ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 107 แมวก็สามารถปลุกพลังได้เหมือนกันเหรอ

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 107 แมวก็สามารถปลุกพลังได้เหมือนกันเหรอ

ตอนที่ 107 แมวก็สามารถปลุกพลังได้เหมือนกันเหรอ

หลังจากที่เธอล้มลง การมองเห็นของเธอก็กลับมาเป็นปกติ

หลินฟางจือรีบประคองเธอลุกขึ้นมาและมองเธออย่างเป็นกังวล

ซูเถาขยี้ตาแล้วมองไปมองเฮยจือหม่าที่กำลังเล่นกับก๊อกน้ำด้วยกรงเล็บเล็ก ๆ ของมัน

หญิงสาวลองเรียกออกไปด้วยความไม่แน่ใจ “เสี่ยวเฮย? เมื่อกี้ใช่นายหรือเปล่า?”

เฮยจือหม่าเอียงศีรษะเมื่อมันได้ยินเสียงของเจ้านายเรียก

ตอนนี้การมองเห็นของเธอกลายเป็นการมองเห็นของมันอีกครั้ง ‘เห็น’ เธอเห็นตัวเองและหลินฟางจือ

หัวใจของซูเถาเต้นเร็วขึ้น เธอรีบหลับตาแล้วโบกมือให้ “โอเค ๆ ฉันเข้าใจแล้ว นายเอากลับไป”

เมื่อเธอลืมตาอีกครั้ง ทุกอย่างก็กลายเป็นปกติ

มันสามารถปลุกพลังของตัวเองขึ้นมาได้เหรอ มันสามารถแบ่งปันการมองเห็นกับเธอได้

ซูเถาประหลาดใจมาก ก่อนยื่นมือออกไปแล้วเรียกมัน “มานี่สิ”

เฮยจือหม่ากระโดดลงไปในอ่างล้างหน้าแล้วปีนขึ้นไปตามขา แล้วก็กระโดดขึ้นไปบนแขนของเธอ พร้อมกับมองเธอด้วยดวงตากลมทั้งสอง

เพื่อที่มันจะทดสอบความคิดของซูเถา ซูเถาประคองมันไว้ในมือแล้วยื่นไปให้มันเผชิญหน้ากับหลินฟางจือ

“เสี่ยวเฮย แสดงให้พี่ฟางจือดูหน่อยเร็ว”

เฮยจือหม่าเอียงหัวของมัน

หลินฟางจือก็เอียงศีรษะเช่นกัน

ในวินาทีต่อมา สีหน้าของหลินฟางจือก็เปลี่ยนไป เขาตกตะลึงพร้อมกับร้อง “อ๊า”

ซูเถารีบหันมันกลับมาพร้อมกับลูบหัวของเฮยจือหม่าเบา ๆ

“โอเค ๆ ได้แล้ว ว่าแต่ความสามารถแบบนี้มันคืออะไรเหรอ?”

เฮยจือหม่าร้อง ‘เหมียว’ และต้องการที่จะเลียใบหน้าของเธอ

ซูเถาจึงรีบวางมันลง

เธอและหลินฟางจือมองหน้ากัน ทั้งคู่มีความคิดในใจตรงกันว่าแมวสามารถปลุกความสามารถของพวกมันได้เหรอ?

ซูเถารู้สึกว่าเธอต้องถามเรื่องนี้กับสือจื่อจิ้น และเมื่อเธอกลับมาถึงเถาหยาง เธอก็ไม่รอช้าที่จะอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดของเฮยจือหม่าโดยละเอียดแล้วส่งไปให้เขาตอนเวลาตีสอง

แถมเธอยังแนบรูปของเฮยจือหม่าเข้าไปด้วย

เป็นเวลาตีห้า เครื่องมือสื่อสารของเธอก็ดังขึ้น

ซูเถาไม่ได้หลับลึกนัก และตื่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเครื่องมือสื่อสาร เธอหยิบขึ้นมาดูและพบว่าคือสือจื่อจิ้นจริง ๆ

“ผมเพิ่งถึงจุดแวะพัก น่าจะไปถึงฉางจิงในอีกประมาณสองหรือสามวัน เรายังพบการโจมตีของซอมบี้ระหว่างทาง การบาดเจ็บล้มตายอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ต้องกังวล”

“จากสิ่งที่คุณอธิบาย มันน่าจะเป็นความสามารถที่ถูกปลุกขึ้น แต่ผมต้องไปดูด้วยตาตัวเองถึงจะรู้ว่าเป็นความสามารถประเภทไหน ตอนนี้ผมเดาว่าน่าจะเป็นความสามารถที่เกี่ยวข้องกับระบบจิตวิญญาณ คุณลองสังเกตดูว่ามีความสามารถอื่นอีกไหมนอกเหนือจากการแบ่งปันการมองเห็น”

เมื่อซูเถาได้ยินคำว่า ‘จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ’ เธอก็ยังกังวลเล็กน้อย

สุดท้ายก็ต้องมีคนเสียชีวิต

แต่เธอไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า

“เอาเถอะ ระหว่างการเดินทางคุณก็ระวังด้วยนะ แล้วอีกเรื่องที่ฉันอยากจะขอโทษก็คือเรื่องกำแพงเมือง ฉันช่วยคุณเรื่องกำแพงเมืองไม่ได้ ฉันไม่คิดมาก่อนว่าวัสดุก่อสร้างที่เถาหยางของฉันไม่สามารถย้ายออกไปได้”

ก่อนออกเดินทางไปภูเขาผานหลิว เธอรับปากว่าเธอสามารถแก้ปัญหากำแพงเมืองได้

เธอล่ะอยากจะตบหน้าตัวเองจริง ๆ

ปฏิกิริยาของสือจื่อจิ้นคล้ายกับของเผยตง “ไม่ต้องกังวล นี่เป็นความรับผิดชอบของผม”

ซูเถานิ่งเงียบและไม่รู้จะตอบอย่างไร

อีกฝ่ายก็เงียบไปนานเช่นกัน แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า

“มีบางอย่างที่ผมคิดว่าควรแจ้งให้คุณทราบ เจียงจิ่นเวยหลบหนีไปพร้อมกับใครบางคน”

ซูเถาตกตะลึง “หนีไปกับใคร?”

“พวกเราผ่านวงล้อมเล็ก ๆ ของผู้รอดชีวิต เธอไปพบแกนนำข้างใน ตอนที่ผมพบเธอ ขบวนได้ขับไปแล้วสองกิโลเมตร เมื่อพิจารณาถึงต้นทุนในการไล่จับคน ผมก็เลยไม่สน”

“ช่างเถอะ…ยังไงฉันก็ตัดขาดแล้ว เธออยากทำอะไรก็ตามใจเธอ”

ซูเถาตกตะลึงจริง ๆ หลี่หรงเหลียนแม่ของเจียงจิ่นเวยคนนี้ คือผู้อุทิศทั้งหัวใจและวิญญาณให้กับเธอไม่ใช่เหรอ แล้วลูกสาวของเจียงจิ่นเวยล่ะ ลูกสาววัยสามขวบของเธอ พ่อของเธอก็พึ่งพาไม่ได้ แม่ของเธอก็ไม่ต้องการ…เจียงจิ่นเวยใจจืดใจดำจริง ๆ

ลืมมันไปเถอะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ทุกคนมีชะตากรรมของตัวเอง

หลังจากนอนหลับไปหนึ่งตื่น กว่าจะตื่นขึ้นมากินข้าวก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว สือจื่อเยว่โทรหาเธอและบอกว่า เธอและเซิ่งอวี๋หลันเพื่อนร่วมชั้นของเธอมาถึงที่ประตูแล้ว

ซูเถาพาหลินฟางจือไปพบกับพวกเธอ

เซิ่งอวี๋หลันเป็นสาวแว่นรูปร่างผอมบาง คำพูดและการกระทำของเธอดูมีน้ำหนักและน่าฟัง

ซูเถามีความประทับใจที่ดีต่อเธอ ดังนั้นจึงพาเธอไปที่โรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารด้วยกัน

เซิ่งอวี๋หลันมองไปที่กล่องข้าวแสนอร่อยที่มีเนื้อและผักอยู่ข้างหน้าเธอ น้ำอัดลมเย็น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ เธอ แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรบางอย่างออก

น่าจะแพง…วันนี้เธอไม่ได้พกเงินมาเยอะด้วย คงไม่พอที่จะจ่ายอาหารมื้อนี้

ซูเถานำไอศกรีมมาให้เธอด้วยและพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องเกรงใจ ยินดีต้อนรับนะ หลังจากวันนี้เป็นต้นไปเธอก็มากินอาหารกลางวันที่เถาหยางแล้วกัน จื่อเยว่ได้บอกเธอหรือยัง ว่าให้เธอมาที่ เถาหยาง 2-4 ชั่วโมงต่อวันเพื่อสอนหนังสือ พร้อมอาหาร 1 มื้อ และเงิน 150 เหลียนปังต่อชั่วโมง อีกทั้งยังมีเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวไม่จำกัด ไม่คิดเงินเพิ่ม ตราบใดที่ไม่กินอย่างสิ้นเปลือง”

จากนั้นเธอก็หันไปหาหลินฟางจือและพูดว่า “ฟางจือนายจะพาอาจารย์เซิ่งไปทำความคุ้นเคยกับตู้ขายของอัตโนมัติในโรงอาหารหน่อยนะ”

เมื่อเซิ่งอวี๋หลันได้ยินซูเถาเรียกเธอว่า ‘อาจารย์เซิ่ง’ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง

“อย่าถึงขนาดนั้นเลยค่ะ เรียกฉันว่าอวี๋หลันเถอะค่ะเถ้าแก่ซู ค่าตอบแทนที่ฉันได้รับนี้มันเยอะไปหน่อย ถ้าคุณรวมค่าอาหารด้วย ฉันคิดว่า 50 เหลียนปังต่อชั่วโมงก็พอ”

ซูเถายิ้ม “สถานการณ์ของฟางจือนั้นค่อนข้างพิเศษ เธออาจจะต้องใช้ความอดทนในการสอนเขา”

เซิ่งอวี๋หลันเข้าใจทันทีว่าคนคนนี้อาจไม่ง่ายที่จะสอน

แต่เธอก็ยังคิดว่ามันมากเกินไป…โดยทั่วไปครูที่มีคุณภาพในโรงเรียนจะได้รับเงินเดือนต่อชั่วโมงเท่านี้ แต่เธอยังเป็นนักเรียนและยังไม่จบการศึกษา

เซิ่งอวี๋หลันมองไปที่หลินฟางจือด้วยสายตาที่แหลมคม เพื่อที่จะดำเนินตามความตั้งใจที่ดีของเถ้าแก่ซู เธอจะพยายามอย่างเต็มที่ในการสอนชายคนนี้!

เมื่อเห็นสายตานี้หลินฟางจือก็เคลื่อนตัวออกไปและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังซูเถา เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

หลังอาหารเย็น หลินฟางจือถูกอาจารย์เซิ่งพาตัวไป

ซูเถาจงใจเคลียร์มุมหน้าต่างของห้องโถงอาคารหมายเลข 1 เพื่อวางชุดโต๊ะและเก้าอี้สี่ชุด และกระดานไวท์บอร์ดสองแผ่นสำหรับเขียน

เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ เซิ่งอวี๋หลันก็เริ่มทดสอบหลินฟางจือทันที และปรับแผนการสอนเพื่อให้สอดคล้องกัน

ซูเถามีบางอย่างที่ต้องทำในตอนบ่าย เธอจึงต้องออกไปก่อน หลินฟางจือนั่งที่โต๊ะและเฝ้าดูเธอออกไปเหมือนเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลวันแรก

ซูเถาต้องการปลอบเขา แต่หม่าต้าเพ่าโทรมาพอดี

“เถ้าแก่ซู คนจาก ‘ทางเสือดาว’ มาถึงแล้ว กัปตันของพวกเขาซิ่งเหลย และชื่อของเขาคือเหลยสิง คนนี้ค่อนข้างบ้าและไม่เล่นไพ่ตามสามัญสำนึก เวลาพูดคุยคุณก็ระมัดระวังหน่อย อย่าคุยกันไม่ถูกคอจนลามไปถึงการมีเรื่องมีราวนะ”

ซูเถาเตรียมใจ “เข้าใจ ไม่ต้องกังวล”

“ทางเสือดาว” ไม่น่าจะเป็นกลุ่มอันธพาลหรอก

แต่ถ้าเขาต้องการทำร้ายเธอในอาณาเขตของเธอ มันไม่มีทางเป็นไปได้

ดังนั้นเธอจึงจูงเสวี่ยเตาและเทเลพอร์ตไปที่ภูเขาผานหลิว แม่บ้านอัจฉริยะเพิ่งเตือนเธอว่ามีผู้มาเยือน

ซูเถาเตรียมใจมาอย่างดี โดยคิดว่าเธออาจเห็นชายร่างใหญ่ที่ดุร้าย

ทันทีที่ประตูเปิดออก เธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นชายที่เป็นผู้นำ

คนคนนี้สะดุดตามาก พวกเขามากันทั้งหมดดสิบสี่คน พวกเขาจะถูกดึงดูดด้วยรูปลักษณ์ของเขา ทันทีที่มองไปที่พวกเขา จะไม่สามารถละสายตาได้เลย

คนผมสั้นหยิกสีเทาออกทอง ผมด้านหน้าของเขายาวปกคลุมมาที่ดวงตา ใบหน้าเหมือนคนจากตะวันตก ผิวขาวเหมือนข้าวสาลีห่อหุ้มกระดูกที่แข็งแรงและทรงพลัง รูปร่างเพรียวบางแต่ไม่อ่อนแอ มีความรู้สึกแข็งแกร่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน

คำอธิบายนี้ปรากฏขึ้นทันทีในใจของซูเถา

เขาเหมือนเสือดาวที่พร้อมออกล่าตลอดเวลา

อันตรายมาก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
คอยดูเถอะ…วันสิ้นโลกแบบนี้ฉันจะยืนด้วยด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท