จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 651-665

ตอนที่ 651-665

บทที่ 651 : ข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (9)
  ภายใต้ความพยายามอย่างสุดกำลังของไป๋หยานที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นได้ และด้วยความเคยชิน นางจึงเอื้อมมือออกไป พยายามลูบหัวจิ้งจอกน้อย ทว่าหลังจากเอื้อมมือควานออกไปเปะปะ นางก็คว้าได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า
  สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนางรีบลุกขึ้นจากพื้น พลางกราดสายตามองหาโดยรอบ ทว่านางก็ไม่อาจเห็นไป๋เสี่ยวเฉินและหลงเอ๋อ
  รู้เช่นนั้นใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว ความตื่นตระหนกปรากฏชัดในแววตาของนาง
  ”เอ๊ะ! …แม่นาง เจ้าตื่นแล้วหรือ ?”
  ในขณะที่ไป๋หยานกำลังกวาดสายตามองหาไป๋เสี่ยวเฉินอยู่นั้นจู่ ๆ เสียงแก่ ๆ ก็ดังเข้าหูของนาง นางตกตะลึงจึงหันมอง สิ่งที่ปรากฏในคลองสายตาก็คือชายชราผู้หนึ่งน่าที่จะมีอายุมากกว่า 60 ปี
  เจ้ากำลังมองหาสุนัขจิ้งจอกตัวนี้อยู่ใช่หรือไม่?
  ชายชราอุ้มสุนัขจิ้งจอกสีเงินตัวหนึ่งขึ้นมาก่อนที่จะส่งให้ไป๋หยาน
  หลังจากเห็นไป๋เสี่ยวเฉินแล้วไป๋หยานก็หายใจได้อย่างโล่งอก นางลูบตัวสุนัขจิ้งจอกในอ้อมแขนของนางทันที นางปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
  ”หลงเอ๋อแล้วหลงเอ๋อล่ะ” หัวใจของไป๋หยานตื่นตระหนกขึ้นอีกครั้ง “นายท่านทั้งสอง เห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ บ้างหรือมไม่ ?”
  ”เด็กหญิงตัวน้อยงั้นรึ? ข้าเห็นแต่เจ้ากับจิ้งจอกน้อย ไม่เห็นเด็กน้อยเลย”
  ชายชราในชุดขาวส่ายศีรษะพลางกล่าว
  ไป๋หยานกัดริมฝีปากล่างของตนหลงเอ๋อไม่ได้อยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางอยู่ที่ใด ?
  หรือเกิดความผิดพลาดในการส่งผ่านหลงเอ๋อถูกส่งไปที่อื่นกระนั้นรึ ?
  นางยิ่งตื่นตกใจง่ายๆ อยู่ เช่นนั้นนางจะไม่ผวาตื่นกลัวสถานที่แปลก ๆ ที่ต้องพบเจอกระทั่งตกใจตายงั้นรึ ?
  ไป๋หยานเสียใจหากนางรู้เช่นนี้ นางจะไม่ใจอ่อน นางจะทิ้งหลงเอ๋อไว้กับเสี่ยวมี่ และหวงเสี่ยวหยิง เรื่องเช่นนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
  ”แม่นางเจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย เจ้ามาปรากฎตัวในสวนหลังบ้านของข้าได้อย่างไร ?”
  ชายชราเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
  ”สวนหลังบ้าน”ไป๋หยานตกตะลึง นางทอดสายตามองหุบเขากว้างใหญ่ อดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้ง
  นี่เป็นสวนหลังบ้านของชายชราสองคนนี้งั้นหรือ?
  ”นัยน์ตาของไป๋หยานเปล่งประกายวิบวับ”ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะบุกรุกเข้ามาในสถานที่นี้ ข้าไม่ทราบว่าที่นี่เป็นสวนหลังบ้านของท่านผู้อาวุโสทั้งสอง”
  ”ไม่เป็นไรไม่เป็นไร” ชายชราในเสื้อคลุมสีขาวหัวเราะ “เราสองพี่น้องเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเซียนพยับหมอก ข้าชื่อจงหนาน ส่วนเขาเป็นน้องชายของข้า ชื่อจงเป่ย ข้าคิดว่าเจ้ามีโครงสร้างกระดูกที่ดี ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินดีเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่ ?”
  ไป๋หยานเงียบนางไม่คุ้นเคยกับดินแดนแห่งนี้ ทั้งนางเองก็เพิ่งมาถึงตำหนักเซียนพยับหมอก ส่วนหลงเอ๋อก็มาหายตัวไป นางต้องการคนช่วยค้นหาเด็กน้อย
  เช่นนั้นนางจึงครุ่นคิดเพียงไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนาง “ตกลง ข้าเองก็ต้องการเรียนรู้จากท่านอาวุโสทั้งสอง”
  อย่างไรเสียนางก็มีอาจารย์ตั้งสามคนแล้ว จะมีอีกสักสองคนจะเป็นไรไป
  ”ทว่า… ” รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋หยานหายไป “บุตรสาวของข้าหายตัวไป ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองจะให้คนช่วยออกตามหานางหน่อยจะได้หรือไม่ ?”
  ”ฮ่า!”
  จงหนานหัวเราะขัน”เมื่อเจ้าคำนับพวกเราในฐานะอาจารย์ ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ! แม่นางข้าจับกระดูกของเจ้าแล้ว กระดูกเช่นนี้มีเพียงหนึ่งในล้าน แค่ฝึกฝนนิดหน่อย เจ้าก็สามารถฝ่าเข้าสู่ระดับจุนเจี่ยด้วยเวลาไม่เกิน 20 ปี ”
  สัมผัสกระดูกของนางงั้นรึ?
  สีหน้าของไป๋หยานดำคล้ำไม่คาดคิดว่าชายชราผู้นี้จะกล้าแตะเนื้อต้องตัวนาง
  และ
  ใช้เวลาพัฒนาอีกยี่สิบปีกว่าจะถึงจุนเจี่ยงั้นรึ?
  ไป๋หยานแตะอุ้งเท้าจิ้งจอกน้อยดูเหมือนว่านางเพิ่งจะฝ่าด่านซุ่นเจี่ยมาได้ เมื่อไม่นานมานี้เองนะ
  “ว่าแต่แม่นาง ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับใดแล้วล่ะ ? เหตุใดข้าจึงไม่อาจหยั่งถึงพลังที่แท้จริงของเจ้าได้เลย ? จงหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย
  มีบางสิ่งครอบคลุมหญิงสาวไว้กระทั่งเขามิอาจมองเห็นพลังของนาง
  ***จบบทข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (9)***

บทที่ 652 : ข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (10)
  จะว่าไปสิ่งใดยิ่งล้ำค่า ก็ยิ่งมากด้วยอันตราย ยิ่งมากด้วยอันตราย ก็ยิ่งเสี่ยง !
  กระดูกของหญิงสาวผู้นี้แข็งแกร่งเหลือเกินวันหน้านางจะเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับจุนเจี่ยได้ ! และอาจจะถึงระดับซุ่นเจี่ยด้วยซ้ำ
  อัจฉริยะเช่นนางเขาไม่ยอมปล่อยมือเป็นแน่ !
  ไป๋หยานถูจมูกของตน”ข้าเพิ่งถึงระดับตี้เจี่ย”
  นางไม่กล้าบอกว่านางเข้าถึงระดับซุ่นเจี่ยหาไม่ชายชราทั้งสองคงได้ตกใจตายอย่างแน่นอน
  ”ตี้เจี่ยงั้นรึ?” จงเป่ยขมวดคิ้ว พลางกล่าวด้วยความโกรธ “ผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้างั้นรึ ? ฝึกเจ้ายังไงถึงได้แค่ระดับตี้เจี่ย ? เจ้าต้องฝึกกับเรา ข้าให้สัญญาว่าเจ้าจะต้องระดับถึงเทียนเจี่ยอย่างแน่นอน !”
  ครั้นได้ยินถ้อยคำของชายชราในใจของไป๋หยานก็นึกขอโทษอาจารย์ทั้งสามอย่างเงียบ ๆ ที่ตอนนี้นางไม่อาจบอกความแข็งแกร่งแท้จริงของตนได้”
  ครั้นเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของจงเป่ย ใบหน้าของจงหนานก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางน้อย ข้ายังไม่ได้ถามชื่อของเจ้าเลย”
  ”ข้าชื่อไป๋หยานและนี่คือไป๋เสี่ยวเฉิน” ไป๋หยานก้มลงมองจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนของตน พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นจากมุมปากนาง
  รอยยิ้มนั้นช่างอบอุ่นชายชรารู้สึกว่าภาพที่ได้เห็นนั้นไม่ต่างจากภาพลวงตา
  ช่างเหมือนสายตาที่มารดาจ้องมองลูก
  เอ้อ…
  ภาพลวงตานี้ทำให้ชายชราทั้งสองส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว ภายในอ้อมแขนของไป๋หยานมีเพียงจิ้งจอกน้อย จิ้งจอกน้อยนั่นจะเป็นลูกของนางได้อย่างไร ?
  จิ้งจอกน้อยเลียมือของไป๋หยานพร้อมกับยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา
  แม้ว่าจิ้งจอกน้อยจะไม่สามารถพูดได้หากแต่สติปัญญาของเขาไม่ได้ลดต่ำลงเลย เช่นนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของไป๋หยานได้ดี
  *****
  เมื่อไป๋หยานเดินออกมาจากหุบเขาพร้อมชายชราทั้งสอง นางก็ตระหนักว่าหุบเขาแห่งนี้เป็นสวนหลังบ้านของชายชราทั้งสองจริง ๆ
  โชคยังดีที่มีทางอื่นเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้เช่นนั้นการที่ไป๋หยานปรากฏกายที่นี่ได้ จึงไม่ทำให้ชายชราทั้งสองสงสัยมากนัก
  ครั้นพวกเขามาถึงคฤหาสน์เพื่อไป๋หยานแล้ว ชายชราทั้งสองก็ส่งคนออกตามหาหลงเอ๋อ ส่วนไป๋หยานก็ถูกชายชราทั้งสองที่นางเรียกขานว่าอาจารย์เริ่มให้การฝึกฝน
  ใช่แล้วชายชราทั้งสองคนนี้จริงจังกับการฝึกฝนไป๋หยานมาก ไป๋หยานต้องอยู่แต่ในห้อง เพื่อการฝึกฝนเท่านั้น
  มีเพียงบางครั้งที่ชายชราทั้งสองจะเข้ามาดูนาง
  ในการฝึกฝนระดับตี้เจี่ยจะเกิดความผันผวนของพลังชี่ที่น้อยมาก เช่นนั้นช่วงเวลาที่ฝึกฝน ไป๋หยานจึงไม่กล้าใช้พลังมากเกินไปนัก นางใช้พลังชี่จำนวนเล็กน้อยผลักดันพลังชี่ให้เคลื่อนย้ายวนเวียนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไม่ให้พวกเขาเกิดความสงสัย
  เพียงไม่กี่วันต่อมาไป๋เสี่ยวเฉินก็อดรนทนไม่ไหวเขากระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋หยาน พลางใช้ลิ้นนุ่ม ๆ ของเขาเลียใบหน้าด้านหนึ่งของนางจากนั้นดวงตาของเขาก็แวววาวไปด้วยหยาดน้ำตา
  ”เจ้าต้องการออกไปเล่นงั้นหรือ?” ไป๋หยานเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม
  จิ้งจอกน้อยรีบพยักหน้ารับ
  ที่นี่อุดอู้จะตายหากไม่ออกไปสูดอากาศบ้าง เห็นทีคงจะได้อึดอัดหายใจไม่ออกตาย
  ”เฉินเอ๋ออดทนอีกสักหน่อยเถอะ รอแม่พบเมล็ดองุ่นเลือดก่อน แม่จะช่วยแก้ไขเจ้าให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม” ไป๋หยานถอนหายใจอย่างจนใจ
  จากถ้อยคำของเฟิงลี่เฉินเมล็ดองุ่นเลือดนับได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่สุดของตำหนักเซียนพยับหมอก มิใช่เรื่องง่ายที่จะได้มา เช่นนั้นนางจึงต้องการที่จะได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้
  จิ้งจอกน้อยก้มหัวลงด้วยรู้สึกผิดหวังหูของเขาลู่ลง ก่อนจะเดินคอตกจากไป๋หยานไปอย่างช้า ๆ ด้วยทีท่าน้อยใจ
  ”หากแต่… ” ไป๋หยานยิ้ม “วันนี้อาจารย์งี่เง่าทั้งสองคนนั่นไม่อยู่ในบ้าน เช่นนั้นเราอาศัยโอกาสนี้ลอบออกไปหาหลงเอ๋อกันดีกว่า”
  ในตำหนักเซียนพยับหมอกผู้อาวุโสแต่ละคนต่างก็มีที่พำนักแยกกัน และสถานที่ซึ่งไป๋หยานพักอยู่ก็คือคฤหาสน์ผู้อาวุโสฝ่ายใต้
  ครั้นจิ้งจอกน้อยได้ยินวาจาของไป๋หยานเขาก็เงยหน้าขึ้นทันที นัยน์ตาทั้งคู่ส่องประกาย เขามองสตรีที่กำลังยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเบื้องหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
  ***จบบทข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (10)***

บทที่ 653 : เทพธิดาจอมปลอม (1)
  ภายในคฤหาสน์หรูหรามีเสียงหอนราวสัตว์ป่าดังขึ้น
  เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดกระทั่งทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุก
  ”ท่านเจ้าตำหนักเจ้าตำหนักน้อยยังไม่หายอีกหรือ?” ท่ามกลางฝูงชนด้านล่าง ชายชราในชุดคลุมผ้าลินินยืนขึ้นพลางแนะนำว่า “หรือเราจะไปหาไป๋ฉางเฟิ่ง เจ้าสำนักเวชโอสถดีหรือไม่ ? เขาเป็นหมอปรุงยาอันดับหนึ่งในดินแดนนี้ บางทีเขาอาจจะมีวิธีการรักษาเจ้าตำหนักน้อยก็เป็นได้”
  เจ้าตำหนักขมวดคิ้วเล็กน้อยใบหน้าชราภาพของเขาแลดูสิ้นหวัง “ข้าเพิ่งพบไป๋ฉางเฟิ่งหลังจากงานวันเกิดของเขาเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งยังเล่าให้เขาฟังว่าอาการของหยุนเฟิงเป็นเช่นไร โชคไม่ดีที่เจ้าสำนักบอกว่ายามนี้ยังไม่มีหนทางรักษา ข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยสอดส่องดูว่ามีคนเก่งกาจน่าอัศจรรย์ในดินแดนนี้ที่สามารถรักษาเจ้าตำหนักน้อยได้หรือไม่ ?”
  พวกเขาทั้งหมดต่างก็ฮือฮาแม้แต่ไป๋ฉางเฟิ่งก็ยังไม่สามารถรักษาได้ ในโลกนี้ยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่สามารถรักษาได้
  แบบนี้เจ้าตำหนักน้อยคงยากที่จะรอดชีวิตแล้วล่ะสิ?
  ”อย่างไรก็ตามไป๋ฉางเฟิ่งก็ได้ทิ้งคำพูดบางอย่างไว้ให้ข้า … ” เจ้าตำหนักกวาดตามองผู้คนด้านล่างโดยรอบ สายตาของเขาแลดูดุร้าย “โรคทางใจก็ต้องรักษาด้วยใจ ข้าจำได้ว่าครั้งที่หยุนเฟิงออกจากตำหนักเซียนพยับหมอกดูเหมือนว่าเขาจะได้พบกับสตรีผู้หนึ่ง น่าเสียดายที่บุรุษในตำหนักเซียนพยับหมอกของเรานั้นไม่สามารถตัดสินใจเรื่องการแต่งงานเองได้ เช่นนั้นในวันนั้นข้าจึงเรียกตัวหยุนเฟิงให้กลับมาที่นี่ และหลังจากนั้นหยุนเฟิงก็ล้มป่วย … ”
  ”ตามที่เจ้าสำนักไป๋กล่าวมาเราต้องหาหญิงผู้นั้นให้พบ แล้วโรคร้ายนี่ก็จะหายเอง” เจ้าตำหนักกล่าวพร้อมกำหมัดแน่น “อาวุโสมู่เจิน หญิงผู้นั้นอยู่ที่ใดหรือ ?”
  ผู้อาวุโสมู่เจินเป็นสตรีที่ได้รับการบำรุงรักษาผิวพรรณที่ดีเยี่ยม กระทั่งมิอาจมองเห็นร่องรอยของกาลเวลาที่ร่วงโรยบนใบหน้าของนางได้เลย มีเพียงเส้นผมสีขาวของนางที่แสดงถึงอายุที่แท้จริงเท่านั้น
  มู่เจินลดสายตาของนางลงเล็กน้อยพลางก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ “เรียน ท่านเจ้าตำหนัก หญิงผู้นั้นหาได้คู่ควรกับท่านเจ้าตำหนักน้อยไม่ หากท่านปล่อยให้นางมาที่ตำหนักเซียนพยับหมอกนี่ อาจทำให้ตำหนักเซียนพยับหมอกของเราเสื่อมเสียได้”
  ”เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ?”
  สีหน้าของท่านเจ้าตำหนักแลดูหนักใจขึ้นเล็กน้อยในครั้งนั้นเขาไม่สามารถออกจากตำหนักเซียนพยับหมอกได้ด้วยเหตุผลบางประการ เขาจึงส่งมู่เจินไปที่นั่นแทน เช่นนั้นเขาจึงไม่มีข้อมูลรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวผู้นั้นเลย
  ครั้นได้ยินถ้อยคำของมู่เจินเขาก็ต้องล้มเลิกความคิดของตนเอง
  ในครั้งนั้นหยุนเฟิงไม่สามารถแต่งงานกับหญิงผู้นั้นได้ ยามนี้ หากจะรักษาโรคร้ายของหยุนเฟิง เราจะยอมให้หญิงผู้นั้นเข้าตำหนักเซียนพยับหมอกไม่ได้เลยกระนั้นรึ ?
  ครั้นมู่เจินแลเห็นสีหน้าของท่านเจ้าตำหนักแล้วนางก็หลบตาแววตาของนางส่องประกายแสงมืดมนเย้ยหยัน “ท่านเจ้าตำหนัก หญิงผู้นั้นเป็นเพียงสตรีในครอบครัวธรรมดา ๆ นางก็เพียงใช้ใบหน้าที่งดงามของนางมาล่อลวงเจ้าตำหนักน้อยเท่านั้น”
  ”หยุนเฟิงไม่น่าจะเป็นคนไร้ความคิดเช่นนั้น… ” ใบหน้าของเจ้าตำหนักกลับแย่ยิ่งกว่าเดิม
  บุตรชายของเขาจะเป็นคนโง่งมหลงหญิงงามเช่นนั้นได้อย่างไร?
  ”ไม่เพียงแค่นั้นหญิงผู้นั้นเกิดมาในชนชั้นธรรมดา หากแต่นางมีความเชี่ยวชาญในการดนตรี โดยเฉพาะเพลงพิณ ทั้งยังเอาอกเอาใจเก่ง กระทั่งทำให้ท่านเจ้าตำหนักน้อยตกหลุมเสน่ห์ของนาง ทว่า … ” ความเกลียดชังและความริษยาเพิ่มขึ้นในหัวใจของมู่เจิน “หญิงผู้นั้นหาใช่หญิงบริสุทธิ์ไม่ เมื่อนางล่อลวงท่านเจ้าตำหนักน้อยได้แล้ว นางก็ยังไม่หยุดที่จะหว่านเสน่ห์ชายอื่นอีกหลายคน !”
  หัวใจของเจ้าตำหนักพลันเคร่งขรึมหดหู่”แค่นางเกิดมาด้วยฐานะธรรมดา ๆ ก็ไม่คู่ควรกับหยุนเฟิงแล้ว ข้าจำต้องตีเป็ดแมนดารินด้วยไม้ (ขัดขวางทางรักของชายหนุ่มหญิงสาวที่รักกันมาก)”
  แท้ที่จริงแล้วเมื่อเจ้าตำหนักทราบเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็เจ็บปวดเช่นกัน ชีวิตของผู้คนในตำหนักเซียนพยับหมอกล้วนถูกกำหนดไว้หมดแล้ว พวกเขาไม่สามารถเลือกคู่ชีวิตด้วยตนเองได้ หากผู้ใดดื้อดึง คนผู้นั้นก็จะถูกต่อต้าน
  ”ท่านเจ้าตำหนักข้าไม่ได้แจ้งต่อท่านแต่แรกว่า ที่หญิงผู้นั้นทอดทิ้งเจ้าตำหนักน้อย นั่นเป็นเพราะมีชายหนุ่มจากตระกูลผู้มีอิทธิพลใช้เงินทองและทรัพย์สินหลอกล่อนาง หากแต่เจ้าตำหนักน้อยไม่เสนอสิ่งเหล่านั้นให้นาง เช่นนั้นนางจึงเลือกที่จะทิ้งเจ้าตำหนักน้อยไปกับชายจากตระกูลผู้ทรงอิทธิพล”
  ***จบบทเทพธิดาจอมปลอม (1)***

บทที่ 654 : เทพธิดาจอมปลอม (2)
  ”ปัง!”
  กำปั้นของเจ้าตำหนักทุบลงบนโต๊ะแววตาของเขาเย็นชา “เพื่อบุตรชายเสเพลของตระกูลมั่งคัง หญิงผู้นั้นกลับกล้าทิ้งบุตรชายของข้า วันหน้านางจะต้องเสียใจในสิ่งที่นางทำเป็นแน่ !”
  ผู้คนทั้งหมดต่างก็หวาดกลัวเพราะความโกรธแค้นของเจ้าตำหนักเซียนพยับหมอก พวกเขาไม่กล้ากล่าวคำใด หากแต่ริมฝีปากกลับเบะออกอย่างเย้ยหยันด้วยต่างก็รู้กัน
  ต้องการที่จะให้หญิงผู้นั้นมาที่นี่งั้นรึ? ฝันไปเถอะ ! หญิงผู้นั้นถูกฆ่าตายไปแล้ว นางจะมาตำหนักเซียนพยับหมอกได้อย่างไร ?
  ”ลืมไปเถอะ”เจ้าตำหนักหลับตาก่อนจะเอนกายลงพิงเก้าอี้ “ไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน”
  ”ขอรับ”
  พวกเขาป้องกำปั้นพลางถอยกลับไปที่ด้านนอกของคฤหาสน์
  จากต้นจนจบจงหนานและจงเป่ยยืนอยู่ข้างหลังผู้อาวุโสเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า ในกรณีนี้ พวกเขาไม่สามารถกล่าวแทรกอะไรได้ เช่นนั้นพวกเขาจึงทำตัวตามน้ำ และจากไปพร้อมกับทุกคน
  เมื่อเห็นผู้คนเดินจากไปแล้วเจ้าตำหนักก็ถอนหายใจ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เสียงคร่ำครวญในสวนหลังบ้านดูจะซอกซอนเจาะลึกเข้าไปในใจของเขา
  ”หวู่เหว่ย”
  หญิงวัยกลางคนในชุดสีฟ้าอ่อนเดินผ่านประตูเข้ามาใบหน้าของหญิงผู้นั้นได้รับการดูแลอย่างดี งดงามน่าดึงดูดยิ่งกว่ามู่เจิน
  ”เหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ?” เหวินหวู่เหว่ยกล่าวออกมาทันที “ไหนเจ้าบอกว่า จะไปหาวิธีรักษาหยุนเฟิงไงล่ะ ?”
  ”หาทางงั้นรึ?” จุนเทียนเยว่ยิ้มเยาะ “ข้าพยายามคิดหาวิธีมานานหลายปีแล้ว แต่ยังจะมีวิธีไหนอีกล่ะ ? ขนาดหมอปรุงยาอันดับหนึ่งยังไม่สามารถรักษาเขาได้ นอกจากจะตามหาสตรีที่เขาคิดถึงอยู่มาเท่านั้น”
  ”แต่เมื่อครู่มู่เจินบอกว่า … ”
  ”ข้าไม่สนใจสิ่งที่นางพูดข้าไม่สนใจว่าหญิงผู้นั้นจะเป็นคนเช่นไร ข้าเพียงต้องการให้บุตรชายของข้าปลอดภัยเท่านั้น !” ร่างของจุนเทียนเยว่สั่นเล็กน้อย นางหลับตาลงอย่างเจ็บปวด “นิสัยของนางคงจะไม่เลวร้ายนักหรอก หาไม่หยุนเฟิงคงไม่ชอบนาง …… ”
  ครั้นเหวินหวู่เหว่ยเห็นท่าทางที่เจ็บปวดของภรรยาแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะตบหลังนางเบา ๆ “เยว่เอ๋อ เจ้ารอก่อนเถิด ตอนนี้แม้ว่าอาการของหยุนเฟิงอาจจะยังรักษาไม่ได้ และถึงแม้ไป๋ฉางเฟิ่งจะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่อาจมีหมอปรุงยาคนอื่นที่อาจสามารถรักษาเขาได้ …”
  ”ตกลง”จุนเทียนเยว่ลืมตา “ข้าจะให้เวลาท่านอีกสามเดือน หากภายในสามเดือนนี้หยุนเฟิงยังไม่อาจรักษาได้ ข้าจะออกจากตำหนักเซียนพยับหมอก ในเมื่อเจ้าไม่ไปตามหาหญิงผู้นั้น ข้านี่แหละจะไปตามหานางเอง”
  สามเดือน?
  เขาแค่พยายามกล่าวปลอบใจจุนเทียนเยว่หากแต่นางกลับคิดเป็นเรื่องจริงจัง
  ภายในช่วงเวลาแค่สามเดือนนี้เขาจะไปหาหมอปรุงยาที่เก่งกาจกว่าไป๋ฉางเฟิ่งได้จากที่ใด ?
  ทว่า…
  เหวินหวู่เหว่ยกระพริบตา”ข้าจำได้ว่า ไป๋ฉางเฟิ่งเคยบอกข้าว่า ความสามารถในการปรุงยาของหลานสาวเขานั้นล้ำเลิศมาก บางทีนางอาจจะสามารถรักษาหยุนเฟิงได้ โชคไม่ดีที่ข้าไปถึงช้าเกิน หลานสาวของเขาได้จากสำนักเวชโอสถไปแล้ว”
  ”จริงหรือ? เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่ส่งคนไปที่ดินแดนใหญ่ เพื่อติดตามหาหญิงผู้นั้นเล่า?”
  ในที่สุดใบหน้าของจุนเทียนเยว่ก็ปรากฏรอยยิ้มตราบใดที่มีทางรักษาหยุนเฟิงได้ นางก็จะไม่ยอมแพ้ แม้ว่าความหวังจะมีเพียงน้อยนิดก็ตามที
  เหวินหวู่เหว่ยส่ายศีรษะพลางยิ้มอย่างขมขื่นหากแต่เขาไม่สามารถคืนคำได้ นอกจากนี้นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขามี
  *****
  ช่วงเวลานี้มู่เจินสาวเท้าอย่างรวดเร็ว นางรับน้ำชาจากสาวใช้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ “เรียกเทียนหลิงมาพบข้า”
  ”เจ้าค่ะผู้อาวุโส”
  หญิงรับใช้รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
  ไม่นานนักก็มีชายชราสาวเท้าไว ๆ ก้าวเข้ามา เมื่อเขามาถึง เขาก็ป้องกำปั้นให้มู่เจินอย่างเคารพนับถือ “เทียนหลิง…คารวะอาวุโสมู่”
  ***จบบบทเทพธิดาจอมปลอม (2)***

บทที่ 655 : เทพธิดาจอมปลอม (3)
  ”เทียนหลิงเรื่องที่ข้าขอให้เจ้าทำสำเร็จหรือไม่ ? หญิงผู้นั้นตายจริง ๆ ใช่หรือไม่ ?” มู่เจินจ้องเขม็ง แววตาของนางมีประกายแสงเย็น ๆ ส่องผ่านขณะเอ่ยถามอย่างโหดเหี้ยม
  เทียนหลิงยิ้ม”อย่ากังวลไปเลย ท่านอาวุโสมู่ หญิงผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส นางไม่มีทางรอดชีวิตมาได้ ซ้ำนางยังตกหน้าผา นางไม่รอดแน่ !”
  ”เช่นนั้น…ข้าก็วางใจ”มู่เจินกล่าว “วันนี้…ท่านเจ้าตำหนักต้องการนำหญิงผู้นั้นเข้ามาในตำหนักของเรา หากนางได้เข้ามาที่นี่ ด้วยฐานะของนาง ข้าจะขึ้นเป็นคุณหนูของตำหนักเซียนพยับหมอกได้อย่างไร ? อีกอย่าง เทพธิดาก็ชื่นชอบเจ้าตำหนักน้อยของเรายิ่งนัก”
  แววตาของเทียนหลิงเปล่งประกายแวววาว”อาวุโสมู่ นี่ก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว บางทีเทพธิดาอาจเลิกล้มความตั้งใจเรื่องเจ้าตำหนักน้อยไปแล้วก็เป็นได้ เหตุใดท่าน … ”
  ”โอหัง!” มู่เจินเริ่มโกรธ นางตบมือลงบนโต๊ะ “ข้าเป็นผู้อาวุโสของเจ้าตำหนักน้อย ข้าจะพูดถึงเจ้าตำหนักน้อยอย่างไรก็ได้ ? ส่วนเจ้ามีสิทธิอะไรมาสอนข้า !”
  นางมีความคิดไม่ซื่อต่อเหวินหยุนเฟิงทว่าเรื่องนี้ไม่ควรพูดในที่สาธารณะ หาไม่อย่าว่าแต่เจ้าตำหนักกับภรรยาเลย แม้แต่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ไม่มีวันละเว้นนาง !
  ทว่าภายในใจของนางกลับไม่อาจยอมรับ! เหตุใดนังผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นถึงได้หัวใจของเจ้าตำหนักน้อย ? ส่วนนางเพียงเพราะนางแก่กว่าเขา จึงไม่สามารถมัดใจเขาได้งั้นรึ ?
  โชคดีที่นังแพศยานั่นตายไปแล้วหลังจากนั้น ก็ไม่มีผู้ใดสามารถแย่งเจ้าตำหนักน้อยไปจากนางได้
  ”เจ้าไปเถอะจำไว้ว่าเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามเจ้าเอ่ยกับผู้ใด !” มู่เจินกำหมัดแน่น แววตาของนางส่องประกายแสงฆาตกรรมแรงกล้า
  เทียนหลิงไอ้ลูกไม่มีพ่อคนนี้รู้มากเกินไปแล้ว ที่ผ่านมานางไม่ใส่ใจเขา แต่ตอนนี้เจ้าตำหนักถามถึงที่อยู่ของนังแพศยานั่น นางจะต้องฆ่าปิดปากทุกคนที่รู้เรื่องนี้ !
  *****
  ในขณะเดียวกัน
  อาณาจักรเทพ…
  ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังดื่มพลางสนทนากันอย่างเฮฮา ข้าง ๆ พวกเขามีสาวใช้กลุ่มหนึ่งคอยทุบหลัง และบีบไหล่ให้อย่างเงียบ ๆ
  รูปลักษณ์ของสาวน้อยกลุ่มนั้นไม่ได้สะสวยนักเว้นแต่หนึ่งในหมู่ของพวกนางที่แลดูโดดเด่นด้วยความสวยที่เกินหน้าเกินตาคนอื่น ๆ หญิงผู้นั้นสวมใส่ชุดสีเขียว รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ปรากฏวิบวับในดวงตาของนาง
  ”ข้าจะรินชาให้คุณชาย”
  กล่าวจบหญิงในชุดเขียวก็หยิบกาน้ำชาออกมาพลางรินลงในถ้วยน้ำชาของชายหนุ่ม บางทีวันนี้อาจเป็นวันโชคร้ายของนาง ชาร้อน ๆ ที่กำลังรินเกิดหกกระเด็นไปโดนหลังมือของชายหนุ่มโดยไม่เจตนา
  ”เฮือก!”
  ชายหนุ่มสูดอากาศเย็นๆ เขาตบหน้าของหญิงสาวในชุดสีเขียวทันที สตรีในชุดสีเขียวน้ำตาเอ่อคลอ นางมองชายหนุ่มอย่างไร้เดียงสา
  ”นังคนไร้ค่ารินน้ำแค่นี้ยังพลาด ไสหัวไปซะ !”
  ชายหนุ่มตวาดออกมาด้วยความโกรธ
  ”เจ้าค่ะ”สตรีในชุดสีเขียวน้ำตาเอ่อคลอ
  ครั้นนางออกพ้นประตูนางก็เช็ดน้ำตาจากปลายหางตา นัยน์ตาที่ไร้เดียงสาเปลี่ยนเป็นประกายตำหนิ
  “ไอ้คนชั่วช้าพวกนี้วัน ๆ ก็ดีแต่รังแกพวกเราที่ฐานะต้อยต่ำกว่า ไม่เกี่ยวหรอกว่าข้าอยู่ในฐานะต่ำต้อยแค่ไหนในแดนสวรรค์ หากแต่ในแดนมนุษย์ ข้าคือผู้ที่สูงส่ง “ตอนนี้ข้าไม่ได้แยกร่างนานแล้ว ได้เวลาแล้วที่ข้าควรไปรับการนมัสการจากคนเหล่านั้น”
  นอกจากนี้นางยังพบวิธีที่จะแยกร่างตัวเองโดยไม่ตั้งใจ คาดว่านางจะเป็นคนเพียงผู้เดียวในแดนสวรรค์นี้ที่ทำได้ ยกเว้นชายผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น
  เมื่อใดที่นางถูกข่มเหงในแดนสวรรค์นางจะไปยังสถานที่แห่งนั้น เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ เพื่อให้นางบรรเทาความเจ็บปวดทรมานใจที่ได้รับมา
  *****
  จนถึงตอนนี้ทุกคนในตำหนักเซียนพยับหมอกก็ไม่เคยล่วงรู้เลยว่าสตรีที่พวกเขาต่างก็ยกย่องว่าเป็นเทพธิดานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงหญิงรับใช้ในแดนสวรรค์
  ***จบบทเทพธิดาจอมปลอม (3)***

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท