ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 48 ดวงตาแห่งความหวาดกลัว

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 48 ดวงตาแห่งความหวาดกลัว

ตอนที่ 48 ดวงตาแห่งความหวาดกลัว

เหม่ยซิ่งเสียนห้อยต่องแต่งอยู่ต่อหน้าของกู้หมิงฉือ

“ท่านฉือ ข่าวที่เราปล่อยออกไปได้ผลดีมาก หลายคนหวาดกลัวที่จะสมัครเข้าไปอาศัยในเถาหยาง แต่ข่าวลือพวกนี้ก็ต้องมีวันซา ถ้าท่านต้องการให้ผมช่วย ผมจะไปพูดกล่อมพ่อที่อาศัยอยู่ในเถาหยางเพื่อให้ผมได้เข้าไปข้างใน และหลังจากที่ผมได้เข้าไปในเถาหยางแล้วผมก็จะเป็นสายให้กับท่านแล้วจะคอยรายงานเรื่องราวต่าง ๆ ให้ท่านทราบโดยเร็วที่สุด แล้วเราก็จะดำเนินการสร้างข่าวเชิงลบเพื่อส่งผลกระทบต่อเถาหยางอย่างต่อเนื่อง”

เหม่ยซิ่งเสียนรู้สึกว่าดวงชะตาของเขากำลังจะเปลี่ยนไป หากเขาได้รับความกรุณาจากกู้หมิงฉือ ก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาที่จะไต่เต้าขึ้นไปและเขาก็จะไม่ต้องอาศัยอยู่ในคูน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าหรือทำงานหนักอีกต่อไป

กู้หมิงฉือมองลอดผ่านแว่นตาขอบเงินไปที่เขาแล้วเย้ยหยัน

“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เถาหยางยังจะให้นายเข้าไปอยู่อีกเหรอ นายคิดว่าฉันหลอกง่ายหรือคิดว่าฉันตาบอดกันล่ะ?”

อีกอย่าง ซูเถาเธอไม่ได้สนใจในเรื่องของชื่อเสียงเลย

เกมในครั้งนี้เขาแพ้

ผู้ช่วยที่อยู่ข้างกายเขามาหลายปีสังเกตเห็นความไม่พอใจบนใบหน้าของเขา และเริ่มมีเหงื่อเย็นผุดซึมบนหน้าผากของเขา เขากำลังจะเตือนเหม่ยซิ่งเสียนว่าให้ออกไปก่อนที่มันจะสายเกินไป แต่ชายคนนั้นกลับพูดอย่างมีชัย

“สุดท้ายแล้วผมก็เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อที่มีโควตาอยู่ในมือ ตราบใดที่พ่อตกลง เถาหยางก็ไม่มีสิทธิ์จำกัดโควตาของเขาไว้ เถาหยางมันจะทำไมเชียว ก็มีแค่เด็กน้อยที่เพิ่งจะโตเป็นผู้ใหญ่นั่นดูแล ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย”

ผู้ช่วยรู้สึกว่าหายนะกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา

เหม่ยซิ่งเสียนเป็นคนงี่เง่า เหล่าต้าของเขาเพิ่งจะแพ้เถาหยาง แต่เขากลับพูดว่าเถาหยางไม่มีอะไรน่ากลัว จะไปเกรงกลัวอะไร

แน่นอนว่ารอยยิ้มของกู้หมิงฉือค่อย ๆ กว้างขึ้น

เหม่ยซิ่งเสียนยิ่งพอใจมากขึ้น คิดว่าคำพูดของเขานั้นถูกใจอีกฝ่าย เขากำลังจะพูดดูถูกเถาหยางอีกครั้ง แต่จู่ ๆ เมื่อเขาถอดแว่นออกก็เผยให้เห็นดวงตาสีเหลืองอำพันที่น่าทึ่ง

เพียงแวบเดียวเท่านั้น

เหม่ยซิ่งเสียนรู้สึกเพียงว่าร่างกายของเขาถูกตรึงไว้ด้วยตะปูเหล็กจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ในสมองของเขาเกิดความกลัวอันไม่มีที่สิ้นสุด ความกลัวนั้นได้เจาะลึกเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขา ทำให้เขาทรุดลง เขาเสียสติจนยิงลูกตาตัวเอง เลือดสีแดงกระเซ็นไปทั่วพื้น

ขาของผู้ช่วยสั่นเทา และไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน

ดวงตาแห่งความหวาดกลัว…ไม่มีใครที่ไม่กลัวสายตานี้

……

เป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ซูเถาเดินหาวออกมาจากห้องพร้อมกับกองแบบร่างในอ้อมแขนของเธอ ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้น และอากาศในตอนกลางคืนเดือนสี่นั้นไม่หนาว สามารถสวมใส่เสื้อแขนสั้นได้

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ซูเถารู้สึกว่าฤดูร้อนครั้งนี้มาเร็วมาก

ผู้อาวุโสเหม่ยให้แบบร่างเธอมาสามชุด ชุดหนึ่งคือแผนการออกแบบสวนสาธารณะหลักหน้าโรงอาหาร ชุดที่สองคือการออกแบบพื้นที่สำนักงาน และชุดที่สามคือส่วนต่อขยายของอาคารที่พัก

ซูเถาวางแผนที่จะเริ่มต้นจากสวนสาธารณะ แต่เธอก็ต้องยุติมันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เนื่องจากการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกกลางแจ้งสาธารณะต่าง ๆ เช่น น้ำพุหรือสระว่ายน้ำ จำเป็นต้องอัปเกรดเป็นเลเวล 4 ก่อน จึงจะสามารถปลดล็อกร้านค้าสิ่งอำนวยความสะดวกได้

การอัปเกรดเป็นเลเวล 4 ต้องสร้างห้องเพิ่มอีก 10 ห้อง

ซูเถาเป็นคนหัวใส เธอเปิดห้องเดี่ยวเพิ่มอีก 4 ห้อง และห้องคู่อีก 6 ห้อง ทำให้อาคาร 1 นั้นมีทั้งหมด 6 ชั้น รวม 34 ห้อง

การปรับปรุงห้องพักทั้งสิบห้องมีค่าใช้จ่ายรวมกว่า 36,000 เหลียนปัง

มีสินทรัพย์เหลืออยู่ในมือ 374,000 เหลียนปัง ซึ่งเพียงพอสำหรับการอัปเกรด

ซูเถากัดฟันและกดอัปเกรด

สินทรัพย์ทั้งหมดเหลือไม่ถึง 200,000 เหลียนปัง

เจ็บปวดหัวใจ

[ระบบเจ้าของอสังหาฯ อัปเกรดเป็นเลเวล 4 ได้รับห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้อง และปลดล็อกร้านค้าสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ โปรดตรวจสอบและยอมรับ]

ซูเถารู้สึกสะเทือนใจ มันไม่ง่ายเลยยิ่งเลเวลสูงเท่าไหร่ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปอีกคืน ฟ้าใกล้จะสว่าง ซูเถาจึงตัดสินใจว่าวันนี้พอเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาดำเนินการต่อ

ทันทีที่เธอล้มตัวลงนอน ไป๋จือหม่าและเฮยจือหม่าก็แอบกระโดดขึ้นเตียงของเธออย่างแผ่วเบา นั่งอิงแอบอย่างเชื่อฟังและหลับลึกไปด้วยกัน

กว่าเธอจะตื่นนอนก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ซูเถาตื่นขึ้นมาอย่างหิวโหย เพื่อหาของกิน เธอหยิบข้าวกล่องในโรงอาหารมากิน พอกินเข้าก็ไปก็รู้สึกจืดชืด พูดตรง ๆ ก็คือเธอเบื่ออาหาร

เจ้าปุกปุยกำลังจะหย่านมแล้ว ซูเถากังวลว่าเธอจะป้อนอะไรให้พวกมันดี

ก่อนวันสิ้นโลกผู้คนมักให้ด้วยอาหารแมวหรือไม่ก็เนื้อดิบ แต่ตอนนี้ไม่มีสถานที่ผลิตอาหารแมวแล้วและเนื้อดิบก็ค่อนข้างที่จะหายาก ดังนั้นจึงต้องบริจาคคะแนนสมทบเพื่อซื้อจากฟาร์มที่ฐานหลัก

ไว้ค่อยคิดแก้ปัญหาตอนที่หย่านมจริง ๆ ในเดือนหน้าแล้วกัน

หลังจากกินข้าวเสร็จ ซูเถาก็ไปที่สำนักงานเพื่อดูงานตามปกติ และเห็นผู้อาวุโสเหม่ยอยู่ในห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งกำลังร่างแบบอีกครั้งบนโต๊ะกาแฟ

เธอถอนหายใจ ท้ายที่สุดเขาก็หยุดไม่ได้ คนเราก็ต้องมีอะไรทำ

เธอไปที่อาคารที่พักทั้งสองแห่งเพื่อตรวจสอบดูรอบ ๆ หญิงทำความสะอาดคนใหม่กระตือรือร้นในการทำงานของเธอมาก คอยช่วยเช็ดตรงราวบันไดเพื่อไม่ให้เปื้อน

ซูเถายิ้มและถามเธอ “คุ้นเคยกับเถาหยางหรือยังคะ?”

ชีอวิ๋นหลันไม่เคยพบกับซูเถามาก่อน เธอจึงคิดว่าซูเถาเป็นผู้เช่าที่นี่ ดังนั้นจึงพูดอย่างเต็มใจ

“ชินแล้วค่ะ! ฉันไม่กลัวเรื่องที่คุณจะเล่าหรอกนะ ฉันน่ะเคยเทน้ำหมักชีวภาพที่ฟาร์มมาก่อน ฉันไม่ขออธิบายสภาพแวดล้อม คุณดูเป็นสาวน้อยที่รักความสะอาด คงทนฟังไม่ได้หรอกค่ะ ฉันมาที่เถาหยางฉันนึกว่าวันสิ้นโลกได้สิ้นสุดลงแล้วเสียอีก ฮ่าฮ่า เหมือนกับว่าฉันมาที่นี่ไม่ได้มาทำงานแต่มาเสวยสุข ทุกคนที่นี่ล้วนแต่รักความสะอาด กลายเป็นว่าเหมือนฉันไม่มีอะไรทำ แต่ฉันก็เช็ดทุกอย่างที่ขวางหน้านั่นแหละ ไม่งั้นฉันก็คงไม่สบายใจและรู้สึกผิดต่อเงินเดือนที่ได้รับ”

“เมื่อก่อนฉันเคยทำงานในฟาร์ม เพื่อนร่วมงานต่างก็อิจฉาในความโชคดีของฉัน เพราะว่าเถ้าแก่เถาหยางนั้นใจกว้าง ไม่เพียงแต่ให้เงินเดือนที่สูงกว่าเมื่อก่อนแต่ยังรวมไปถึงอาหารการกินด้วย ข้าวกล่องที่เครื่องจำหน่ายในโรงอาหารทั้งราคาถูกและอร่อย”

ซูเถามองไปที่ข้าวกล่องครึ่งกล่องที่วางไว้บนขอบหน้าต่าง เธอเลิกคิ้วแล้วถามเชิงหยอกล้อ “อร่อยแล้วทำไมถึงเหลือล่ะคะ?”

ชีอวิ๋นหลันรู้สึกเขินอาย “ฉันไม่กล้ากินหมด ฉันเหลือไว้ครึ่งกล่องให้ครอบครัวของฉันได้ลองชิม ครอบครัวของเราไม่ได้กินข้าวแบบนี้มานานแล้วหลังจากวันสิ้นโลก แม้ว่าข้าวที่เถาหยางจะอร่อย แต่ฉันก็กินได้ไม่กี่คำ ฉันสงสารสามีและลูกที่ทนทุกข์อยู่ด้านนอก ต้องอดมื้อกลางวันเพื่อประหยัดเงิน แล้วค่อยกลับไปทำอาหารกินที่บ้านในตอนเย็น”

หัวใจของซูเถาอ่อนยวบทันที เธอกลับไปที่โรงอาหารเพื่อนำข้าวกล่องอีกสองกล่อง และซื้อนมอีกสองขวดจากเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่มแบบบริการตนเอง แล้วนำกลับมามอบให้เธอ

ชีอวิ๋นหลันปฏิเสธทันที “ไม่ได้หรอก นี่มันเป็นการเอาเปรียบคุณเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้ ฉันไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลยถ้ารับไว้ฉันจะรู้สึกผิด”

ซูเถาคิดไม่ถึงว่าเธอจะอดทนขนาดนี้ คนนิสัยแบบนี้ช่างหายาก เธอจึงพูดขึ้นมาว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยทำความสะอาดอ่างล้างมือในโรงอาหารได้ไหมคะ?”

แต่คิดไม่ถึงว่าเธอยังคงปฏิเสธอยู่ “นี่คืองานของฉัน ฉันต้องทำมันอยู่แล้ว หรือไม่คุณบอกฉันสิว่าคุณพักอยู่ห้องไหน วันนี้หลังเลิกงานฉันจะเข้าไปทำความสะอาดให้ แต่ฉันขอแค่นมหนึ่งขวดพอนะ อย่างอื่นมันมากเกินไป ฉันแค่ทำความสะอาดห้องเอง”

ซูเถาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คุณชื่ออะไรนะคะ?”

ชีอวิ๋นหลันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็บอกชื่อของเธอออกไป

ซูเถายิ้ม “เอาล่ะค่ะ ถือว่าเป็นสวัสดิการพนักงานดีไหมคะ?”

ชีอวิ๋นหลันงงเล็กน้อย แต่วินาทีต่อมาเธอก็ได้ยินสาวน้อยคนนี้ต่อสายเครื่องมือสื่อสาร

“พี่จวงหว่าน หลังจากนี้ให้ป้าชีอวิ๋นหลันรับผิดชอบเรื่องการทำความสะอาดในเถาหยาง เพิ่มเงินเดือนของเธอเป็น 8,000 เหลียนปังรวมมื้ออาหาร และหลังเดือนสี่ของทุกปีจะให้เป็นเครื่องดื่มทดแทนเงินอุดหนุนอุณหภูมิสูง”

เงินอุดหนุนอุณหภูมิสูงเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสเหม่ยบอกเธอว่าก่อนวันสิ้นโลกบางบริษัทที่มีสวัสดิการดีจะให้เงินอุดหนุนเป็นเบี้ยเลี้ยงพนักงานหรือให้เป็นเครื่องดื่มเย็น ๆ ในฤดูร้อน

ชีอวิ๋นหลันตกตะลึง

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
คอยดูเถอะ…วันสิ้นโลกแบบนี้ฉันจะยืนด้วยด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท