวอีใจสั่น รีบตอบกลับว่า”ขอรับ!”
ได้รับคำตอบนี้ สวีฉางหลินก็รู้สึกสบายใจ จากนั้นนึกถึงเด็กสองคนที่อยู่ข้างๆภรรยา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม”เด็กสองคนของข้าน่ารักหรือเปล่า?”
ครั้งนี้เสี่่ยวอีทำตัวเนียนขึ้น”ไม่น่ารักเลย”
พอพูดออกมาเขาก็รู้สึกว่าอุณหภูมิของห้องลดลงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าควรไปดูตาของเจ้าแล้ว!”เสียงของสวีฉางหลินเต็มไปด้วยความเย็นชา
ไม่น่ารัก?บุตรชายสองคนของเขาไม่น่ารักหรือ?
ทำไมเมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่าเสี่่ยวอีตาบอด?
เสี่่ยวอี”……”
จะตายแล้ว นี่ยากกว่าไปฆ่าคนอีก!
แต่พอผ่านไปสักครู่หนึ่ง สวีฉางหลินก็ลืมเสี่่ยวอีที่ยังคุกเข่าอยู่ นึกถึงสถานการณ์เมื่อกี้นี้ ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว
เสี่่ยวอีที่คุกเข่าอยู่บนพื้น”……”
เขาถูกคุณชายลงโทษแล้วหรือ?
……
หลายวันต่อมา โจวกุ้ยหลานก็ไม่ไปเด็กสองคนไปหาสวีฉางหลินอีก แต่กลับตั้งใจไปดูบ้านกับไป๋ยี่เซวียน ดูไปหลายที่ ในที่สุดก็ได้เลือกบ้านที่ประกอบด้วยสามเรือนแห่งหนึ่ง
“ฮูหยินตาดีจริงๆเลย บ้านแห่งนี้เป็นบ้านที่ดีที่สุดในพื้นที่นี้ กว้างและสว่าง ข้างบนเป็นกระเบื้องใส ข้างในสว่างมาก!”
แม่ค้าคนกลางได้ยินโจวกุ้ยหลานถามเด็กสองคนมาพวกเขาชอบบ้านนี้หรือเปล่า ก็รู้ว่านางชอบบ้านนี้ ดังนั้นเลยแนะนำบ้านนี้ให้ฟังอย่างเต็มที่
กระเบื้องใส!
โจวกุ้ยหลานเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นว่าทุกๆระยะห่างบนหลังจากล้วนมีกระเบื้องใสขนาดเท่าเล็บมืออันหนึ่ง และแสงก็ส่องออกมาจากในนั้น
ที่แท้แล้วมีกระเบื้องใสจริงด้วย……
เมื่อก่อนสวีฉางหลินเคยพูดถึงกระเบื้องใส ตอนนั้นนางก็อยากใส่กระเบื้องใสในบ้านใหม่ของตัวเอง แต่เสียดายที่ตอนนั้นไม่มีเงินอะไรมาก เลยต้องยอมแพ้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอในที่นี่
“แม่ ที่นี่สว่างมากเลย!”เสี่ยวรุ่ยหนิงตะโกนอย่างดีใจ
เสี่ยวรุ่ยอานที่อยู่ข้างก็ยิ้มมุมปาก ถ้าอ่านหนังสือในนี้ไม่ต้องจุดไฟด้วยซ้ำ
ไป๋ยี่เซวียนข้างๆมองออกว่าแม่ลูกสามคนนี้ล้วนพอใจบ้านนี้มาก ก็โล่งใจลง เพราะหลายวันนี้ได้ดูมาหลายที่แล้ว
“ฮูหยิน ถ้าท่านชอบก็รีบลงมือเถอะ ยังมีคนอื่นๆมาดูบ้านนี้ด้วยนะเจ้าคะ หากถูกคนอื่นซื้อไป ก็ยากจะได้เจอบ้านเจอๆแบบนี้แล้ว!”
แม่ค้าคนกลางคนนั้นก็ฉวยโอกาสนี้รีบพูดโน้มน้าวใจ
โจวกุ้ยหลานมองดูรอบข้าง เห็นว่าในนี้ยังมีเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ โดยเฉพาะโต๊ะและเก้าอี้ดูสวยดี ไม่หรูหรา แต่มีความประณีตมาก
“เจ้าของบ้านเดิมประกอบอาชีพอะไรหรือ?”โจวกุ้ยหลานถามแบบเล่นๆ
“บ้านนี้เป็นของพ่อค้าเมืองเจียงหนานคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ย้ายออกจากเมืองหลวงทั้งครอบครัว ทำให้บ้านในเมืองหลวงของเขาต้องรีบขายออกไป เลยลดราคามามาก ถ้าฮูหยินซื้อไปแล้วขายต่อก็ได้กำไรนะเจ้าคะ!”
แม่ค้าคนกลางยิ้มตาหยีและโน้มน้าวใจ ท่าทีดูดีมาก
“อ้อ?พ่อค้าเมืองเจียงหนาน?คนไหนหรือ?ข้าอาจจะรู้จักก็ได้นะ?”ไป๋ยี่เซวียนเก็บพัดในมือ ถามแม่ค้าคนกลางด้วยความสงสัย
แม่ค้าคนกลางรู้สึกตกใจ หากเขารู้จักจริงๆ งั้นนางคงไม่ได้กำไรจากงานนี้แล้ว
นางหมุนลูกตา พูดทันทีว่า”พ่อค้าของเจียงหนานมีหลายคนมากนัก ท่านชายคงไม่รู้จักทุกคนหรอกเจ้าค่ะ?”
ไป๋ยี่เซวียนยิ้มมุมปาก”สามารถซื้อบ้านแบบนี้ในเมืองหลวงได้ก็มีไม่มาก คนที่สามารถหากำไรได้มากขนาดนี้ข้าต้องรู้จักแน่ๆ เจ้าบอกมาเลยว่าคือใคร”
โจวกุ้ยหลานเหลือบตามองไป๋ยี่เซวียน เห็นว่าไป๋ยี่เซวียนกะพริบตาใส่นาง ก็รู้ความหมายของเขาทันที เลยยิ้มและพูดคล้อยตาม”ใช่แล้ว คุณชายไป๋เคยได้ทำธุรกิจกับพ่อค้าในเมืองหลวงส่วนมาก”
ระหว่างพูดก็พูดต่อว่า”เจ้าควรถามพวกเขาล่วงหน้าก่อนว่าใครจะขายบ้าน อย่างนี้เราก็ไม่ต้องดูบ้านอย่างแทบเหนื่อยแทบตายมาหลายวันแล้ว
แม่ค้าคนกลางได้ยินเช่นนี้ก็ใจสั่น ถ้าขายบ้านนี้ออกไปได้นางจะได้หลายสิบตำลึงเลยนะ!
เลยทำหน้าเศร้าและพูดขอร้องว่า”ข้าหากำไรเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้ง่ายเลย สองท่านโปรดให้ข้าได้เงินมาใช้ชีวิตเถอะเจ้าค่ะ”
ไป๋ยี่เซวียนเลิกคิ้ว”เจ้าว่ามาสิว่าบ้านนี้ราคาเท่าไหร่?”
แม่ค้าคนกลางคนนั้นดิ้นรนในใจสักพักหนึ่ง เมื่อนึกถึงราคาต่ำสุดที่เจ้าของบ้านพูดมา ก็ชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง พร้อมพูดว่า”หนึ่งหมื่นสองพันตำลึงเจ้าค่ะ”
โจวกุ้ยหลานตกใจ ย้ายสายตาไปทางไป๋ยี่เซวียน
ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้าใส่นาง โจวกุ้ยหลานอยากร้องแต่ร้องไม่ออก
บ้านของเมืองหลวงแพงเกินไปหรือเปล่า?แค่บ้านหลังเดียวเอง ราคาก็ตั้งหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง?และที่นี่ก็ยังมีระยะห่างกับใจกลางของเมืองหลวงอยู่นะ……
“ไม่งั้น……พวกเราพักที่โรงเตี๊ยมต่อไหม?”โจวกุ้ยหลานก้มหน้าถามเด็กสองคน
แม่ค้าคนกลางเห็นกับตาว่าเงินจะบินแล้ว ก็รีบโน้มน้าวใจ”ฮูหยินเจ้าคะ บ้านนี้ไม่แพงแล้วเจ้าค่ะ บ้านที่คล้ายๆบ้านนี้ในรอบข้างราคาตั้งหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง บางที่ยังขายตั้งสองหมื่นตำลึง ท่านซื้อลงมาแล้วไม่ขาดทุนแน่นอน!”
ไป๋ยี่เซวียนมองสังเกตรอบข้างแล้วพยักหน้า”ก็ใช่นะ บ้านมีไม่แพง”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ แม่ค้าคนกลางรีบพูดต่อว่า”เป็นเพราะว่าเจ้าของอยากรีบขายออกถึงให้ราคานี้ ไม่งั้นก็คงขายถูกขนาดนี้ไม่ได้หรอก ฮูหยินลองคิดดูดีๆเจ้าค่ะ?”
โจวกุ้ยหลานลังเลสักครู่หนึ่ง เงยหน้ามองกระเบื้องใสบนหลังคา นึกถึงก่อนหน้านี้โจวฉางหลินพูดว่าชิ้นเล็กๆชิ้นเดียวก็ต้องใช้เงินสิบกว่าตำลึง นางก็ตัดสินใจจนได้”ซื้อ!”
พอพูดคำพูดนี้ออกมาแล้ว โจวกุ้ยหลานก็แอบโล่งใจ แถมยังมีความตื่นเต้นเล็กน้อยด้วย