สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค – ตอนที่ 41 รุ่นต่อไป

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

ไอส์ อันด์ อาย บิลเบอรี่ที่ 13 คิดเช่นนี้มาตลอด

สมดุลระหว่างแสงสว่างและความมืดในโลกนี้มันจะสารเลวเกินไปแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นยุคมืดที่แม่มดเป็นผู้ปกครองนั้นยาวนานกว่ายุคสมัยอันสงบสุขซึ่งเซนต์เป็นผู้นำมาอย่างมาก

วินาทีที่เซนต์คนก่อนเปลี่ยนเป็นแม่มด ก็คือช่วงเวลาที่เซนต์คนใหม่ถือกำเนิดขึ้น

แม่มดไม่มานั่งรอให้เซนต์เติบโตก่อนถึงจะออกอาละวาดหรอก เธอจะสามารถออกอาละวาดอย่างไรก็ได้ตามใจอยากจนกว่าจะถึงเวลา

ช่วงเวลานั้นยาวนานแค่ไหนน่ะรึ? …ไม่ว่าจะรีบแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสอบห้าหรือยี่สิบปีขึ้นไปกว่าเซนต์จะพร้อมออกสู่สนามรบได้

ถึงแม้เซนต์จะมีพลังของเซนต์มาตั้งแต่เกิด แต่ก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าสิบห้าปีจึงจะสามารถฝึกในและควบคุมพลังได้อย่างเชี่ยวชาญ

ก็ไม่ใช่ว่ามีกฏอะไร เพียงแต่ผลลัพท์มันออกมาเช่นนั้น

อาจจะเป็นเพราะว่าร่างกายของเด็กไม่สามารถปรับตัวกับพลังของเซนต์ได้ หรืออาจจะไม่มีเหตุผลอะไรเลยก็ได้

เด็กชายเติบโตเป็นชายหนุ่ม เด็กหญิงเติบโตเป็นหญิงสาว เซนต์เองก็เช่นเดียวกัน พวกเธอจะเติบโตกลายเป็นเซนต์ที่แท้จริง

เหล่าราชาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “การตื่นขึ้นของพลัง” ก่อนที่พลังของเซนต์จะตื่นขึ้น พวกเธอก็เป็นเพียง…คนธรรมดาที่ไม่ได้รับผลจากการโจมตีปกติและมีความสามารถทางด้านเวทมนตร์สูงกว่าชาวบ้านทั่วไปเพียงเท่านั้น

ไม่เคยมีเซนต์คนใดที่พลังตื่นตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นเอลริสมาก่อน

เซนต์ทุกคนต้องรอจนอายุอย่างน้อย 15 ถึง 20 ปีก่อนจึงจะสามารถสู้ได้อย่างสมกับเป็นเซนต์

และในเวลาที่เซนต์ยังไม่พร้อมในการต่อสู้ ก็คือยุคสมัยแห่งความโหดร้ายของแม่มด

ในทางกลับกัน “ยุคสมัยที่สงบสุข”นั้นเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาระหว่างตอนที่เซนต์ปราบแม่มดสำเร็จไปจนถึงตอนที่เซนต์คนนั้นถูกเปลี่ยนเป็นแม่มดเท่านั้น

เป็นช่วงเวลาที่สั้น อยู่ได้อย่างมากก็ไม่เกินห้าปี

นี่มันอะไรกัน? ความแตกต่างนี้มันจะเกินไปแล้วนะ

การสร้างสิ่งที่ถูกทำลายลงไปขึ้นมาใหม่ต้องใช้ความพยายามและเวลามากกว่าตอนที่ทำลายมัน แต่ยุคสมัยแห่งการทำลายล้างกลับยาวนานกว่าเวลาที่สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้นี่หมายความว่ายังไง

การเผาต้นไม้กับการปลูกต้นไม้นี่เอามาเทียบกันไม่ได้หรอกนะ

แต่แม่มดกลับมีเวลาให้เผาต้นไม้ได้ทั้งป่า ในขณะที่มนุษยชาติไม่มีเวลาเพียงพอที่จะปลูกมันกลับมา

เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่อารยธรรมในโลกแบบนี้จะไม่ก้าวหน้า

พวกปีศาจและมหามารเองก็เป็นปัญหา

สัตว์ประหลาดพวกนั้นคือสัตว์ธรรมดาที่ได้รับพลังมาจากแม่มดและจงรักภักดีต่อเธอ

ถ้าแม่มดคนเดิมตายไป พวกมันก็จะไปให้ความช่วยเหลือแม่มดคนใหม่แทน

นี่เป็นเหตุผลให้อเล็กเซียสามารถหนีไปได้

ทางฝั่งแม่มดมีลูกสมุนเป็นโขยงที่สามารถทำร้ายเซนต์ได้ แต่ทางั่งเซนต์กบับมีเพียงตัวเซนต์คนเดียวที่สามารถทำร้ายแม่มดได้ บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว

เซนต์สามารถตายได้ในระหว่างภารกิจ ในขณะที่แม่มดจะไม่มีวันตายจนกว่าจะถูกกำราบโดยเซนต์

และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือจำนวนของศัตรู

เมื่อแม่มดถูกฆ่า พวกปีศาจก็จะหนีไปกบดานปละไม่ออกมาโจมตีมนุษย์

เมื่อแม่มดคนใหม่ถือกำเนิดขึ้น พวกมันก็จะกลับมาออกอาละวาดดังเดิม

ยิ่งไปกว่านั้นปีศาจพวกนี้ยังแข็งแกร่งและอันตรายกว่าสัตว์ทั่วไปมาก ทั้งยังไม่แก่เฒ่า

ถึงอายุขัยโดยรวมจะลดลง แต่แม่มดก็สามารถสร้างปีศาจขึ้นมาใหม่ด้วยอัตราที่น่าตกตะลึง

พูดง่ายๆก็คือ ยิ่งเวลาผ่านไปก็มีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น เซนต์ของสองรุ่นก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพปีศาจที่มากกว่าสามรุ่นก่อน และเซนต์ของรุ่นนี้ก็ต้องพบกับกองทัพปีศาจที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมไปอีก

ไอส์มีบุตรชายเพียงสามคน แต่ถ้าลองคำนึงถึงอายุอานามของเขาที่ล่วงเข้าวัยชราไปแล้ว บุตรสามคนนี้ถือว่าอ่อนเยาว์เกินไป

นั่นเป็นเพราะว่า…องค์ชายทุกคนที่มีอายุมากกว่าสามคนนี้ต่างตกตายไปหมดแล้วด้วยเงื้อมมือของปีศาจ

ในแต่ละปี อัตรการตายของผู้คนจากปีศาจมีแต่จะสูงขึ้น

การมาถึงของเอลริสทำทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด

เธอปราบเหล่าปีศาจ ยึดดินแดนที่เคยถูกแย่งชิงไปกลับมา

เธอเริ่มทำหน้าที่มาแล้วยาวนานถึงเจ็ดปี ลดพื้นที่ของเหล่าปีศาจเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนจากรุ่นก่อนๆ

เธอฟื้นฟูธรรมชาติที่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของแม่มด

แผ่นดินแตกระแหง ป่าไม้เหลือแต่ซาก แม่น้ำเน่าเหม็น…

เพียงเธอเดินผ่าน แผ่นดินนั้นเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มเหมาะแก่การเพาะปลูกและเลี้ยงปศุสัตว์

ฉายา เซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นั้นไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด

อีกอย่างหนึ่งคือการที่เธอไม่มีความสนใจที่จะปกครองผู้คนด้วยตัวเอง

“อยู่บนจุดสูงสุด แต่ไม่ใช่ผู้ปกครอง”

สถานะทางสังคมของเธอนั้นเป็นขั้นที่สูงที่สุด แต่เธอกลับไม่เคยใช้อำนาจนั้นในการควบคุมผู้อื่น

ที่เธอทำก็เพียงแค่ตระเวนไปทั่วเพื่อปราบปีศาจ คอยรักษาผู้คนและธรรมชาติในทุกที่ที่ผ่าน เหล่าราชวงศ์และขุนนางเองก็ไม่มีความคิดที่จะบังคับเธอเช่นเดียวกัน

เธอคือสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรมที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด แต่การปกครองผู้คนก็ยังเป็นหน้าที่ของราชาและขุนนาง

ปัญหามีเพียงหนึ่งเดียว

เพราะว่าเธอเป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เธอจึงคิดที่จะทำหน้าที่ของเธอให้ลุล่วง

พูดอีกอย่างหนึ่ง…เธอต้องการที่จะสู้และปราบแม่มด

ไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะเลย

การที่สุดยอดเซนต์แห่งปาฏิหาริย์ผู้นี้จะอยู่ในตำแหน่งเพียงไม่กี่ปีก่อนจะตายจากไป เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด

ยุคทองเช่นนี้จะไม่มีมาให้เห็นอีกแล้ว เขามั่นใจเรื่องนี้มาก

ถ้าเอลริสจากไป สมดุลระหว่างแสงสว่างและความมืดในโลกนี้ก็จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อน

เพราะเช่นนี้ พวกเขาจึงเลือกที่จะเก็บเซนต์เอาไว้ให้อยู่ได้นานที่สุด เพิ่มอีกแค่สักปีก็ยังดี

ตราบเท่าที่เธอยังอยู่ อาณาเขตของมนุษย์ก็จะแผ่ขยายกว้างขึ้น จำนวนปีศาจลดลง และธรรมชาติจะได้รับการฟื้นฟู

ตราบเท่าที่เธอยังอยู่ อำนาจของฝั่งปีศาจก็จะลดลงเรื่อยๆ นำไปสู่ความรุ่งเรืองในภายภาคหน้า

เรื่องการปราบแม่มดค่อยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซนต์รุ่นถัดไปก็ได้ ยังไงเซนต์รุ่นถัดไปก็คงไม่ต่างจากเซนต์รุ่นก่อนๆมากนักอยู่ดี

นี่เป็นเหตุผลให้เขาจับเธอไปขังไว้

พวกเขาต้องเป็นคนวงแผนเอง สถานที่ที่เธอสามารถไปช่วยเหลือผู้คนได้ สถานที่ที่เธอสามารถไปปราบปีศาจได้

หากปล่อยให้เธอทำตามใจชอบ อาจจะจบลงที่เธอได้พบกับแม่มด และนำมาซึ่งผลลัพท์ที่เลวร้ายที่สุด

เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ต้องทำให้แน่ใจว่าสถานที่ที่เธอไปจะไม่มีแม่มดอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน

ไอส์เองก็รู้ดีว่านี่เป็นแผนที่ทำลายสถานะที่ว่า “เอลริสจะอยู่บนจุดสูงสุดแต่ไม่ใช่ผู้ปกครอง” อาจกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นกบฏต่อมนุษยชาติ

พวกเขาคุมขังเธอโดยสร้างเป็นภาพลวงตาที่ว่าเธอยังมีอำนาจทางการเมืองสูงสุดในฐานะสัญลักษณ์แห่งแสง

ไม่ว่าจะเรีบกให้ดูดีแค่ไหน ไม่มีทางเลยที่ผู้คนจะไม่รังเกียจการกระทำเช่นนี้ ชื่อของเขาจะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์ในฐานะอาชญากรอย่างแน่นอน

คงไม่นานก่อนทีาเขาจะถูกนำขึ้นลานประหาร

แต่เขาพอใจกับเรื่องนั้น

ยังไงเขาก็เป็นแค่คนแก่ที่มีเวลาเหลือในโลกอีกไม่มาก จะกลัวความตายไปทำไม

หน้าที่ของเขาคือการส่งต่อความหวังนี้ไปยังรุ่นต่อไป

ช่วงเวลาที่แม่มดเป็นอิสระนั้นไม่ต่างจากนรก

ปีศาจรุกรานดินแดนของมนุษย์และยึดไปเป็นของตนเอง ผู้คนจำนวนมากถูกสังหารล้มตาย คนที่เหลือรอดก็ต้องใช้ชีวิตด้วยความกลัวในสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่ง

ธรรมชาติไม่อาจฟื้นฟูได้ทันการทำลายล้าง ผืนดินแตกระแหงไม่สามารถใช้เพาะปลูกได้

ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ทุกๆวันจะต้องมีคนตายจากความอดอยาก

เพื่อชิงดินแดนที่ถูกแย่งไปกลับมา ทหารและอัศวินมากมายต้องเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ในท้ายที่สุดก็ยังชิงมาไม่สำเร็จ

เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง บางครั้งมนุษย์ก็ต้องเหยียบย่ำชีวิตของผู้อื่นเพื่อเอาตัวรอด

ผู้คนสามารถมีได้เพียงร่างกายที่ซูบผอมและสายตาอันไร้ซึ่งชีวิต

วันรุ่งขึ้นนั้นไร้ความหวัง ผู้คนทั้งหลายถูกความสิ้นหวังในจิตใจกดทับ

ถึงแม้เซนต์จะปราบแม่มดได้สำเร็จ นั่นก็เป็นเพียงการทุเลาบาดแผลในชั่วขณะเท่านั้น

“สุดท้ายมันก็จะถูกทำลายโดยแม่มดอยู่ดี”

ห้าปีนั้นไม่เพียงพอในการสร้างสิ่งที่สูญเสียไปกลับมา

ถึงแม้ประชาชนจะยินดีปรีดาต่อความสงบสุข แต่ลึกๆในใจนั้นพวกเขาได้ยอมแพ้ไปแล้ว

นอจากนี้ยังมีผู้คนที่…ในยามที่สงบสุข ก็เลือกที่จะต่อสู้กันเอง

ต้องการทรัพยากรเตรียมพร้อมสำหรับยุคมืดครั้งต่อไป ต้องมีมากกว่านี้ ต้องเตรียมพร้อมมากกว่านี้

ความต้องการนี้นำไปสู่การลักขโมยผลผลิตของเพื่อนบ้าน ปล้นเพื่ออาหาร ต่อสู้กันเพื่อทรัพยากร…บางครั้งเรื่องพรรค์นี้ก็ขยายกบายเป็นเรื่องใหญ่ฌต นำไปสู่สงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกัน

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความกลัวต่อสิ่งที่จะมาถึงใน”รุ่นต่อไป”

ตัวไอส์เองก็ผ่านสงครามเช่นนั้นมาแล้วมากกว่าครั้งสองครั้ง

อาหารขาดแคลน ป่าไม้และไร่นาถูกเผาทำลาย ผู้คนล้มตายจากความหิวโหย

แค่แบ่งปันให้เพื่อนบ้าน…นั่นก็ทำไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงอาหารส่วนของตนที่ลดลง และนำไปสู่โอกาสที่จะตายจากความอดอยากมากขึ้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นปกติที่จะมีคนที่ต้องการกว้านซื้อกักตุนอาหารไว้แต่เพียงผู้เดียว ใช้อำนาจและเงินตราทั้งหมดที่มีในการซื้ออาหารมากักตุนไว้ ส่งผลให้จำนวนอาหารในตลาดลดลงไปอีก

นี่คือวงจรอุบาทว์ เพราะทรัพยาการนั้นมีจำกัด ทุกคนๆจึงพยายามที่จะกักตุนอาหารให้ได้มากที่สุด

เช่นนั้นแล้ว ต่อให้คนที่ไม่เคยคิดที่จะกักตุนอาหารก็เกิดความคิดที่ว่า “ทุกคนเริ่มกักตุนอาหารกันหมด ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็จะมีเราเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาหารเหลือในช่วงวิกฤติ” และเริ่มกักตุนอาหารเช่นกัน

นำมาสู่ภาวะมี่อาหารมีจำนวนน้อยลง…และคนที่ไม่สามารถกักตุนอาหารไว้ได้ทันก็จะตายในท้ายที่สุด

ไอส์ไม่มีทางเลือกที่จะต้องทอดทิ้งผู้คนไปบางส่วน แต่อย่างน้อยเขาก็พยายามที่จะทอดทิ้งให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขาออกกฏหมายว่าการกว้านซื้ออาหารเพื่อกักตุนนั้นเป็นอาชญากรรม และใช้อำนาจที่มีในการทำลายขุนนางที่คิดจะกักตุนอาหารมากเกินไปไว้แต่เพียงผู้เดียว

อาหารที่เขายึดมาได้นั้นก็จะถูกนำแจกจ่ายผู้คนที่ต้องการมัน

หากคิดที่จะช่วยเหลือให้ได้ทุกคน ก็จะจบลงที่ไม่สามารถช่วยใครได้เลย เขาจำใจต้องทอดทิ้งหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลบางส่วนให้จัดการกันเอง

เมื่อเขาได้ยินว่าหมู่บ้านถูกกองโจรจู่โจม เขาก็จะรอจนกว่าโจรจะกวาดล้างผู้คนในหมู่บ้านจนหมด จากนั้นค่อยส่งทหารไปปราบโจรเพื่อเก็บอาหารที่เหลือมา

เขาบังคับให้ทั้งตัวเองและครอบครัวอดอาหาร

แม้บุตรของเขา อูคอน จะเป็นเติบโตมาอ้วนท้วน…แต่จริงๆแล้วตอนสมัยเด็กนั้นผอมเป็นไม้เสียบผี

เขารู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นโหดร้าย

ไอส์รู้ดีว่ามีผู้คนมากมายที่คิดแค้นในตัวเขา เขาถึงสาปแช่งให้ไปตายจากขุนนางและประชาชนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ถึงอย่างนั้น…ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอ

เขาตกต่ำถึงเพียงนี้ ขจัดคุณธรรมในใจทิ้งไป กลายเป็นอสูรกายในคราบมนุษย์ก็เพื่อประชาชนของตัวเอง…แต่กระนั้นแล้ว ประชาชนของเขาก็ยังล้มตายอยู่ดี

ผู้คนไม่เคยหยุดขัดแย้งกัน พวกเขาสู้รบกันเพื่อแย่งชิงทรัพยาการและอาหาร หวาดกลัวถึงการมาถึงของแม่มด”รุ่นต่อไป”

ความเมตตา กรุณา และมิตรภาพ…ของแบบนั้นน่ะสามารถมีได้ในตอนที่ว่างเท่านั้นล่ะ ไอส์รู้เรื่องนี้ดี

เมื่อชีวิตสงบสุข ผู้คนก็จะมีเวลาว่างพอให้ช่วยเหลือผู้อื่นได้

แต่ในภาวะวิกฤติ ผู้คนยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองปลอดภัย

นั่นไม่ใช่ความชั่วร้าย เป็นเพียงเรื่องปกติของมนุษย์

ชีวิตที่อันตรายน่ะไม่มีความสงบสุขหลงเหบือในจิตใจหรอกนะ

แต่ในช่วงเจ็ดปีที่เอลริสดำรงตำแหน่งเซนต์มานี้ เรื่องมันต่างออกไป

ผลผลิตงอกงามราวกับได้รับพรจากธรรมชาติ

ผู้คนได้รับความสงบในจิตใจ พวกเขาเริ่มร่วมมือกันก่อให้เกิดมิตรภาพ ความเมตตาในมนุษยชาติค่อยๆถือกำเนิดขึ้น

บุตรชายของเขาที่ก่อนหน้านี้ต้องอดอาหารกลับกินดีอยู่ดีในทุกๆวัน

ขอให้โลกที่สวยงามนี้คงอยู่ต่อไปถึงอนาคตด้วยเถิด

โลกที่”รุ่นต่อไป”ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวในแม่มดอีกแล้ว…เขาต้องการที่จะส่งต่อโลกเช่นนั้นให้แก่เซนต์รุ่นหลัง

.

ดูเหมือนว่าในระหว่างที่ชั้นไม่อยู่จะมีการต่อสู้แบบจริงจังเกิดขึ้นแฮะ

ในระหว่างที่นอนกลิ้งอยู่บนเตียง ชั้นก็ยังได้ยินทุกอย่างที่อยู่ด้านนอก

ได้ยินหมดนั่นแหละ

ก็แค่ใช้เวทย์ลมนำเสียงมาส่งตรงถึงหูชั้น ไม่ใช่เรื่องยาก

ชั้นมีรุ้นอัพเกรดของเวทย์นี้ที่ผสมเวทมนตร์สายฟ้าเข้าไปเพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นกระแสไฟฟ้า ทำให้เสียงถูกส่งมาถึงเร็วยิ่งกว่าเดิม

“ต่อให้ข้าถูกเรียกโดยคนรุ่นหลังว่าเป็นอาชญากรที่โฉดชั่วที่สุดในประวัติศาสตร์ ถ้าเพื่อรักษาความสงบสุขนี้ไปให้นานที่สุดล่ะกัน ข้าก็จะทำ! นี่คือหน้าที่ของพวกเราในฐานะคนของยุคสมัยนี้!”

“เพื่อเรื่องแบบนั้น! คุณก็แค่จับท่านเอลริสขังไว้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง!”

ราชาไอส์ที่จับชั้นขังกำลังคุยกับเวอร์เนลที่ดูเหมือนจะมาช่วยขั้นอยู่

บางครั้งก็ได้ยินเสียงเหล็กกระทบ แต่คนที่สู้กับเวอร์เนลอยู่เห็นจะไม่ใช่ตัวราชาเอง แต่เป็นสต๊อกโกะ

นี่ชั้นโดนทรยศเหรอเนี่ย เอลริสผู้นี้มีตาหามีแววไม่

จากอีกด้านนึงชั้นได้ยินเสียงไอ้แว่นโรคจิตสาทยายจุดแข็ง จุดอ่อน และวิธีการต่อสู้ของพวกเวอร์เนลให้พวกทหารฟัง

อา เข้าใจล่ะ…มันย้ายอีเวนต์ลักพาตัวมารวมกับอีเวนต์จับขังนี่เอง

รู้สึกเหมือนเห็นวงล้อแห่งโชคชะตาหมุนอยู่เลย

ก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีหรอกนะ

ก็นะ…ถ้ามาถึงขนาดนี้แล้ว จะยอมให้พากลับไปด้วยก็ได้นะ

จริงๆก็อยากใช้ชีวิตนีทต่อไปหรอก แต่ถ้าชั้นไม่อยู่นานเกินไปแล้วแม่มดคิดว่า “นี่อาจจะเป็นโอกาส”แล้วหนีจากโรงเรียนไปนี่มันจะยุ่งเอา

ที่แม่มดไม่เทเลพอร์ตหนีแต่แรกก็เพราะเทเลพอร์ตส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อร่างกายของแม่มด

ขนาดในเกมแม่มดยังอ่อนแอลงหลังใช้เทเลพอร์ตไปแล้วเลย

สปีดรันบางเจ้าก็จะใช้วิธีให้เธอเทเลพอร์ตหนีไปก่อนิจากนั้นค่อยตามไปสู้ทีหลัง ก็จะสามารถจัดการแม่มดได้ตั้งแต่เลเวลตัวละครยังน้อยอยู่

เปลี่ยนตัวเองเป็นละอองเล็กๆแล้วเอากลับมารวมตัวกันใหม่นี่คงจะส่งผลกับร่างกายน่าดู

สำหรับแม่มดแล้ว ถ้าเลี่ยงได้ก็คงอยากเลี่ยง

แต่เพราะในโรงเรียนนั้นอันตรายเกินกว่าที่เธอจะออกมาเพ่นพ่านได้

เราคอยป้อนข้อมูลปลอมให้เธอก็จริง…แต่คนที่รับหน้าที่นั้นก็คือไอ้แว่นโรคจิตนี่นา

ตอนนี้หมอนั่นอยู่ฝ่ายคนที่จับชั้นขังซะด้วย จะให้เชื่อใจคงไม่ได้

เพราะแบบนั้น ถ้าบุกมาถึงได้สำเร็จก็กะจะยอมให้ช่วยกลับไป แต่ว่า…

“เอาล่ะ เลย์ล่าคุง พาคนพวกนี้ไปขังคุกซะ”

“…ค่ะ”

ตอนแรกก็นึกว่าจะไม่ได้สู้กันแล้ว แต่เลย์ล่าโดนกระตุ้นด้วยคำพูดของราชาไอส์และสู้กับเวอร์เนล ซึ่งก็สู้ไม่ได้มากจนโดนจับไปขัง

ก็สต๊อกโกะแข็งแกร่งนี่นา ช่วยไม่ได้หรอกเนอะ

คนอื่นๆที่มากับเวอร์เนลก็ถูกพวกทหารและอัศวินจับได้

สุดท้ายเอเทอร์น่าก็โดนสต๊อกโกะจับ ทีมกู้ภัยโดนจับหมด เกมโอเวอร์

หรือนี่เป็นอีเวนต์บังคับแพ้?

เอิ่ม…

นี่ตกลงพวกแกมาทำไมเนี่ย?

ก็อยากจะพูดอย่างนั้นน่ะนะ แต่แบบนี้คงปล่อยไว้เฉยๆไม่ได้

ถ้าปล่อยไว้ล่ะก็ พวกเขาอาจจะโดนจำคุกข้อหาก่อกบฏต่อราชวงศ์ อาจโดนเนรเทศ หรือกระทั่งประหารเลยก็ได้

ช่วยไม่ได้แฮะ

พอรู้แล้วว่าเลย์ล่าไม่ได้โดนจับเป็นตัวประกัน แต่จริงๆแล้วฮั้วกับอีกฝ่ายอยู่ ถ้าอย่างนั้นชั้นก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว

ชั้นร่ายเวทมนตร์ใส่ประตูเพื่อปลดล็อก

ได้เวลาไปช่วยปาร์ตี้ของเวอร์เนลคุงที่อุตส่าห์มาเพื่อช่วยชั้น

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

Status: Ongoing
[บุปผานิรันดร์ร่วงโรย] ไม่เหมาะสมที่จะถูกเรียกว่าเกมจีบสาว เพราะไม่ว่าเลือกรูทไหน นางเอกหลักก็จะต้องตายในทุกรูทไป ฟุโดว นิอิโตะ เข้านอนทันทีหลังจากผ่านฉากจบของเกมที่ไม่น่าพอใจ เมื่อเขาตื่นมา เขาก็พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในร่างของตัวละครเซนต์ตัวปลอมผู้น่ารังเกียจ เอลริส ถึงแม้จะสับสน แต่เขาเข้าใจว่าการกระทำของเอลริสจะส่งผมกระทบร้ายแรงต่อตัวละครมากมายในอนาคต เขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อเปลี่ยนเแปลงประวัติศาสตร์ของเกม กลับกลายเป็นว่า ถึงแม้ข้างในจะเน่าเหม็น แต่เอลริสกลับถูกยกย่องโดยผู้คนทั่วโลกในฐานะของเซนต์ผู้สมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเกมที่อยู่ในโลกเก่าก็ถูกเปลี่ยนไปด้วยตามการกระทำของเอลริสผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ข้างนอกคือเซนต์ ข้างในคือชายใจทราม ผู้เกิดใหม่นิสัยสารเลวที่เกิดในร่างของตัวละครสารชั่ว! การรวมกันของขยะเปียกและขยะแห้ง เกิดเป็นเซนต์ตัวปลอมผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท