ตอนที่ 40 มีเรื่องนิดหน่อย
ข้างกายหลัวคังอันที่เดินออกมาจากไนต์คลับมีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง อู่เวยที่ดูคล้ายดื่มจนเมาถูกเขาโอบเอวพาออกมาด้วย
หลัวคังอันอารมณ์ดีอย่างมาก เสียเวลาไปมากขนาดนี้ ในที่สุดก็ได้กินเนื้อชิ้นนี้เสียที
อันที่จริงแล้วเขาเพิ่งจะตามจีบเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้ว เวลาที่ใช้การเอาตัวอู่เวยมามันยาวนานอย่างมาก
วันนี้ ด้วยการตามตื้ออย่างไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อยของเขา ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็ยอมดื่มเป็นเพื่อนเขา ในที่สุดเธอก็ถูกเขาพาออกมาในสภาพเมามาย
อู่เวยจงใจก้มหน้า ใช้ประโยชน์จากผมยาวของเธอในการปิดบังใบหน้า ต้องการจะหลบหน้าคนรู้จัก ก่อนถูกหลัวคังอันดันเข้าไปในรถที่จอดอยู่ข้างทางอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนั่งรถออกไปด้วยกัน
หลัวคังอันที่ขับรถอยู่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข คอยเหลียวมามองผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างกายเป็นระยะ ส่วนจูเก่อม่านคนนั้นได้ถูกเขาโยนทิ้งไปนอกหัวสมองแล้ว ไหนเลยยังจะจำจูเก่อม่านอะไรนั่นได้อีก
วันนี้เขาออกมาเที่ยวเสเพลโดยหลอกจูเก่อม่านว่าวันนี้ที่หอการค้ามีงาน จึงไม่ได้ไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ
“ปกติผู้หญิงคนนี้หยิ่งมากไม่ใช่เหรอ เกือบจะหลงคิดเธอจะไม่แปดเปื้อนเรื่องแบบนี้ถึงแม้จะทำงานอยู่ในที่แบบนี้เสียอีก ไม่ทันไรก็…เหอๆ!”
“แกไม่รู้เหรอว่าผู้ชายคนนั้นเหมือนจะเป็นพนักงานระดับสูงของหอการค้าตระกูลฉิน มีเงิน มักจะมาทุ่มให้อู่เวยบ่อยๆ”
“ฉันเพียงแค่รู้สึกเสียดายแทนเสี่ยวเหลียง ที่แท้ปกติผู้หญิงคนนี้ก็แสร้งทำให้เสี่ยวเหลียงดู พอเสี่ยวเหลียงลาป่วย ผู้หญิงคนนี้ก็ออกลายทันที สุดท้ายก็เห็นแก่เงิน!”
“เฮ้อ แล้วก็ไม่รู้ว่าถ้าเสี่ยวเหลียงรู้เข้าจะเป็นยังไงบ้าง กลัวว่าจะโกรธจนกระอักเลือดน่ะสิ”
“ไม่ใช่เมียเขาสักหน่อย ยังไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎหมายของดินแดนเซียน อู่เวยเต็มใจตามเขาไป เสี่ยวเหลียงโกรธแล้วจะไปทำอะไรได้ คนเขามีเงิน สามารถให้อู่เวยได้ ในเมื่อเสี่ยวเหลียงให้ไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรพนักงานระดับสูงของหอการค้าตระกูลฉินได้? ยอมรับชะตากรรมเสียเถอะ”
เด็กหนุ่มสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูของไนต์คลับซุบซิบพูดคุยกัน ส่ายหน้าพลางถอนใจเป็นระยะ….
……
อู่เวยที่ถูกหลัวคังอันพากลับมานึกเสียใจที่ตนเองแสร้งทำเป็นเมา
หลัวคังอันนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผู้หญิง เมาจริงหรือแกล้งเมาไม่มีทางปิดบังเขาได้ ในเมื่อยินดีแกล้งเมา เขาก็ทำเหมือนว่าเธอเมาจริงๆ
สุดท้ายก็ถูกท่าทางหื่นกระหายของหลัวคังอันทำให้สร่างเมา อู่เวยไม่กล้าแสร้งทำเป็นเมาต่อไป แต่ก็ผลักหลัวคังอันออกไปไม่ได้ สุดท้ายจึงอ้าปากกัดไปที่หัวไหล่ของหลัวคังอัน
“โอ๊ย!” หลัวคังอันลุกขึ้นมาเพราะความรู้สึกเจ็บ ก่อนจะถลึงตามองเธอพลางกล่าว “เธอบ้าไปแล้วเหรอ?”
อู่เวยรีบลุกขึ้นมา เอามือกุมเสื้อผ้าที่ถูกดึงออกด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ก่อนจะถามเขากลับว่า “คุณจะทำอะไร?”
“ฮี่ๆ” หลัวคังอันขบขัน ลุกขึ้นยืนทั้งๆ ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เธอ “อู่เวย แบบนี้มันไม่สนุกนะ”
อู่เวยค่อนข้างกลัวเขา เธอถูกบีบจนต้องไปอยู่ตรงมุมกำแพง กล่าวอย่างตื่นตระหนกว่า “อย่าเข้ามา”
มือทั้งสองข้างของหลัวคังอันเท้ามุมกำแพงเอาไว้ ไม่ให้เธอหนีไปไหนได้ ขังเธอเอาไว้ตรงมุมกำแพง “เธอกัดฉันแบบนี้จะชดใช้ยังไง? ฉันเป็นผู้บำเพ็ญเพียรนะ…” จู่ๆ เขาพลันลงมือ ดึงเธอเข้ามากอด ทั้งจูบทั้งหอมเธอ
อู่เวยรีบปัดป้องอย่างลนลาน “ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ ถ้ายังไม่ปล่อยฉัน ฉันจะฟ้องว่าคุณข่มขืนนะ!”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะฟ้องตัวเอง หลัวคังอันพลันเงยหน้าขึ้นมา หัวเราะเหอๆ พลางกล่าวว่า “คนในไนต์คลับเห็นกันหมดว่าเธอยอมมากับฉันเอง จะฟ้องฉันอย่างนั้นเหรอ? ตลกน่า!” กล่าวจบก็ระดมจูบอีกฝ่ายต่อ
“กรี๊ด!” จู่ๆ อู่เวยพลันส่งเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูออกมา ทำเอาหลัวคังอันเกือบตกใจ
อู่เวยฉวยโอกาสผลักเขาออก ละล่ำละลักเกือบจะเป็นการขอร้องว่า “วันนี้ไม่ได้ ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเลย คุณให้เวลาฉันหน่อยได้ไหมคะ วันหลังฉันค่อยยอมคุณได้ไหมคะ?”
หลัวคังอันถลึงตาใส่ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจแล้ว “วันหลัง? มาถึงขนาดนี้แล้ว เธอจะให้ฉันรอวันหลัง? ฉันรอถึงวันหลังได้เหรอ?” มือทั้งสองข้างจับตัวเธอเอาไว้
อู่เวยไหนเลยจะดิ้นรนออกมาได้ ขณะที่กำลังร้อนใจจึงตะโกนออกมาสุดเสียงว่า “ถ้าคุณมีปัญญาก็ฆ่าฉันเลย ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้คุณล่มจมแน่!”
ความเคลื่อนไหวของหลัวคังอันหยุดชะงัก กล่าวถามเธอว่า “เธอหมายความว่ายังไง? คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเธอแกล้งเมา? อยากจะเจรจาเงื่อนไขเหรอ ได้ เธอว่ามา”
อู่เวยส่ายหน้า “ไม่ได้มีเงื่อนไข แต่ฉันยังไม่พร้อมจริงๆ วันหลัง วันหลังได้แน่นอน”
หลัวคังอันจ้องมองเธอเงียบๆ
อู่เวยรีบกล่าวรับรอง “ครั้งหน้า ฉันรับรอง ฉันยอมคุณแน่นอน วันนี้ไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะตายให้คุณดู!”
สายตาของหลัวคังอันสาดประกายออกมาเล็กน้อย จู่ๆ พลันปล่อยมือจากตัวเธอ หมุนตัวเดินไปอีกด้านหนึ่ง หยิบเอาซิการ์ขึ้นมาจุด พ่นควันพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัว ฉันแค่ล้อเธอเล่นเท่านั้น” ก่อนจะเดินกลับมาพิงกำแพงข้างๆ เธอ กล่าวด้วยสีหน้ากลุ้มใจว่า “ฉันเป็นคนมีหลักการ ไม่เคยบังคับผู้หญิงมาก่อน”
คำพูดนี้อู่เวยเพียงแค่ฟังผ่านหูเท่านั้น เธอรีบสวมใส่เสื้อผ้าที่ถูกถอดออกอย่างลนลาน
หลังสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะบังคับขืนใจอีก อู่เวยจึงสงบใจลงเล็กน้อย เธอก้มหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ๆ พลันเงยหน้าขึ้นมา ฝืนฉีกยิ้มพลางกล่าวว่า “มันปุบปับเกินไป ฉันทำใจไม่ได้ เรามาทำความคุ้นเคยกันก่อนสักสองสามวันดีไหมคะ?”
“ได้!” หลัวคังอันตอบอย่างเด็ดขาด ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ตัวเธออีกครั้ง มือโอบเอวของเธอเอาไว้ หัวเราะกรุ้มกริ่มพลางกล่าวว่า “เธออยากจะทำความคุ้นเคยแบบไหนล่ะ?”
อู่เวยหวาดระแวง ภายในใจคิดต่อต้าน แต่ก็พยายามฝืนยิ้มพลางกล่าว “คุยกันก่อนแล้วกันค่ะ”
“คืนนี้ยังอีกยาวไกล พวกเราค่อยๆ คุยกันก็ได้…” หลัวคังอันหมุนตัวโอบเธอเอาไว้ในอ้อมแขน พาเธอไปนั่งลงยังโซฟาที่อยู่ด้านข้าง มือยังคงโอบอู่เวยเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
อู่เวยผลักอยู่สองสามครั้งก็ไม่อาจดิ้นหลุดออกมาได้ จึงได้แต่ต้องอยู่ในอ้อมแขนของเขาต่อไป ภายในใจคิดถึงเรื่องที่เฉาเหยี่ยสั่งเอาไว้ หลังจากหลัวคังอันที่พร่ำบ่นไปเรื่อยหุบปากลง เธอจึงลองถามหยั่งเชิงออกไปประโยคหนึ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ฉันจำได้ว่าคุณเคยบอกว่าเป็นผู้พิทักษ์เทพอยู่ในเมืองหลวง แล้วทำไมถึงมาทำงานที่หอการค้าตระกูลฉินล่ะคะ?”
“เฮ้อ! เรื่องมันยาวน่ะ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลัวคังอันกลับปล่อยมือจากเธอ เอนตัวไปพิงพนักโซฟาพลางกล่าวด้วยสีหน้ากลุ้มใจ
เขารอให้อีกฝ่ายถามต่อ
ส่วนอู่เวยก็ไม่กล้าถามอะไรมาก ด้วยกังวลว่าจะเผยพิรุธอะไรออกไป จึงอยากรอให้เขาพูดต่อไป
ภายในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะถามต่อ หลัวคังอันก็ทนไม่ไหว จึงเล่าออกไปเองว่า “ที่สิบสามมารสวรรค์บุกโจมตีเมืองหลวง ฉันเองก็เป็นคนที่สู้ถวายชีวิตให้กับสภาเซียนเหมือนกัน…”
หลัวคังอันทำท่าคล้ายไม่อยากหวนนึกถึงความหลัง บอกเล่าเรื่องราวที่ตนเองช่วยเหลือท่านสองออกมารอบหนึ่ง
หลังเล่าจบ เขาก็สั่งกำชับอู่เวยว่าเรื่องนี้ให้เธอรู้เพียงคนเดียวก็พอ ไม่ต้องเอาไปเล่าให้ใครฟัง
อู่เวยฟังจบก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จะมีเบื้องหลังที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำให้ป้าหวังที่เป็นหนึ่งในสิบสามมารสวรรค์ที่ร่ำลือกันได้รับบาดเจ็บสาหัสได้!
สำหรับเธอแล้ว ทั้งท่านสองที่เป็นเทพสงครามแห่งสภาเซียนและสิบสามมารสวรรค์ล้วนแต่เป็นบุคคลในตำนาน
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ อู่เวยจำต้องยอมรับอยู่ภายในใจ เธอรู้สึกชื่นชมชายที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนที่หลัวคังอันเล่าเรื่องเหล่านี้ก็คอยสังเกตปฏิกิริยาของเธอ รู้สึกพึงพอใจต่อการตอบสนองของเธออย่างมาก
เรื่องราวในอดีตที่เขาเล่าไปเมื่อครู่นี้ได้กลายเป็นหนึ่งในลูกไม้ที่เขาใช้โออวดตัวเองเพื่อเกี้ยวพาราสีหญิงสาว
เมื่อเรื่องราวเกี่ยวพันไปถึงท่านสองแห่งสภาเซียนและสิบสามมารสวรรค์ อู่เวยก็ไม่รู้ว่าควรจะถามเรื่องนี้ต่อไปหรือไม่ สายตามองไปยังภาพนิตยสารที่ติดอยู่บนผนังอย่างไม่ตั้งใจ
บนภาพนั้นคือ ‘เทพธิดา’ ผู้หนึ่ง รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ใบหน้างดงามเป็นอย่างมาก
ในดินแดนเซียน คนที่จะถูกเรียกว่า ‘เทพธิดา’ ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่งดงามจนสะกดสายตาผู้คน คล้ายๆ กับดาราบนโลกมนุษย์ อาชีพที่ทำอยู่บนดินแดนเซียนก็คล้ายๆ กัน
เทพธิดาที่อยู่บนภาพนิตยสารคนนั้นมีชื่อว่าเสวี่ยหลาน ไม่อาจถือเป็นเทพธิดาระดับต้นๆ ของดินแดนเซียนได้ แค่บอกได้ว่ามีใบหน้ารูปไข่ที่น่าดูและมีรูปร่างที่เย้ายวน
แล้วก็เป็นเพราะว่าเธอมิใช่เทพธิดาระดับต้นๆ แต่กลับถูกหลัวคังอันเอารูปมาแขวนไว้บนกำแพงห้อง ดังนั้นจึงทำให้อู่เวยรู้สึกสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย กล่าวถามว่า “คุณชอบเสวี่ยหลานหรือคะ?”
หลัวคังอันได้ยินเช่นนี้จึงมองไปยังหญิงสาวที่อยู่บนภาพนิตยสาร ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา “เคยเจอตอนอยู่ที่เมืองหลวงน่ะ”
……
รุ่งเช้า ที่ลานจอดรถของหอการค้าตระกูลฉิน ซินกว่างเฉิงที่จอดรถแล้วเดินลงมาจากรถสายตาพลันหยุดชะงัก เขามองเห็นคนที่ผูกผมม้าคนหนึ่งยืนพิงเสาหินอยู่
หลินยวนยืนพิงเสาหิน สองมือล้วงกระเป๋า คล้ายจ้องมองดูเขาอย่างไม่ตั้งใจ
ซินกว่างเฉิงสายตาวูบไหว หลบสายตาไปด้วยความหวาดกลัว รีบก้าวเท้าฉับๆ อย่างว่องไว
หลินยวนไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากนัก เขามาถึงหอการค้านานแล้ว ที่เขามายืนรออยู่ตรงนี้ก็เพื่อจะรอคนผู้นี้ คิดอยากจะดูว่าท่าทีของคนผู้นี้เป็นอย่างไร
หลบสายตาด้วยความหวาดกลัวเช่นนี้ก็ถูกแล้ว เพราะถ้าหากอีกฝ่ายไปทำการสารภาพกับไป๋หลิงหลงมาแล้ว หรือว่าเตรียมตัวจะมาสารภาพล่ะก็ ท่าทีของเขาไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่นอน
เขาเองก็ไม่มีใครให้ใช้งานได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมาสังเกตในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ขณะที่กำลังหมุนตัวจากไป รถคันหนึ่งได้มาจอดอยู่ข้างกายเขาอย่างตั้งใจ หลัวคังอันลงมาจากรถ กล่าวถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “น้องหลิน มายืนอยู่ตรงนี้ทำอะไร?”
จูเก่อม่านเดินลงมาจากอีกด้านหนึ่งของรถ โบกมือทักทายหลินยวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าท่าทางดูไม่เลว แต่งหน้าดูดีอย่างมาก
หลัวคังอันแวะไปรับเธอมาทำงานด้วยกันแต่เช้า นี่คือเรื่องที่เขารับปากจูเก่อม่านเอาไว้ แล้วก็ถือว่าเขาทำได้แล้ว
หลินยวนตอบกลับไปว่า “มารอพี่”
หลัวคังอันไม่สงสัย รีบโบกมือไปทางจูเก่อม่านเพื่อบอกให้เธอไปก่อน จากนั้นจึงถามหลินยวนเสียงเบาๆ ว่า “คงไม่ใช่ว่ามีเรื่องอะไรมาให้ฉันช่วยอีกนะ? ฉันบอกแล้วไง ถ้าเกี่ยวกับกวนเสี่ยวชิงพวกนั้น ฉันช่วยอะไรไม่ได้”
“ไม่มีอะไร” หลินยวนหมุนตัวเดินจากไป
ไม่มีอะไรแล้วมารอฉันที่นี่ทำไม? หลัวคังอันงุนงง รีบเดินตามไป
หลัวคังอันเดินตามหลินยวนเข้าไปในห้องทำงาน ทิ้งตัวลงบนโซฟา เริ่มเล่าเรื่องของเขากับอู่เวยเมื่อคืนนี้ออกมา ก่อนจะให้หลินยวนทายว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรกว่าเขาจะได้ตัวเธอ
สำหรับหลินยวนแล้ว เรื่องแบบนี้มันน่าเบื่ออย่างมาก ไม่มีความรู้สึกสนใจใดๆ
หลินยวนยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ เมื่อเห็นคนผู้นี้มานั่งอู้อยู่ที่นี่ ไม่มีทีท่าว่าจะจากไป เขาจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “จูลี่จะมาแล้ว”
“….” ในที่สุดหลัวคังอันที่พูดไม่หยุดก็เงียบลง พูดอะไรไม่ออก เขานั่งตัวตรงอยู่บนโซฟา กล่าวด้วยความตกใจปนสงสัยว่า “มาอีกแล้วเหรอ? เมื่อวานพวกนายไม่ได้เจอกันเหรอ?”
กระทั่งพูดโกหกหลินยวนก็ยังคร้านที่จะเปลืองแรงไปคิดคำโกหก “เมื่อวานเธอมีธุระก็เลยเลื่อนเป็นวันนี้”
“เลื่อนอีกแล้วเหรอ?” หลัวคังอันลุกขึ้นยืน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อยากจะเจอหน้าจูลี่อีก “ได้ อย่างนั้นฉันไม่กวนนายแล้ว” กล่าวจบก็รีบเดินออกไป
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว หลินยวนจึงลงมือทันที เขาถอดเอากล้องที่อยู่ภายในห้องทั้งหมดออกมา เก็บใส่กระเป๋ากางเกง เดินตรงออกไป
เมื่อมาถึงห้องผู้ช่วยก็ได้เจอกับกวนเสี่ยวชิงอีกครั้ง ส่วนกวนเสี่ยวชิงก็แสร้งทำเป็นไม่สนิทสนมกับเขา
หลินยวนแจ้งกับทางห้องผู้ช่วย เมื่อรู้ว่าหลินยวนมา ไป๋หลิงหลงก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เมื่อเห็นเขาเข้ามา ไป๋หลิงหลงที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานก็ลุกขึ้นพลางกล่าวถาม “มีธุระ?”
หลินยวนกล่าว “มีเรื่องอยากจะคุยกับท่านประธานหน่อย”
ไป๋หลิงหลงลังเลไปครู่หนึ่ง ในเวลานี้เป็นช่วงที่ฉินอี๋กำลังยุ่งอยู่กับงาน ตามหลักแล้วไม่เหมาะจะเข้าไปรบกวน แต่เมื่อคิดถึงสถานะของคนผู้นี้ สุดท้ายเธอจึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อฉินอี๋ที่อยู่ด้านใน “ท่านประธานคะ หลินยวนมาค่ะ บอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านประธาน ค่ะ ได้ค่ะ”
หลังวางโทรศัพท์ เธอก็พยักหน้าให้หลินยวน
ฉินอี๋ที่อยู่ภายในห้องเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะทำงาน วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีดำ อวดทรวดทรงที่ดูสง่างาม เธอจัดแจงชุดของเธอเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็รีบวางมือลงทันที
หลินยวนก้าวอาดๆ มายืนอยู่ตรงหน้าเธอโดยไม่พูดอะไร ฉินอี๋ที่สวมรองเท้าส้นสูงเตี้ยกว่าเขาเพียงเล็กน้อย
ทั้งสองคนสบตากัน ฉินอี๋กล่าวถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
หลินยวนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเอาของบางอย่างออกมากำหนึ่ง ปัง! เขาตบมันลงบนโต๊ะทำงานของเธอ
ฉินอี๋ยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร กล่าวถามว่า “อะไร?”
หลินยวนกล่าวว่า “กล้องวงจรปิดที่หลัวคังอันถอดออกมาจากห้องพักผ่อนของผม”
……………………………………………………………