เมื่อสืออีเหนียงต้องการที่จะรู้บางเรื่องก็มักจะสามารถหาวิธีที่ได้ผลได้เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นนางดูแลเรื่องเสื้อผ้าอาหารการกินในจวนสกุลสวีมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรือนในหรือเรือนนอกก็ล้วนจะมีคนที่ใช้งานได้จำนวนมาก เพื่อการไล่ล่าตั่วเหยียนแล้ว จิ่นเกอพาทหารม้าของกองทัพอวี๋หลินสามพันนายเข้าไปในฉ่าวหยวน หลังจากที่กงตงหนิงรู้ เขาก็ได้ส่งแม่ทัพที่มีความสามารถที่สุดของเขาไปทันทีเพื่อนำทหารม้าทั้งหมดตามไป ระหว่างทางพบเพียงคนตายและผู้บาดเจ็บของกองทัพอวี๋หลินและทหารม้าของเผ่าตาดมองโกล แต่กลับไม่พบร่องรอยของจิ่นเกอเลย
“…บอกว่าได้มีการนับจำนวนคนดูแล้ว ในมือของคุณชายน้อยหกมีคนมากสุดก็เพียงสามพันคนเจ้าค่ะ!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ หู่พั่วก็อดเอามือปิดปากร้องไห้ไม่ได้
ดวงตาของสืออีเหนียงพร่ามัว เป็นลมล้มพับท่ามกลางเสียงร้องอุทานของบรรดาสาวใช้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นางได้ยินเสียงจิ่นเกอกำลังร้องเรียกนาง “ท่านแม่ ท่านแม่ ทำไมท่านยังไม่ลุกขึ้นมาอีก ดูสิว่าข้าเอาอะไรกลับมาฝากท่าน!”
จิ่นเกอที่สวมชุดเครื่องแบบทหารยืนอยู่หน้าเตียงของนางด้วยรอยยิ้ม ในมือยังถืออะไรบางอย่าง หยอกล้อนางราวกับเด็กน้อย
จิ่นเกอไม่ได้เป็นอะไรหรือ
สืออีเหนียงดีใจเป็นอย่างมาก
ขณะที่กำลังจะถามเขา เขากลับหันหลัง แล้วหัวเราะกับกลุ่มสตรีที่มีใบหน้าเลือนลางสวมชุดสีสันสวยงามรอบล้อมตัวเขาอยู่
สืออีเหนียงตะโกนเรียก “จิ่นเกอ”
จิ่นเกอดูเหมือนจะไม่ได้ยิน หัวเราะพูดคุยกับบรรดาสตรีเหล่านั้น พูดพลางเดินออกไปข้างนอก ราวกับว่ารีบร้อนจะไปพบใครอย่างไรอย่างนั้น
เขายังไม่ได้บอกนางเลยว่าเขารอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างไร
สืออีเหนียงเป็นกังวล รีบลุกขึ้นมาตะโกนเรียกชื่อบุตรชาย
แต่กลับมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา
นางเบิกตากว้าง
ในห้องเงียบสงัดและมืดมิด มีโคมไฟตั้งโต๊ะทรงกลมอยู่ข้างเตียง แสงจากโคมไฟสว่างไสว ยิ่งทำให้ห้องดูเงียบสงบกว่าเดิม
เมื่อครู่คงฝันไปกระมัง!
ดวงตาสืออีเหนียงเปียกชื้น รู้สึกว่ามีน้ำตาไหลออกมาจากหางตา
นางเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าข้างหมอนด้วยความเคยชิน
ในห้องกลับมีเสียงดังกรอบแกรบที่แทบจะไม่ได้ยิน
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำแต่แหบพร่าดังขึ้นในความมืด “เจ้า…เจ้าตื่นแล้วหรือ”
สืออีเหนียงบีบมุมผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นก่อนที่จะดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่หางตา
“อยากทานอะไรหรือไม่” สวีลิ่งอี๋มองใบหน้าขาวซีดที่เกือบจะโปร่งใสของนางพลางถามอย่างแผ่วเบา
สืออีเหนียงปิดปากแน่น ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง เกลี้ยกล่อมนางอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้มีอีกหนึ่งคนอยู่ในตัวของเจ้า หากไม่ห่วงตัวเองก็ควรเป็นห่วงอีกคนหนึ่ง ข้าให้ห้องครัวต้มโจ๊กรังนกให้เจ้าแล้ว เจ้าทานสักหน่อยก็ยังดี” เขาพูดเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ตะโกนเรียกเหลิ่งเซียงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
สืออีเหนียงจับจ้องสวีลิ่งอี๋
สีหน้าของเขาสงบนิ่ง เคร่งขรึม ใจเย็น…ราวกับว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่ความจริงได้เกิดเรื่องขึ้นกับจิ่นเกอมาหกเจ็ดวันแล้ว…หกเจ็ดวัน หมายความว่าอย่างไร…หมายความว่าได้เลยเวลาช่วยเหลือที่ดีที่สุดไปแล้ว…เขาเป็นบุรุษ เคยปราบปรามเผ่าตาดมองโกลไม่ให้กล้ามาเหยียบด่านหุบเขาจยาอวี้นานกว่าสิบปี เมื่อได้ยินข่าวของจิ่นเกอ เขาก็ควรจะคิดหาวิธีช่วยบุตรชายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหตุใดจึงได้นั่งอยู่ตรงนี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำยังเกลี้ยกล่อมให้นางทานโจ๊กรังนก…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทันใดนั้นนางก็เกิดความรู้สึกเกลียดชังขึ้นในใจ ปัดชามโจ๊กที่เขายื่นมาตกลงบนพื้น
เพล้ง! เสียงเครื่องลายครามที่แตกกระจายนั้นดังขึ้นในคืนอันเงียบสงบ
สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงด้วยความประหลาดใจ
เหลิ่งเซียงที่อยู่ด้านข้างยืนตัวสั่นระริก
สืออีเหนียงลุกขึ้นนั่ง มองไปที่สวีลิ่งอี๋ “ข้าจะไปตามหาจิ่นเกอ! ข้าทำเหมือนท่านที่เอาแต่นั่งรอข่าวอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก!” น้ำเสียงเย็นชาและห่างเหิน
สวีลิ่งอี๋หน้าซีดทันที
เขาขยับมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็เม้มปากแน่น
สืออีเหนียงเลิกผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง
อาจเป็นเพราะนอนนานเกินไป แล้วยังลุกขึ้นจากเตียงอย่างกะทันหัน หรืออาจเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์ร่างกายจึงอ่อนแอ นางรู้สึกหนักหัวและไม่มีแรง ตาทั้งสองข้างพร่ามัว ยืนทรงตัวไม่อยู่รีบคว้าหัวเตียงไม้แกะสลักหยัดกายเอาไว้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” สวีลิ่งอี๋สีหน้าเป็นกังวล มือหนึ่งโอบเอวของนางไว้ อีกมือหนึ่งพยุงที่ข้อศอกของนาง กอดนางไว้ในอ้อมแขน “ไม่สบายตรงไหน หมอหลวงหลิวมาตรวจแล้ว บอกว่าตอนที่เจ้าให้กำเนิดจิ่นเกอได้ทำให้กำลังของเจ้าอ่อนแอลง ในช่วงหลายปีมานี้ได้พยายามรักษาร่างกาย ไม่ง่ายเลยกว่าจะดูแลสุขภาพให้ดีได้ เมื่อตั้งครรภ์อีกครั้งก็ไม่สามารถทนต่อความทรมานได้อีกแล้ว ทำอะไรต้องระมัดระวัง…” พูดพลางนั่งลงข้างเตียงกับนาง
อะไรคือความทรมาน อะไรคือระมัดระวัง
แม้แต่ลูกของตัวเองก็ปกป้องไว้ไม่ได้ ทรมานหรือไม่ทรมาน ระวังหรือไม่ระวัง แล้วจะมีประโยชน์อะไร
สืออีเหนียงอ้าปากอยากจะคัดค้าน แต่อกของนางกลับรู้สึกกระอักกระอ่วน รู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋สีหน้าเป็นกังวล
ผ่านมาสามเดือนแล้ว แต่กลับอาเจียนขึ้นมา…หมอหลวงหลิวบอกว่าแม้ว่าการตั้งครรภ์ของนางครั้งนี้จะไม่ได้รู้สึกไม่สบายเหมือนครรภ์แรก แต่อย่างไรเสียก็อายุมากแล้ว ต้องดูแลร่างกาย อย่าให้มีอารมณ์โกรธเคือง…นางจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว เขาก็อดลูบหลังนางเบาๆ ไม่ได้ อยากช่วยบรรเทาความรู้สึกไม่สบายของนาง
สืออีเหนียงกลับยิ่งอาเจียนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็อาเจียนออกมาจนไม่มีอะไรเหลือนอกจากน้ำ
สวีลิ่งอี๋หน้าซีดด้วยความตกใจ ไม่มีเวลามาสนใจชามโจ๊กที่ถูกสืออีเหนียงปัดตกพื้น รีบให้เหลิ่งเซียงไปเรียกสะใภ้วั่นมาแล้วกำชับหู่พั่วที่เข้ามาหลังจากได้ยินเสียง “ไปจุดกำยานกล่อมนอน”
หู่พั่วรีบรับคำแล้วออกไป สืออีเหนียงเอามือกุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวด “ข้าจะไปตามหาจิ่นเกอ!” ทั้งๆ ที่พูดเสียงดัง แต่เสียงที่เปร่งออกมากลับเหมือนเสียงยุงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“ข้าให้คนไปตามหาแล้ว!” สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางรักความสะอาด เมื่อเห็นสิ่งที่อาเจียนออกมาอยู่ข้างเตียงก็อุ้มนางไปที่เตียงเตาริมหน้าต่าง “เมื่อมีข่าวข้าจะบอกเจ้าทันที!” ไม่กล้าพูดว่าไม่ให้นางเป็นกังวล
“ท่านหลอกข้า!” สืออีเหนียงรู้สึกเพียงว่าทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง แสงไฟแสบตาเป็นพิเศษ ยกมือขึ้นมาบังดวงตา “ถ้าหากข้าไม่ได้ตั้งครรภ์ ไม่แน่อาจจะยังไม่รู้เรื่องของจิ่นเกอ…”
สวีลิ่งอี๋รับผ้าห่มผืนบางจากป้าซ่งมาห่มให้สืออีเหนียง เมื่อเห็นหู่พั่วยกกระถางกำยานกล่อมนอนสามอันเข้ามา ก็ถอนหายใจเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ตอนนี้เจ้าร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนก่อนเถิด พอเจ้าตื่นขึ้นมาแล้วพวกเราค่อยคุยกัน ดีหรือไม่”
อาการวิงเวียนศีรษะได้หายไปแล้ว ตอนนี้สืออีเหนียงใจร้อนดั่งไฟ ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ดิ้นรนจะลุกขึ้น ถามหู่พั่ว “ตอนนี้ยามไหนแล้ว”
หู่พั่ววิ่งไปดูนาฬิกาไขลาน “ตอนนี้ยามอิ๋นแล้วเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นก็ใกล้เช้าแล้ว” สืออีเหนียงพูดพึมพำ สวีลิ่งอี๋จับไหล่นาง “มีเรื่องอันใดก็นอนลงก่อนแล้วค่อยคุยก็ได้”
สืออีเหนียงปัดมือสวีลิ่งอี๋ออก พูดกับหู่พั่วว่า “เจ้าไปกำชับคนในคอกม้าให้เตรียมรถม้าให้ข้า จากนั้นก็ไปเก็บเสื้อผ้าและอาหารแห้งให้ข้า บอกกับว่านต้าเสี่ยนว่าให้เขาไปอวี๋หลินกับข้า”
หู่พั่วน้ำตาคลอ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่สวีลิ่งอี๋มองมา ขานรับคำด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “เจ้าค่ะ” แล้วรีบออกไป
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจในใจ “เจ้าอย่าร้อนใจไป ข้าจะไปกับเจ้า!” พูดพลางจับมือขวาของนาง กดบริเวณจุดเสินเหมิน
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว “ข้าเจ็บเจ้าค่ะ!”
“ประเดี๋ยวก็หาย!” สวีลิ่งอี๋จูบที่ขมับของนาง “จุดเสินเหมินรักษาความกังวลใจ ความตื่นตระหนก เมื่อกดที่จุดนี้จะดีต่อร่างกายของเจ้า”
ซ้ำยังกระตุ้นการนอนหลับ
เวลาไหนควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร สวีลิ่งอี๋รู้ดีอยู่เสมอ
หากจะไปตามหาจิ่นเกอ ร่างกายนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก
สืออีเหนียงไม่ได้ปฏิเสธ
หลังจากเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เวียนหัวแล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่จะหลับไป นางแอบตะโกนว่า ‘ไอ๊หยา ลืมให้หู่พั่วยกกระถางกำยานกล่อมนอนออกไป…’ ในใจ
หลายวันผ่านมา นางกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตลอด บางครั้งก็รู้สึกกระหายน้ำมาก มีคนเอาของเย็นมาป้อนให้นางเล็กน้อย ลำคอและอกของนางชุ่มฉ่ำราวกับทุ่งหญ้าแห้งเหี่ยวที่ถูกรดด้วยน้ำแร่ก็ไม่ปาน ลมหายใจที่คุ้นเคยทำให้นางรู้ว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนป้อนนาง นางอยากจะลืมตาขึ้นมาดู แต่ดูเหมือนว่าเปลือกตาของนางจะหนักมาก ทำอย่างไรก็ลืมไม่ขึ้น บางครั้งก็ได้ยินเสียงพูดคุยพึมพำ ราวกับสอดแทรกด้วยเสียงของสวีลิ่งอี๋ นางเงี่ยหูอยากจะฟังให้ชัดเจน แต่กลับได้ยินเพียง “ท่านน้า” และ “เป็นเราที่ประมาทเอง” ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ยินอะไรอีก…
ทุกครั้งที่นางตื่นอย่างสะลึมสะลือ นางจะได้กลิ่นกำยานกล่อมนอนที่หอมหวาน
สวีลิ่งอี๋ทำอะไรบางอย่างให้นางไม่สามารถไปตามหาจิ่นเกอได้!
สืออีเหนียงได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋กอดนางไว้ พูดพึมพำข้างหูของนางอยู่ตลอด เสียงแผ่วเบาและอ่อนโยน เหมือนกับเพลงกล่อมเด็ก ทั้งยังลูบหลังนาง นางจึงผล็อยหลับไปอีกครั้ง
ในความสะลึมสะลือ มีคนใช้ผ้าเช็ดหน้าให้นาง ต่างจากความอบอุ่นที่ทำให้คนรู้สึกอยากนอนในครั้งก่อน ครั้งนี้น้ำค่อนข้างเย็นเล็กน้อย
พลอยทำให้นางรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เสียงที่ทั้งตกใจและดีใจของหู่พั่วดังอยู่ข้างหู “ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านรีบตื่นขึ้นมาเถิด หาคุณชายน้อยหกพบแล้ว หาคุณชายน้อยหกพบแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยายามลืมตาขึ้นมา
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหู่พั่วปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
“ฮูหยิน เป็นเรื่องจริง หาคุณชายน้อยหกพบแล้ว…ซ้ำยังจับตัวตั่วเหยียนผู้นั้นได้ด้วย หัวหน้าหน่วยหลี่คุ้มกันคุณชายน้อยหกกลับต้าถงด้วยตัวเอง…เช้าตรู่วันนี้ ฮ่องเต้มีราชโองการบอกว่าคุณชายน้อยหกหาตัวตั่วเหยียนพบ เป็นผลงานยิ่งใหญ่ แต่งตั้งคุณชายน้อยหกเป็นอู่จิ้นปั๋ว อีกไม่กี่วันคุณชายน้อยหกก็จะติดตามซีหนิงโหว อ้อ! ก็คือใต้เท้ากงกลับเยี่ยนจิงมาด้วยกัน แล้วยังต้องไปทำพิธีมอบเชลยที่ประตูวังอีกด้วยเจ้าค่ะ!”
จริงหรือ!
สืออีเหนียงอยากจะถามหู่พั่ว แต่คอของนางนั้นแหบแห้งพูดไม่ออก นางมองไปรอบๆ เห็นอิงเหนียง ป้าซ่ง เหลิ่งเซียง หันเซี่ยว หรือแม้กระทั่งชิวจวี๋กับเยี่ยนหรงที่ออกจากจวนไปนานแล้ว ทุกคนล้วนมีน้ำตาคลอเบ้าพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่รอบตัวนาง…แต่กลับไม่เห็นสวีลิ่งอี๋
หู่พั่วย่อมรู้ความคิดของนางดีที่สุด ยิ้มแล้วพูดว่า “ยงอ๋องกับซุ่นอ๋องมาหา ท่านโหวกำลังพูดคุยเป็นเพื่อนอยู่ที่ห้องโถงบุปผาเจ้าค่ะ” แล้วพูดต่ออีกว่า “เรื่องของคุณชายน้อยหก เกรงว่าตอนนี้จะแพร่กระจายไปทั่วเยี่ยนจิงแล้ว ยงอ๋องกับซุ่นอ๋องก็มาเพื่อขอดื่มสุราแสดงความยินดีเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ เป็นความจริงเจ้าค่ะ!” เมื่ออิงเหนียงเห็นว่าสืออีเหนียงมีสีหน้าสับสนก็ยิ้มพลางพยักหน้า “ที่จริงหลายวันมานี้พี่สะใภ้สี่คอยปรนนิบัติท่านอยู่ข้างเตียง เป็นท่านพ่อที่ให้คนครัวจัดเตรียมอาหารและสุรา พี่สะใภ้สี่เลยได้ออกไปจัดเตรียม…”
หมายความว่าจิ่นเกอไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ!
ตั้งแต่หายตัวไปจนปลอดภัยกลับมา ซ้ำยังทำผลงานยิ่งใหญ่…แตกต่างกันมากเกินไปแล้ว
สืออีเหนียงน้ำตาไหลริน
ทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้ตาม
เสียงที่เป็นกังวลของสวีซื่อเจี้ยดังอยู่นอกหน้าต่าง “อิงเหนียง เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ท่านแม่ตื่นแล้ว กำลังดีใจอยู่เจ้าค่ะ!” อิงเหนียงรีบตอบ เมื่อหันกลับไปเห็นสืออีเหนียงกำลังมองนางอยู่ก็รีบอธิบายว่า “หลายวันมานี้ท่านหลับไปไม่ยอมตื่น ท่านพ่อคอยดูแลอยู่ข้างกายท่านเสมอ คุณชายน้อยสี่กับท่านพี่ยังเฝ้าอยู่นอกห้องอยู่ตลอด…”
นางยังไม่ทันพูดจบก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามา “ฮูหยิน คุณนายน้อยห้า องค์หญิงเจียงตูมาเจ้าค่ะ!”