จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 486-490

ตอนที่ 486-490

บทที่ 486 : สามสาวมหาภัย (1)
  บริเวณลานด้านในของสำนักเวชโอสถ
  ซูฮงยืนอยู่ด้านนอกประตูสำนักเพื่อรอพบไป๋จั่นเผิง เขาเดินไปเดินมาราวหนูติดจั่น ขณะเดียวกันก็มองลานบ้านเป็นครั้งคราว
  เขาต้องแจ้งนายน้อยว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่สำนักเวชโอสถ
  ทันใดนั้นเองผู้คุ้มกันที่เข้าไปรายงานก็เดินกลับออกมา
  นัยน์ตาของซูฮงสดใสขึ้นทันทีเขารีบเอ่ยถามว่า
  “นายน้อยว่าอย่างไรบ้าง?”
  ”โปรดกลับไปก่อนเถอะผู้อาวุโสซูฮงข้าเกรงว่าตอนนี้ท่านคงยังไม่อาจพบนายน้อย เพราะนายน้อยกำลังปรึกษาหารือกับผู้อาวุโสท่านอื่น ๆ อยู่”
  ปรึกษาหารือ?
  ซูฮงขมวดคิ้ว”มีสิ่งใดสำคัญไปกว่างานชุมนุมหมอปรุงยาอีกงั้นรึ ?”
  ”ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัดหากแต่ข้าได้ยินมาว่านายน้อยพูดถึงคุณหนู นี่อาจเกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่”
  แม้ซูฮงจะเรียกเย่หยิงว่าคุณหนูใหญ่ทว่าฐานะของเย่หยิงก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน เช่นนั้นตอนนี้คุณหนูใหญ่ที่เอ่ยถึงจึงมีเพียงคนเดียว
  ทันใดนั้นหัวใจของซูฮงพลันตึงเครียด แววตาของเขาแลดูตื่นเต้น
  ”จริงหรือ? นายน้อยกำลังคุยเรื่องของคุณหนูใหญ่จริง ๆ หรือ ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าคุณหนูใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ?”
  เยี่ยมจริงๆ
  เยี่ยมมากๆ !
  ทันใดนั้นเองในใจของซูฮงพลันปรากฏภาพใบหน้าหนึ่งขึ้นมา ใบหน้านั้นทำให้เขาตกใจ
  เดี๋ยวนะ!
  แม่นางไป๋เมื่อครู่เหตุใดแม่นางไป๋จึงแลดูคล้ายกับคุณหนูใหญ่ ?
  ก่อนที่ไป๋หนิงจะหายตัวไปซูฮงยังไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้อาวุโส เช่นนั้นความทรงจำที่มีเกี่ยวกับไป๋หนิงจึงค่อนข้างเลือนลาง ดังนั้นเมื่อเห็นไป๋หยาน เขาจึงไม่ทันคิดถึงไป๋หนิง
  ทว่าตอนนี้ทันทีที่เขาได้ยินคำบอกเล่าของผู้คุ้มกัน เขาก็หวนคิดถึงไป๋หนิงขึ้นมาได้ แล้วเขาก็พบว่า ใบหน้าของไป๋หยานนั้นคล้ายกับไป๋หนิงมากเลยทีเดียว
  บังเอิญ!
  ต้องเป็นเรื่องบังเอิญ!
  ซูฮงปลอบใจตนเองเขาพยายามไม่คิดสงสัยในเรื่องนี้
  และนี่ทำให้เขาพลาดโอกาสสุดท้ายอย่างน่าเสียดาย
  ”เมื่อไหร่นายน้อยจะออกมาเสียที?” ซูฮงเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วเล็ก ๆ
  ผู้คุ้มกันส่ายศีรษะ”อาวุโสซูฮง ท่านควรกลับไปก่อน ข้าเพิ่งได้ยินจากนายน้อยว่า เขามีเรื่องต้องหารือกับผู้อาวุโสหลายท่านคงใช้เวลาอีกหลายวัน หากท่านมีเหตุจำเป็นจริง ๆ ท่านก็สามารถเข้าพบท่านเจ้าสำนักก่อนได้”
  ซูฮงยิ้มอย่างเซ็งๆ
  เจ้าสำนักไม่ได้อารมณ์ดีเท่านายน้อยหากท่านเจ้าสำนักรู้ว่าเขาเกือบจะขับไล่ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ท่านเจ้าสำนักจะต้องถลกหนังเขาเป็นแน่
  เพียงคิดว่าหากพฤติกรรมของเขาล่วงรู้ไปถึงหูของท่านเจ้าสำนักเขาก็ไม่สบายใจนัก
  *****
  คฤหาสน์เจ้าสำนัก
  ตั้งอยู่ศูนย์กลางของสำนักเวชโอสถ
  การป้องกันของที่นี่เข้มงวดมากอีกทั้งยังแข็งแกร่งมาก บางครั้งผู้คุ้มกันก็เดินตรวจตราพร้อมด้วยสัตว์อสูร
  ยามนี้ณ บริเวณลานคฤหาสน์ ไป๋ฉางเฟิ่งคำรามด้วยความโกรธ เสียงของเขาก้องดังแม้ในระยะไกล ส่งผลให้ทุกคนในสำนักเวชโอสถต้องถอยห่าง
  ด้วยเกรงว่าจะโดนลูกหลงจากความโกรธของท่านเจ้าสำนัก
  ”ไป๋จั่นเผิงหายหัวไปไหน? หลานสาวของข้ามาถึงสำนักเวชโอสถหรือยัง ? นี่ เขาจะให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้าได้เมื่อไหร่กัน ?”
  ชายชราก้มหัวลง
  หากเจ้าสำนักเวชโอสถรู้ว่าไป๋หยานกับลูกเดินทางมาถึงแล้วทว่าไป๋จั่นเผิงไม่ยอมบอกเขา เขาคงโกรธมากพอที่จะถล่มโลกทั้งใบ !
  ”เรียนท่านเจ้าสำนักตอนนี้นายน้อยกำลังเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสของสำนักเวชโอสถ พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับการรับรองตัวตนของแม่นางไป๋หยาน”
  ”รับรองอะไรกัน? ยังมีอะไรต้องรับรองอีก ใบหน้าของหยานเอ๋อก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดแล้ว !”
  ไป๋ฉางเฟิ่งหนวดกระดิกผู้อาวุโสของสำนักเวชโอสถตาบอดกันหมดหรือไร ? ดูไม่ออกหรือว่าใบหน้าของไป๋หยานเหมือนบุตรสาวของเขามากเพียงใด ?
  ***จบบทสามสาวมหาภัย (1)***

บทที่ 487 : สามสาวมหาภัย (2)
  ”ท่านเจ้าสำนักที่นายน้อยกังวลก็มิใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นจะยอมรับก็ต่อเมื่อมีหลักฐานรับรองเท่านั้น เช่นนั้นนายน้อยจึงวางแผนที่จะรับรองตัวตนของนางด้วยศาสตร์ลับของสำนักเวชโอสถก่อน”
  ไป๋ฉางเฟิ่งเย้ยหยัน”ข้าเป็นถึงเจ้าสำนักเวชโอสถ ข้าพูดหนึ่ง ผู้ใดกล้าบอกว่าสอง ? ตราบใดที่ข้าจำหลานสาวของข้าได้ ผู้ใดจะกล้าปฏิเสธอัตลักษณ์ของนาง”
  ชายชรายิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายศีรษะ
  เจ้าสำนักเป็นคนฉลาดทว่าเขาสูญเสียความเฉลียวในเรื่องของไป๋หยาน
  ”หากท่านเจ้าสำนักแค่ประสงค์รับญาติสำนักเวชโอสถย่อมไม่มีสิ่งใดขัด ทว่าหากท่านเจ้าสำนักประสงค์จะมอบสำนักเวชโอสถให้แก่คุณหนูไป๋หยาน การตัดสินใจของนายน้อยย่อมเป็นหนทางที่ดี” อาวุโสกู่กล่าว “หาไม่ ท่านจะต้องอุ้มคุณหนูไป๋ตลอดเวลา ทว่าท่านจะอยู่กับนางได้นานสักเท่าใด ? หากไม่มีท่านแล้วผู้อาวุโสเหล่านั้นจะเชื่อฟังนางหรือ ? ส่วนนายน้อย ไม่ว่าช้าหรือเร็วเขาก็จะออกจากสำนักเวชโอสถ เพื่อตามหาคุณหนูใหญ่”
  ที่สุดถ้อยคำดังกล่าวก็ทำให้หัวใจของไป๋ฉางเฟิ่งสงบลงได้ ” ใช่ เจ้าพูดถูก เมื่อครู่ ข้าโกรธมากเกินไป จั่นเผิงรู้ดีว่าข้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพียงใด เขาจึงต้องการยืนยันความสัมพันธ์ทางสายเลือด เพื่อให้นางได้รับการยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้”
  คนทั่วไปมักใช้เลือดในการระบุความสัมพันธ์ทว่าระดับพวกเขามั่นใจว่าการใช้เลือดไม่อาจระบุความสัมพันธ์ที่แน่ชัด
  ทว่ากลับกันในฐานะที่เป็นหนึ่งในขุมอำนาจที่ทรงพลัง พวกเขาจึงมีวิธีระบุความสัมพันธ์ทางสายเลือดตามแบบฉบับของตนเอง
  เพียงทว่าการพิสูจน์เช่นนี้มีราคาสูง
  ”ท่านเจ้าสำนักเข้าใจความหวังดีของนายน้อยก็ดีแล้ว”ในที่สุดอาวุโสกู่ก็ผ่อนคลายลง
  สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือเวลาเจ้าสำนักโกรธ
  ”เอาละเจ้าออกไปช่วยจั่นเผิงเถอะ ไม่ต้องมาคอยตามข้าหรอก” ไป๋ฉางเฟิ่งกล่าวอย่างหงุดหงิด “ส่วนเรื่องงานชุมนุมหมอปรุงยาครั้งนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”
  หากเทียบกับหลานสาวแล้วงานชุมนุมหมอปรุงยาจะสำคัญที่ใด ? เรื่องการรับรองตัวตนของหลานสาวต้องมาก่อน
  ”ใช่แล้ว”
  ชายชราป้องหมัดพลางโค้งคำนับก่อนจะเดินออกมาด้วยความเคารพ
  ภายหลังที่ผละจากท่านเจ้าสำนักเขาก็ตรงไปที่ห้องประชุมของไป๋จั่นเผิง
  ครั้นเสียงฝีเท้าของอาวุโสกู่หายไปลานบ้านก็เงียบสงบลง ไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขากำลังครุ่นคิดบางอย่าง
  ”ท่านเจ้าสำนัก”
  ทันใดนั้นเองผู้คุ้มกันก็รีบออกมารายงาน”เรียนท่านเจ้าสำนัก เมื่อครู่มีบางอย่างเกิดขึ้นที่สำนัก … ”
  ”ไสหัวไปซะ!”
  ไป๋ฉางเฟิ่งแผดเสียงลั่นด้วยความโกรธเขารู้สึกหงุดหงิด
  ผู้คุ้มกันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจ เขาไม่รู้ว่า เขาพูดอะไรผิดจนทำให้ท่านเจ้าสำนักโกรธ ?
  ”อย่าเอาเรื่องงานชุมนุมหมอปรุงยานั่นมารบกวนข้า!”
  ก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อย ๆ กล้าดียังไงถึงเอามารบกวนข้า ? ไม่รู้หรือไรว่าหลานสาวเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้า ?
  ”ขอรับ”
  ผู้คุ้มกันลดศีรษะลงจากนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เขากำลังจะหันหลังกลับ พลันเสียงของไป๋ฉางเฟิ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
  ”ช้าก่อน!”
  ผู้คุ้มกันหันกลับมาพร้อมทั้งกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ ขอรับ ?”
  ”เอ่อ…ข้าขอถามเจ้า” ไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้ว “ในงานชุมนุมหมอปรุงยาครั้งนี้มีการส่งบัตรเชิญไปยังอาณาจักรหลิวฮั่วบ้างหรือไม่ ?”
  บัตรเชิญที่สำนักเวชโอสถออกทุกใบจะมีชื่อของอาณาจักรหรือกลุ่มอำนาจต่าง ๆ บนบัตร
  ตัวอย่างเช่นบัตรเชิญที่ไป๋หยานนำมาก็มีชื่อของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
  และเนื่องจากไป๋หยานอยู่ในอาณาจักรหลิวฮั่วมาก่อนเช่นนั้นบัตรเชิญของนางต้องมีคำว่าอาณาจักรหลิวฮั่ว
  ผู้คุ้มกันแลดูงุนงง”เรื่องนี้ อภัยที่ผู้น้อยเองก็ไม่ทราบ … ”
  ไป๋ฉางเฟิ่งตกตะลึงเขาตบศีรษะตนเองอย่างแรง
  เขาสับสนจริงๆ
  ”ไปได้แล้วเรียกคนเฝ้าประตูเข้ามาด้วย”
  ”ขอรับ”
  ผู้คุ้มกันรีบรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
  ***จบบทสามสาวมหาภัย (2)***

บทที่ 488 : สามสาวมหาภัย (3)
  เพียงครู่ก็มีเสียงชายคนหนึ่งเดินเข้ามา หลังจากแนะนำตัวแล้ว เขาก็ยืนนิ่งต่อหน้าไป๋ฉางเฟิ่งเพื่อรอรับคำสั่ง
  ”ข้าอยากถามเจ้าว่ามีผู้ใดที่มาเยือนสำนักเวชโอสถด้วยคำเชิญจากอาณาจักรหลิวฮั่วบ้างหรือไม่ ?” ไป๋ฉางเฟิ่งรินน้ำชาพลางจิบเบา ๆ ขณะเอ่ยถามอย่างสบาย ๆ
  ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมือของเขาที่ถือถ้วยไว้ก็กุมแน่นมากเช่นกัน
  ”เรียนท่านเจ้าสำนัก มีอยู่คนหนึ่ง” น้ำเสียงของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความเคารพ อีกทั้งตื่นเต้น
  เขาเป็นเพียงคนเฝ้าประตูนับเป็นโชคดีที่ได้พบท่านเจ้าสำนักเป็นการส่วนตัว จะมีผู้ใดโชคดีเท่าเขาอีก
  เพล้ง!
  ทันใดนั้นเองไป๋ฉางเฟิ่งพลันปล่อยถ้วยชาที่ถือในมือกระทั่งตกลงพื้นแตกออกเป็นเสี่ยง
  เขาลุกขึ้นยืนทันทีไม่นานใบหน้าชราพลันเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น
  ”ที่มาจากอาณาจักรหลิวฮั่วเป็นสตรีใช่หรือไม่? นางสวยหรือไม่ ? ตอนนี้นางอยู่ที่ใด ? พาข้าไปพบนางหน่อย !”
  ครั้นได้ยินถ้อยคำถามจากไป๋ฉางเฟิ่งอีกทั้งสีหน้าตื่นเต้นของเขา ทุกคนในที่นั้นต่างก็ยืนตัวแข็ง
  ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคิดไปในทางที่ว่าภรรยาของเจ้าสำนักก็เสียชีวิตไปนานหลายปีแล้วบางทีท่านเจ้าสำนักอาจอยากจะมีรักครั้งใหม่กระมัง ?
  หากแต่เขาก็ไม่น่าที่จะรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นสตรี
  “เจ้า…เจ้าสำนัก”คนเฝ้าประตูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ “คนที่มาจากอาณาจักรหลิวฮั่วเป็นสตรีสาวสวยก็จริง ทว่านางก็ไม่ใช่สาวรุ่น”
  ไม่ใช่สาวรุ่น?
  ใบหน้าที่ตื่นเต้นของไป๋ฉางเฟิ่งพลันแข็งค้างทันทีร่างของเขาอ่อนแรงลงเล็กน้อย กระทั่งเขาต้องนั่งลงบนม้านั่งหิน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายและซึมเศร้า
  ไม่ใช่นางหรอกหรือ?
  นางน่าที่จะได้รับบัตรเชิญจากไป๋จั่นเผิงเหตุใดนางถึงยังไม่มาที่สำนักเวชโอสถนี้ล่ะ ? หรือเป็นเพราะนางเกลียดสำนักเรา
  ชั่วขณะนี้ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในศีรษะของไป๋ฉางเฟิ่ง
  เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยพบกับไป๋หยาน เช่นนั้นคงไม่อาจทำให้นางขุ่นเคืองใจ ส่วนไป๋จั่นเผิงเองก็ปฏิบัติต่อนางในฐานะผู้เยาว์ที่เขาเมตตาเอ็นดูจะไปรังแกนางได้อย่างไร
  หรือว่าจะมีคนใดคนหนึ่งในสำนักเวชโอสถนี้ทำให้นางขุ่นใจ? เช่นนั้นนางจึงไม่ชอบสำนักเรา เลยไม่เข้าร่วมงานชุมนุมแม้จะได้รับบัตรเชิญแล้ว ?
  ”เจ้า…เจ้าสำนัก… ” ผู้คุ้มกันมองไป๋ฉางเฟิ่งที่กำลังตัวสั่นด้วยความหดหู่
  ”มีอะไรอีก?”
  ไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้วน้ำเสียงของเขาเย็นชา
  ”แม่นางเย่หยิงขอพบท่าน”
  ผู้คุ้มกันรู้สึกกดดันอย่างหนักขณะกล่าวออกมา
  ”บอกให้นางไปซะ”
  ”แต่คุณหนู…นาง… ”
  ปัง!
  ไป๋ฉางเฟิ่งตบมือลงบนโต๊ะหินพลางกล่าวอย่างเย้ยหยัน”นางเป็นคุณหนูที่ไหนกัน ? สำนักเวชโอสถนี้ไม่มีคุณหนูเช่นนาง ไล่นางไปซะ อย่ามาให้ข้าเห็นหน้า !”
  คนเฝ้าประตูยืนงงเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดมุมมองที่ท่านเจ้าสำนักมีต่อแม่นางเย่หยิงจึงกลายเป็นเช่นนี้
  ”เจ้ามัวทำอะไรอยู่รีบไปสิ แล้วไม่ต้องให้ใครเข้ามารบกวนข้าอีก !” ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ เขาเตะข้าวของที่อยู่ข้าง ๆ
  ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาต้องอดทนกับครอบครัวของเย่ฮูหยินมามาก ทว่านับแต่นี้เขาจะไม่ทนอีกต่อไป เขาจะไม่ไว้หน้าคนพวกนั้นแล้ว
  ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้พบหน้าไป๋หยานทั้งที่รอมานาน เขาก็เสียใจมากพอแล้ว เขาไม่อยากรับรู้ปัญหาใดอีก ?
  คนเฝ้าประตูหวาดกลัวมากกระทั่งรีบลนลานจากไป
  หลังจากที่คนเฝ้าประตูวิ่งออกจากคฤหาสน์เจ้าสำนักเขาก็เห็นเย่หยิงรออยู่ที่หน้าประตูด้วยท่าทางกระวนกระวาย เขาจึงรีบกล่าว
  ”คุณหนูเย่หยิงอย่ารอเลย ท่านเจ้าสำนักไม่ต้องการพบท่าน !”
  ใบหน้าของเย่หยิงเปลี่ยนไปทันทีนางยิ้มเยาะ “เจ้าได้เรียนท่านว่า ข้าถูกทำให้อับอายด้วยหรือไม่ ? การที่มีคนทำให้ข้าขายหน้า ก็ไม่ต่างจากการฉีกหน้าสำนักเวชโอสถ ท่านเจ้าสำนักย่อมไม่ควรเพิกเฉย”
  ***จบบทสามสาวมหาภัย (3)***

บทที่ 489 : สามสาวมหาภัย (4)
  ผู้เฝ้าประตูหัวเราะเยาะ”ความอัปยศของเจ้าเกี่ยวอะไรกับสำนักเวชโอสถด้วย ? เจ้าคิดว่าตนเป็นนายหญิงของสำนักเวชโอสถงั้นหรือ ? ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ !”
  ในฐานะคนของสำนักเวชโอสถแน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักทิศทางลมเป็นอย่างดี มุมมองของไป๋ฉางเฟิ่งที่มีต่อเย่หยิงนั้นสามารถเห็นได้ชัดเจน เช่นนั้นเขาไม่ควรให้นางได้พบหน้าไป๋ฉางเฟิ่งจะดีกว่า
  ”เจ้ากำลังพูดกับข้างั้นหรือ?” ใบหน้าของเย่หยิงเปลี่ยนเป็นสีเขียว เป็นแค่ผู้เฝ้าประตูตัวเล็ก ๆ กล้าพูดกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร ?
  ”ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครได้อีกรีบไปเถอะ ท่านเจ้าสำนักไม่อยากพบเจ้า” ผู้เฝ้าประตูโบกมือไล่อย่างหมดความอดทน ท่าทางของเขาราวกับพยายามไล่แมลงวัน
  เย่หยิงกำหมัดแน่นหัวใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
  ดี…ดีมาก! ตอนนี้แม้แต่ผู้เฝ้าประตูก็ยังกล้าที่จะฉีกหน้านาง เพราะนางไม่ใช่นายหญิงของสำนักเวชโอสถ ?
  แต่สักวันนางจะต้องเป็นให้ได้และเมื่อถึงวันนั้นคนพวกนี้จะต้องคุกเข่าขอร้องนาง !
  สายตาเย็นชาของนางกวาดมองผู้เฝ้าประตูก่อนจะหันหลังให้ยามนี้นางต้องจะเข้มแข็งมากขึ้น นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยประกายแสงชั่วร้าย
  *****
  งานชุมนุมของหมอปรุงยาเริ่มขึ้นแล้ว
  ทันทีที่บรรดาหมอปรุงยาได้รับตำรับยาพวกเขาต่างก็ขังตัวเอง และสนใจแต่การกลั่นยาเท่านั้น
  สองวันมานี้เย่หยิงส่งคนไปลอบดูไป๋หยานอย่างลับๆ ครั้นนางรู้ว่าทุกวันที่ผ่านไปไป๋หยานเอาแต่เล่นกับไป๋เสี่ยวเฉิน ริมฝีปากของนางก็เริ่มเผยรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ
  ”ข้าคิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนเก่งมา ที่ไหนได้กลับส่งคนไร้ค่ามา ข้าไม่คิดว่านางจะปรุงยาอะไรได้ ดูเหมือนว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่สนใจสำนักเวชโอสถ จึงได้ส่งขยะไร้ค่ามา ! ”
  ผู้คุ้มกันของตระกูลเย่ที่ยืนอยู่ข้างหลังนางเอ่ยถามขึ้นว่า”ท่านยังต้องการให้ข้าเฝ้าดูนางอีกหรือไม่ ?”
  ”ไม่ต้องนางคงไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้แล้วล่ะ ว่าแต่พี่ชายที่ไร้ประโยชน์ของข้า ช่วงนี้เขากำลังทำสิ่งใดอยู่ ?”
  ”นายน้อยจะทำอะไรนอกจากกินดื่ม และเล่น ขลุกอยู่ในสวนหลังบ้านกับพวกสาว ๆ เหล่านั้น … ” ใบหน้าของผู้คุ้มกันเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาละอายเกินกว่าที่จะกล่าวต่อ
  เย่หยิงยกยิ้มเยาะๆ “เขาเป็นคนโง่ ทว่าโชคดีที่คนโง่เช่นเขาก็ยังพอมีประโยชน์ให้ใช้งานได้บ้าง ! เจ้าไปก่อนเถอะ ไปเฝ้าดูไป๋จั่นเผิงแทน หากไป๋จั่นเผิงมีความเคลื่อนไหวใด ให้รีบกลับมารายงานข้า”
  ”ขอรับคุณหนู”
  ผู้คุ้มกันป้องหมัดแสดงความเคารพก่อนจะถอยจากไป
  *****
  ช่วงเวลาเดียวกันนี้บริเวณด้านบนของเขาเหยาซานผู้ดูแลประตูสองคนกำลังสนทนากัน จู่ ๆ ก็มีเด็กสาวสามคนมุ่งหน้ามาที่ยอดเขา ผู้ดูแลประตูรีบขวางพวกนางไว้
  ”ช้าก่อน…ที่นี่คือสำนักเวชโอสถรีบออกไปจากที่นี่ซะ !”
  ทันทีที่ผู้ดูแลประตูกล่าวจบเด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองทางด้านซ้ายก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างช้า ๆ นางเผยยิ้มอย่างภาคภูมิ
  นางยกมือขึ้นโบกพลันป้ายๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
  ”ถ่างตาของเจ้าดูสิว่านี่คืออะไร?”
  ผู้เฝ้าประตูมองพร้อมกับขมวดคิ้วทันทีที่เห็นป้ายสัญลักษณ์ในมือของหญิงสาว นัยน์ตาของเขาพลันเบิกกว้าง เขากล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ท่าน…ท่านคือ … ”
  ”ฮึ!” เด็กสาวในอาภรณ์สีเหลืองตะคอก พร้อมกับเชิดคางขึ้น “เราเข้าไปได้หรือยัง ?”
  ”เชิญเชิญ” ผู้ดูแลประตูเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เอ่ยกล่าวเสียงสั่น
  ”เสี่ยวอวิ๋นเสี่ยวหยุนเราไปกันเถอะ” การแสดงออกของฉุู่อีอี้แลดูเศร้าเล็กน้อยขณะเดินผ่านประตูเข้ามา “ข้าไม่ได้พบไป๋หยานนานมากแล้ว ไม่รู้ว่านางจะมีน้องสาวคนใหม่ ที่นางจะชอบมากกว่าพวกเราหรือเปล่า ?”
  ใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามของตี้เสี่ยวอวิ๋นพลันหงิกงอ
  พี่สะใภ้จะมีน้องสาวคนใหม่ทั้งยังชอบน้องสาวคนใหม่มากกว่าพวกเรางั้นหรือ ? ไม่มีทาง ! นางคือพี่สะใภ้ของข้า ! นางต้องไม่ชอบน้องสาวคนใหม่ !
  ***จบบทสามสาวมหาภัย (4)***

บทที่ 490 : พยัคฆ์ขาวเทพแห่งสงคราม (1)
  “หากนางชอบน้องสาวคนใหม่ยังนับเป็นเรื่องเล็ก”หลานเสี่ยวหยุนคิดอย่างจริงจัง “แต่หากชายใดกล้าเกี้ยวพี่สาวของข้า … ”
  ”ผู้ใดกล้า!”
  ตี้เสี่ยวอวิ๋นโกรธใบหน้าที่งดงามของนางแดงก่ำด้วยความโกรธ “ผู้ใดก็ตามที่กล้าฉกพี่สะใภ้ของข้า ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้น ๆ !”
  กล้าฉกพี่สะใภ้ของนาง? สงสัยคงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง ? หากนางไม่ฉีกร่างเขา พี่ชายของนางก็จะบดเขาเป็นซ็อสเนื้อ !
  *****
  ร่างของหญิงสาวทั้งสามนั้นเริ่มไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ผู้คุ้มกันปาดเหงื่อ พลันถอนหายใจเฮือกใหญ่
  ”เจิ้งเอ๋อป้ายเมื่อครู่นี้คือป้ายอะไร ? เพียงนางอารมณ์เสียใส่ เราก็ยอมปล่อยให้นางผ่านเข้าไปได้ หากท่านเจ้าสำนักทราบเรื่องนี้จะไม่ตำหนิเรางั้นหรือ ?”
  สหายที่อยู่ข้างๆ ไม่ทันเห็นป้าย เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
  คนเฝ้าประตูปาดเหงื่อเย็นพลางหันมองตามทิศทางซึ่งหญิงสาวทั้งสามเดินจากไป นัยน์ตาของเขายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
  ”หญิงผู้นั้นคือองค์หญิงน้อยของดินแดนศักดิ์สิทธิ์… ”
  ”ว่าไงนะ?” สหายของเขาตกใจมากจนแทบกระโดดตัวลอย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “องค์หญิงน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ ? นางมาที่นี่ได้อย่างไร ? เราต้องแจ้งท่านเจ้าสำนักโดยด่วน ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น !”
  องค์หญิงน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงมีชื่อเสียงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
  ทว่าชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีของนางต่างก็รู้กันทั่วทุกขั้วอำนาจ!
  ว่ากันว่าหากแม่มดน้อยผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นที่ใด นางจะสร้างความยุ่งยากให้สถานที่นั้น นางโด่งดังในด้านที่เป็นตัวอันตรายต่อทุกฝ่าย
  ทว่ายามนี้แม่มดน้อยยังไม่รู้ตัวว่านางเป็นตัวปัญหา นางกำลังตื่นเต้นที่ได้มาเยือนสำนักเวชโอสถ ?
  ”เอ่อ…” ผู้คุ้มกันขมวดคิ้ว “ไว้ข้าค่อยเรียนเจ้าสำนัก ตอนที่ท่านเรียกข้าเข้าไปถาม เพราะตอนนี้ท่านเจ้าสำนักกำลังอารมณ์ไม่ดี เมื่อครู่นี้ท่านเจ้าสำนักยังกำชับมาว่า ห้ามรบกวนเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากข้าไปพบท่านเจ้าสำนัก มีหวังข้าต้องถูกเตะออกมาน่ะสิ”
  ยามที่เขากล่าวว่าไป๋ฉางเฟิ่งจะเรียกเขาเข้าไปถาม ใบหน้าของผู้คุ้มกันก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
  แน่นอนว่าสหายของเขาย่อมมองเขาด้วยแววตาอิจฉาสหายของเขาครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่เคยพบเจ้าสำนัก ทว่าอย่างไรเสียข้าก็ต้องรายงานท่านผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ให้ทราบ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้คอยระแวดระวังหอตำรา รวมถึงคลังยาของสำนักเวชโอสถ …”
  หลายปีก่อนเขาได้ยินว่าแม่มดน้อยเผาห้องตำราของผู้อาวุโสทั้งสามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังปล้นคลังยา ทำให้ผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างมองนางราวกับหนูเห็นแมว คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองยังพยายามซ่อนตัวจากนางเท่าที่จะทำได้
  เช่นนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินว่าฉู่อีอี้มาเยือนสำนักเวชโอสถปฏิกิริยาแรกของพวกเขา คือต้องปกป้องหอตำราและคลังยา
  ”ตกลงข้าจะไปรายงานผู้อาวุโส” ผู้คุ้มกันกำลังเหงื่อแตก
  เขายอมให้แม่มดน้อยผ่านเข้าสำนักสำนักเวชโอสถอาจจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่ว
  ”ไม่เจ้ามีโอกาสได้พบท่านเจ้าสำนักแล้ว เช่นนั้นในครั้งนี้ให้ข้ารายงานผู้อาวุโสเอง !”
  สหายของเขาไม่ให้โอกาสเขาหลังจากกล่าวจบสหายของเขาก็วิ่งผ่านประตูมุ่งสู่สำนัก
  หลังจากที่อีกฝ่ายรู้สึกตัวร่างของสหายเขาก็ลับหายไปจากสายตาแล้ว
  *****
  ภายในเขาเหยาซาน
  หลานเสี่ยวหยุนมองตลาดที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นนัยน์ตากลมโตของนางกระพริบน้อย ๆ “นี่คือสำนักเวชโอสถในตำนานงั้นรึ ? ไม่เห็นแตกต่างจากภายนอกเลย เว้นก็แต่ที่นี่เต็มไปด้วยพลัง”
  “เสี่ยวหยุนที่นี่ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย ไว้เจ้าไปเที่ยวบ้านของข้า ข้าจะให้เจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริง ”
  ตี้เสี่ยวอวิ๋นกล่าวเยาะถ้อยคำของหลานเสี่ยวหยุน
  พลังที่แท้จริงของที่นี่จะสามารถเปรียบเทียบกับแดนอสูรได้กระนั้นรึ? คาดว่าอย่างไรเสียคนในสถานที่นี้ก็ไม่สามารถมีพลังระดับเทพได้
  ”ทว่า…”หลานเสี่ยวหยุนหันหน้ามามอง “เสี่ยวอวิ๋น เจ้ายังไม่ได้บอกเราเลยว่าบ้านของเจ้าอยู่ที่ใด ?”
  ***จบบทพยัคฆ์ขาวเทพแห่งสงคราม (1)***

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท