ตอนที่ 7 พานพบกันอีกครั้ง
เมื่อเห็นเขาไม่แตะชา ไป๋หลิงหลงเลยถามเขาว่ายังต้องการอะไรอีกไหม
หลินยวนโบกมือเล็กน้อย ไม่ต้องการอะไร เดินไปยังหน้ากระจกบานใหญ่พลางหันหลังให้เธอ หันหน้าเผชิญกับแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่เส้นขอบฟ้า
ไป๋หลิงหลงเดินไปนั่งลงข้างๆ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร หันไปมองแผ่นหลังของเขาเป็นระยะ
แม้จะไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก แต่ตอนนั้นเธอก็พอจะทราบเรื่องของเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย มาตอนนี้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนตัวเขา วัยรุ่นที่เคยซุกซนและร่าเริงคนนั้น วันนี้กลับดูสุขุมเยือกเย็น
ภายนอกดูโตเป็นผู้ใหญ่ไม่น้อย ทว่ายังคงสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อเหมือนเคย บางทีใช้คำว่าง่ายๆ สบายๆ มาบรรยายจะเหมาะสมกว่า
เธอจดจำเขาเมื่อในอดีตได้ ในตอนนั้นเขาคิดอยากปกปิดความซอมซ่อบนตัวเองอย่างสุดความสามารถ แต่ดูเหมือนเขาในวันนี้จะไม่ใส่ใจมันแล้ว ดูสบายใจไร้กังวล
แผ่นหลังสะท้อนแสงอาทิตย์ยามอัสดงออกมา แม้นจะมายังสถานที่แบบนี้ ทว่ากลับไร้ซึ่งความเหลาะแหละไม่จริงจัง นิ่งเงียบประหนึ่งหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน เผยความสุขุมนุ่มลึกที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ออกมา
เสียงฝีเท้าก้าวเดินดังลอยมาจากชั้นบน ไป๋หลิงหลงรีบลุกขึ้นยืนในทันที ชั้นหนังสือด้านหลังห้องทำงานเปิดแยกออกเป็นสองฝั่ง หลินยวนที่อยู่หน้ากระจกหันกลับไปมอง
ฉินอี๋สวมใส่กระโปรงสบายๆ ไม่แต่งแต้มใบหน้า ช่างงดงามเป็นเลิศ เส้นผมที่ผ่านการเป่ามาแล้วยังคงหมาดๆ น่องขาขาวผ่องโผล่อวดโฉมมาครึ่งแข้ง สวมใส่รองเท้าแตะคู่หนึ่ง
หลินยวนมองดูเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหันกลับไปทางนอกหน้าต่างอีกครั้ง
สายตาของฉินอี๋จับจ้องไปบนตัวเขา โดยเฉพาะผมที่มัดเป็นหางม้าของเขา พบว่าการมัดผมเช่นนี้ยิ่งทำให้กรอบใบหน้าเขาดูคมชัดขึ้น ดูสบายตากว่าเมื่อก่อนที่สยายผมเผ้าเสียอีก ก่อนจะหันไปพูดกับไป๋หลิงหลงว่า “เธอเลิกงานกลับบ้านไปก่อนเลย”
ไป๋หลิงหลงชะงักไปเล็กน้อย ตัวเธอกับฉินอี๋นั้นเติบโตมาด้วยกัน อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉินด้วยกัน แต่ไหนแต่ไรมาก็ไปกลับพร้อมกันตลอด น้อยนักที่จะมีเหตุการณ์ที่ต้องกลับบ้านคนเดียว เธอมองหลินยวนที่อยู่ตรงหน้าต่างเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า หมุนกายเดินจากไป
“ขาหายดีแล้วเหรอ” ฉินอี๋เดินไปข้างๆ เขาแล้วเอ่ยถาม
หลินยวนส่งเสียง “อืม” ออกมาอย่างไม่แยแส
ฉินอี๋เดินเข้ามายืนข้างกายเขาพร้อมกับกลิ่นหอมสดชื่นหลังอาบน้ำ ยกมือทั้งสองขึ้นกอดอก เอ่ยถามว่า “ดูอะไรอยู่”
“ไม่มีอะไร” หลินยวนตอบกลับ ก่อนจะเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่งให้ถือเป็นการตอบคำถามของเธอ “ยังไม่เคยมองเมืองปู๋เชวี่ยจากมุมนี้เลย”
ฉินอี๋ “นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่ นายอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยแค่สามสิบปี ทว่ากลับไปอยู่ข้างนอกตั้งสามร้อยปี เกรงว่าคงจะคุ้นเคยกับเมืองหลวงแดนเซียนมากกว่าเมืองปู๋เชวี่ยล่ะมั้ง”
หลินยวนกล่าว “คงจะอย่างนั้น”
ฉินอี๋ “เห็นลุงเฉินบอกว่าหลังนายไปจากเมืองปู๋เชวี่ยก็สอบเข้าหลิงซานได้นี่”
หลินยวน “สำคัญด้วยเหรอ”
ฉินอี๋ “ไม่มีอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญหรอก ก็แค่เหนือความคาดหมายไปหน่อย หรือว่ามาตรฐานการเข้าหลิงซานจะต่ำจนน่าตกใจอย่างนั้นเหรอ? คิดๆ ดูแล้วก็คงไม่ขนาดนั้น เพราะอย่างไรก็เป็นถึงสถาบันอันดับหนึ่งของเมืองหลวงนี่นะ คิดไม่ถึงเลยว่าคนต่ำทรามหยาบช้าอย่างนายจะมีความสามารถกับเขาด้วย เป็นฉันที่ดูแคลนนายไปเอง”
หลินยวนไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นกับเธอ จึงวกกลับเข้าประเด็นว่า “ที่ฉันมาในครั้งนี้ ก็เพื่อจะบอกเธอว่า เรื่องที่จะให้ฉันทำงานให้ตระกูลฉินน่ะ ช่างมันไปเสียเถอะ ส่วนเรื่องเงิน ฉันจะหาวิธีรีบคืนให้เธอเร็วที่สุด ขอเวลาให้ฉันหน่อย แล้วฉันจะเอามาคืนให้เธอภายในปีนี้”
ฉินอี๋ “ไปเรียนอยู่ที่หลิงซานมาตั้งสามร้อยปีแต่ยังเรียนไม่จบสักที สภาพอย่างนายเนี่ย กลัวว่าแค่งานสักงานก็ยังหาไม่ได้เลยมั้ง เงินล้านมุกน่ะ นายจะเอาอะไรมาคืนไม่ทราบ? ฉันไม่รับเงินที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนหรอกนะ ไม่อยากอธิบายไม่ได้เวลาคนอื่นถาม”
หลินยวน “คิดมากไปแล้ว ฉันอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งหลายปี อย่างน้อยก็ยังพอรู้จักคนอยู่บ้าง ยืมคนนั้นนิดคนนี้หน่อยก็พอจะหามาได้อยู่”
ความเดือดดาลผุดขึ้นในสายตาของฉินอี๋ สะบัดหน้าเดินหนีไป เดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าหน้าต่างอีกบาน คว้าบุหรี่ออกมาจุด สูบพ่นควันพลางเอนหลังพิงพนัก ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง คีบบุหรี่ไว้ด้วยนิ้วเรียวยาวทั้งสอง “นายว่าสำหรับฉันแล้วเนี่ย คำพูดของนายมันเชื่อถือได้ไหม? ถ้าฉันยังจะเชื่อคำโกหกของนายอีก ตระกูลฉินจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โดนหลอกแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว”
หลินยวนยังคงจับจ้องด้านนอกบานหน้าต่าง คล้ายกำลังพูดอยู่กับตัวเอง “พวกเรารักษาระยะห่างกันไว้ดีกว่า ฉันไม่อยากทำให้เธอลำบาก”
ฉินอี๋ที่คีบบุหรี่อยู่เหลียวหน้ามองมา บนใบหน้าเผยให้เห็นถึงความรู้สึกเย้ยหยัน “น่าขัน นายคิดว่านายเป็นใคร นายมีปัญญาทำให้ฉันลำบากหรือยังไง?”
หลินยวนหมุนกาย สืบเท้าเดินเข้ามาอย่างมั่นคง เดินมาอยู่ตรงหน้าเธออย่างเงียบๆ ก้มลงมองดูเธอ ราวกับขุนเขาสูงใหญ่ที่ไม่มีวันสั่นคลอน สายตาเปลี่ยนเป็นสุขุมนุ่มลึกโดยไม่รู้ตัว
ฉินอี๋ตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เธอสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้สายหนึ่งจากตัวอีกฝ่าย
ทว่าหลินยวนกลับเอ่ยปากย้ำเรื่องที่กล่าวไปเมื่อครู่นี้อีกครั้ง “เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป ฉันไม่อยากทำลายชื่อเสียงดีๆ ของเธอ”
ฉินอี๋กล่าว “ชื่อเสียงดีๆ อย่างนั้นเหรอ หยุดเลยนะ! ฉันกับนายไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น ฉันไม่ได้ความคิดอื่น นายอย่าเข้าใจผิด เรื่องที่จะระบายความโกรธแค้นในตอนนั้นมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ฉันเป็นนักธุรกิจ เรื่องหาเงินคือเรื่องสำคัญอันดับแรก ที่ฉันสนใจคือเรื่องผลประโยชน์ เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ ฉันให้นายสองทางเลือกก็แล้วกัน จะทำงานใช้หนี้คืน หรือจะเข้าไปนั่งในคุกเมืองปู๋เชวี่ย ฉันมีวิธีเยอะแยะมากมายที่จะทำให้ลุงเฉินออกมาเป็นพยาน… ฉันรับรองเลยว่ารสชาติของการติดคุกของเมืองปู๋เชวี่ยจะทำให้นายรู้สึกว่าตายเสียดีกว่าอยู่ ฉันเป็นคนพูดจริงทำจริง นายเลือกเอาเองก็แล้วกัน”
หลินยวนกล่าว “ฉินอี๋ จำเป็นต้องบีบกันแบบนี้เลยเหรอ?”
ฉินอี๋กล่าว “ไม่มีใครเขาบีบนายสักหน่อย ยืมเงินฉันไปตั้งหนึ่งล้าน รวมกับดอกเบี้ยของสามร้อยปี คิดนายหนึ่งล้านห้าแสนคงไม่เกินไปหรอกใช่ไหม? ถ้าตอนนี้นายเอาเงินมาคืนให้ฉันหนึ่งล้านห้าแสนได้ ฉันจะถือเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ตัวเองทำอะไรไว้ก็รับผลที่ตัวเองทำก็แล้วกัน อย่าคิดว่านายเป็นนักเรียนของหลิงซานแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรนายนะ ที่นี่คือเมืองปู๋เชวี่ย ไม่ใช่หลิงซานของพวกนาย นายลองเดินออกไปจากประตูบานนี้โดยที่ไม่คืนเงินดูสิ ฉันอยากรู้นักว่าหลิงซานของพวกนายจะกล้าชนกับกฎหมายของสภาเซียนซึ่งๆ หน้าหรือเปล่า!”
หลินยวนจ้องเธอด้วยสายตาเย็นเยียบ “เธอเปลี่ยนไปนะ”
“ขอบคุณที่ชม” ฉินอี๋ดับบุหรี่พลางลุกขึ้น เดินไปยังหน้าโต๊ะทำงาน จู่ๆ ก็หันกลับมาถามว่า “กินข้าวเย็นมาหรือยัง?”
ยังไม่ได้กิน แต่หลินยวนก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ฉินอี๋ไม่ได้ถามอะไรอีก เอื้อมมือไปกดปุ่มบนโต๊ะทำงาน
ไม่นานนักก็มีคนสองสามคนยกถาดอาหารเข้าไปยังห้องที่อยู่ด้านหลังชั้นหนังสือ ซึ่งด้านในมีโต๊ะทานข้าวตั้งอยู่
หลังสองสามคนนั้นวางสุราอาหารเรียบร้อยก็ค่อยๆ ถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ รักษากฎระเบียบเป็นอย่างดี
ฉินอี๋เข้าไปด้านใน นั่งลงตรงโต๊ะทานข้าว พยักเพยิดหน้าให้หลินยวนที่กำลังมองตัวเองจากด้านนอก “เข้ามาสิ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกัน ฉันยังไม่ถึงขนาดที่จะปล่อยให้ลูกน้องของตัวเองหิวท้องกิ่วหรอกนะ อย่างไรเสียฉันก็กินคนเดียวไม่หมดอยู่ดี”
พูดออกมาแบบนี้ อย่างกับว่าตนตอบตกลงแล้วอย่างไรอย่างนั้น มุมปากของหลินยวนกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่ล่ะ”
ฉินอี๋ไม่ได้ฝืนบังคับ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน รินสุราให้ตัวเองพลางกล่าวว่า “นั่นสินะ นักเรียนของหลิงซาน ตอนนี้นายเป็นผู้บำเพ็ญแล้วนี่ ไม่กินอะไรเป็นสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ไม่เป็นไร”
เธอวางขวดสุรา จับตะเกียบ แล้วก็ชี้ไปที่มุมมุมหนึ่ง
หลินยวนไม่รู้ว่าเธอกำลังชี้อะไร เลยเดินเข้าไปดูข้างใน พบว่าบนโต๊ะที่อยู่ตรงมุมห้องมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงวางอยู่เครื่องหนึ่ง
ฉินอี๋ขยับตะเกียบบอกเป็นนัยเล็กน้อย จากนั้นใช้ตะเกียบคีบอาหาร ทานในส่วนของตัวเอง
หลินยวนพอจะเข้าใจแล้วว่าหมายถึงอะไร ผู้หญิงคนนี้เป็นคนมีรสนิยมสูง ตอนทานข้าวก็ต้องฟังดนตรี ครั้นเดินไปถึงด้านหน้าเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็พบว่าบนเครื่องเล่นแผ่นเสียงมีแผ่นเสียงสีดำวางเอาไว้อยู่แล้ว จึงขยับวางหัวเข็มเครื่องเล่นแผ่นเสียงลงไป เห็นได้ว่าเขาคุ้นเคยกับเจ้าสิ่งนี้
บริเวณภายนอกเข้าสู่ความมืดแล้ว เห็นดวงดาราพร่างพราย มีแต่ต้องอยู่ในบริเวณสูงๆ เท่านั้นถึงจะเห็นแสงยามอาทิตย์ตกดิน เสียงเพลงโหมโรงส่งเสียงนุ่มนวลออกมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง เพิ่มความอบอุ่นอ่อนโยนและอารมณ์ที่แตกต่างออกไปให้แก่ความเงียบสงบในห้องนี้จริงๆ
จากนั้น เสียงเพลงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังลอยออกมา ‘ในคืนอันเงียบงัน เสียงแซกโซโฟนดังเนิบช้าขึ้นมา…’
ทันทีที่หลินยวนได้ยินท่วงทำนองและเนื้อเพลงของเพลงบทนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เขาหันไปทางฉินอี๋ที่กำลังทานข้าวอยู่ทันที กล่าวว่า “นี่มันของจากแดนมนุษย์นี่!”
จะบอกว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงนี้เป็นของที่สร้างขึ้นในดินแดนเซียนก็ได้ อย่างเช่นรถที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้ก็เรียกว่าสร้างขึ้นมาในดินแดนเซียนเช่นกัน แกนขับเคลื่อนในสิ่งต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาในดินแดนเซียนนั้นแตกต่างจากของในแดนมนุษย์ แรงขับเคลื่อนที่สร้างขึ้นก็สะอาดเป็นอย่างมาก พลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นพลังงานจากหินวิญญาณที่ไม่สร้างมลพิษ
แม้แต่แผ่นเสียงไวนิลแผ่นนี้ก็บอกได้เลยว่าเป็นของที่สร้างขึ้นในแดนเซียน ทว่าเห็นได้ชัดว่าเพลงเพลงนี้เป็นบทเพลงของแดนมนุษย์
หรือพูดอีกอย่างก็คือแผ่นเสียงแผ่นนี้ถูกแอบลักลอบนำเข้ามาสู่แดนเซียน!
แดนเซียนควบคุมเรื่องพวกนี้อย่างเข้มงวด ควบคุมไม่ให้สิ่งของในแดนเซียนเล็ดลอดลงไปสู่แดนมนุษย์อย่างเข้มงวด เพื่อไม่ทำให้ระเบียบในโลกมนุษย์เกิดความวุ่นวาย อีกทั้งควบคุมการลักลอบนำของจากแดนมนุษย์เข้ามาสู่แดนเซียนอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสิ่งของเพื่อความบันเทิงจากแดนมนุษย์นั้นยิ่งถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ทันทีที่ถูกพบเห็นจะถูกลงโทษสถานหนัก
เพราะสิ่งของเพื่อความบันเทิงจากแดนมนุษย์ส่วนใหญ่มักมีการปรับแต่งเรื่องราว วัตถุและลักษณะนิสัยใจคอของมนุษย์ให้ดูสวยงาม หากเสพมากก็จะยิ่งทำให้เกิดกิเลสได้ง่าย หากเซียนทุกคนต่างรู้สึกว่าแดนมนุษย์งดงามล่ะก็ เกรงว่าแนวโน้มที่เซียนจะพยายามแอบลักลอบลงไปบนโลกมนุษย์ก็จะยิ่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือพวกเขากังวลว่าของจากแดนมนุษย์จะทำให้ระเบียบของแดนเซียนวุ่นวาย!
เมื่อในอดีต มารดาของหยางเจินผู้เป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งของสภาเซียน หรือก็คือน้องสาวของจักรพรรดิเซียน ได้แอบลักลอบลงไปยังแดนมนุษย์เนื่องเพราะกิเลส ทั้งยังแอบมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ สร้างความเดือดดาลแก่สภาเซียนจนต้องจับกุมตัวกลับมา
บิดาผู้ให้กำเนิดหยางเจินคือคนธรรมดาบนโลกมนุษย์!
เกรงว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ชั่วชีวิตนี้ท่านสองผู้นั้นคงไม่มีวันจะขจัดทิ้งไปได้ ไม่ว่าเขาจะสร้างความดีความชอบทางการศึกมากมายเท่าใด ก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงการถูกผู้คนนินทาลับหลังได้!
เมื่อมีช่องโหว่ถึงจะมีการควบคุม ทว่าภายใต้การควบคุมก็ยังเกิดความผิดพลาดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขอเพียงมีผลประโยชน์ มันก็มักจะมีคนคิดหาทางได้อยู่เสมอ ของเถื่อนหลายอย่างที่มาจากแดนมนุษย์ยังคงมีให้เห็นอยู่ในแดนเซียน เพียงแต่ไม่มีใครกล้าแสดงมันออกมาอย่างเปิดเผยเท่านั้น
ทว่าประธานของหอการค้าตระกูลฉินผู้นี้ถึงกับกล้าตั้งของเถื่อนจากแดนมนุษย์ไว้ในห้องทำงานของตัวเองอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้!
ฉินอี๋กลับตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เป็นของจากแดนมนุษย์แล้วจะทำไม?”
หลินยวนกล่าว “ก็ไม่เห็นไม่จำเป็นต้องเอามาตั้งไว้โจ่งแจ้งแบบนี้ ถ้าถูกคนไปรายงาน ถ้าถูกจับได้คาหนังคาเขา ต่อให้เป็นตระกูลฉินของเธอก็แบกรับไม่ไหวแน่ ทำผิดกฎหมายของดินแดนเซียนอย่างโจ้งแจ้งเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่เจ้าเมืองของเมืองปู๋เชวี่ยก็คงไม่กล้าปกป้องเธอแน่!”
ฉินอี๋จิบสุราไปหนึ่งอึก หันกลับมาจ้องเขา “นี่เป็นโอกาสอันดีที่นายจะได้แก้แค้นเลยนะ ถ้านายคิดจะไปฟ้องก็ไปฟ้องเลย แต่ฉันรับรองเลยว่านายจะเสียเวลาเปล่า เพราะที่นี่ไม่มีอะไรให้สืบได้อย่างไรล่ะ”
ที่จริงถึงไม่ได้ยินเพลงนี้ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าแผ่นเสียงแผ่นนี้เป็นของจากแดนมนุษย์ ต่อให้คนเห็นก็ไม่เป็นอะไร อีกทั้งปกติแล้วเธอก็ไม่ค่อยฟังเพลงพวกนี้ต่อหน้าคนนอก เธอยังไม่โง่ถึงขนาดหาเหามาใส่หัวของตัวเอง
ต่อให้มีคนไปแจ้งทางสภาเซียน แต่ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาต คนนอกก็ไม่มีทางเข้ามาในห้องนี้ได้ ถ้าจะฝืนดึงดันเข้ามา ระบบรักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งเอาไว้ก็จะทำลายหลักฐานทั้งหมด เพียงแค่แผ่นเสียงเล็กๆ แผ่นหนึ่งจัดการทำลายได้ไม่ยากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางหาหลักฐานที่บอกว่าเธอซุกซ่อนของผิดกฎหมายเจอได้
หลินยวนกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น ว่ามาเลย จะให้ฉันเริ่มงานเมื่อไหร่”
ตกลงอย่างนั้นเหรอ! ฉินอี๋เอียงศีรษะมองดูเขา เผยแววหยอกล้อที่เห็นไม่ได้ง่ายๆ บนมุมปาก ยกมือขึ้นสางผมเล็กน้อย ดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจอยู่หลายส่วน “พรุ่งนี้เช้า!”
“ลาล่ะ!” หลินยวนหันหน้าเดินจากไป
ฉินอี๋ชูแก้วขึ้นอย่างเยือกเย็น “กระทั่งเงินเดือนของตัวเองก็ไม่ถาม นายไม่กลัวว่าฉันจะให้นายแค่หนึ่งร้อยมุกต่อเดือนหรือไง”
ล้อกันเล่นหรือไง? หนึ่งร้อยมุก ยังไม่พอเป็นค่าขนมเลย แค่หนึ่งร้อยมุก แล้วต้องคืนเงินหนึ่งล้านห้าแสนไปถึงปีไหนเดือนไหนล่ะนั่น? หลินยวนถูกตอกกลับจนเหลือจะทน รีบหยุดฝีเท้าทันทีแล้วหันกลับไปถาม “เธอจะให้เท่าไหร่ล่ะ”
ฉินอี๋ยกแก้วคริสตัลในมือ “หนึ่งหมื่นมุก”
สีหน้าของหลินยวนค่อยๆ ผ่อนคลายลง หนึ่งหมื่นมุกนี่ไม่นับว่าน้อยเลยในเมืองปู๋เชวี่ย ถือว่าเป็นเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง
ฉินอี๋เอ่ยต่อ “แต่ถึงมือนายจริงๆ สองพัน แปดพันที่เหลือจะเก็บไปหักกับหนี้ที่ติดไว้ พอคิดแบบนี้แล้ว ในหนึ่งปีก็จะคืนเงินได้ประมาณหนึ่งแสนมุก สิบกว่าปีก็คืนหมดแล้ว แต่แน่นอนว่าถ้าทำดีฉันก็จะมีรางวัลให้ด้วย ตั้งใจทำงานให้ดี บางทีอาจจะคืนเงินหมดภายในเวลาไม่ถึงสิบปีก็ได้ แบบนี้ไม่ถือว่าฉันเอาเปรียบนายหรอกใช่ไหม?”
………………………………………………………