ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 57 วันนี้ฉันไม่คิดจะมีชีวิตออกไปจากที่นี่

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 57 วันนี้ฉันไม่คิดจะมีชีวิตออกไปจากที่นี่

ถึงแม้วิธีที่เขาจัดการเรื่องราวจะค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่เขาก็มีการคิดเรื่องขั้นตอนและความคืบหน้าของแผนการเอาไว้แล้ว

หลังพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย กวนเสี่ยวไป๋ก็บอกจางเลี่ยเฉินว่า “ลุงเฉิน ที่ร้านผมยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ ผมไปก่อนนะ เอาไว้ว่างๆ ค่อยมาหาลุงใหม่นะ”

สำหรับจางเลี่ยเฉินแล้ว กวนเสี่ยวไป๋ก็เป็นคนที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก สมัยเด็กๆ ที่ยังเที่ยวเล่นอยู่กับหลินยวนก็มักจะมาที่โรงอีหลิวอยู่บ่อยๆ หลังหลินยวนไม่อยู่ เขาก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่อีก

“มาบ่อยๆ” จางเลี่ยเฉินยิ้มพลางโบกมือ มองดูของที่วางอยู่ข้างกาย นั่นคือของขวัญที่กวนเสี่ยวไป๋เอาติดไม้ติดมือมาฝาก เขาดีใจอย่างมาก

แต่หลัวคังอันกลับไม่มีท่าทีว่าจะกลับไป หลังเกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาเองก็ไม่กล้าซี้ซั้วไปยังสถานที่วุ่นวายแบบนั้นอีก เมื่อไม่สามารถออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ อีกทั้งยังแตกหักกับจูเก่อม่านแล้ว เวลานี้เขาจึงไม่มีที่ให้ไป อย่างไรเสียก็ไม่มีธุระอะไรให้ทำ เขาจึงมาหมกตัวอยู่ที่นี่

มีแขกมาปุบปับกะทัน จางเลี่ยเฉินเองก็ไม่รู้จะต้อนรับอย่างไร แล้วก็ไม่คิดที่จะไปซื้ออะไรมาต้อนรับแขก ยังคงทำเหมือนเดิม ต้มโจ๊กที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมาหม้อหนึ่ง

หลินยวนไม่ค่อยอยากอาหาร แล้วก็ไม่อยากพูดคุยกับคนแบบหลัวคังอัน เขาเกือบจะตะโกนไล่อีกฝ่ายว่าไสหัวออกไป!

ไม่เพียงแต่จะเป็นเพราะเรื่องที่ทำผิดต่อจูเก่อม่าน แต่ต้นเหตุที่ทำให้อู่เวยต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้นก็คือหลัวคังอัน แล้วก็ยังมีเรื่องที่หลัวคังอันเที่ยวคุยโวไปทั่ว เรียกได้ว่าหน้าด้านเป็นที่สุด หลินยวนไม่ชอบคนแบบนี้เลยจริงๆ

ดังนั้นเขาจึงบอกจางเลี่ยเฉินว่าจะกลับไปบำเพ็ญเพียรที่ห้อง จากนั้นก็กลับไปยังห้องของตนเอง

หลัวคังอันไม่สนใจ เขาไม่มีที่ไป ขอเพียงมีคนอยู่เป็นเพื่อนก็พอ จึงพูดคุยกับจางเลี่ยเฉินอยู่พักใหญ่

แล้วก็ไม่ได้รังเกียจที่ไม่มีสุราอาหารมาต้อนรับ แค่มีโจ๊กก็พอ

หลินยวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องได้ยินเสียงพูดคุยของหลัวคังอันที่ดังมาเป็นระยะ รู้สึกยอมใจในปากของคนผู้นี้ หลังจากมาถึงที่นี่ก็แทบจะไม่หยุดพูดเลย ผู้ชายคนหนึ่งจะมีเรื่องเหลวไหลอะไรให้พูดมากมายขนาดนั้น? หากมิเป็นเพราะเคยชินตั้งแต่ตอนที่ทำงานอยู่ด้วยกันแล้ว เขาคงจะนึกสงสัยว่าหลัวคังอันมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์บางอย่างเป็นแน่

ตอนแรกจางเลี่ยเฉินก็ยังรู้สึกว่าครึกครื้น มีคนมาช่วยคลายความเบื่อหน่าย แต่หลังจากนั้นเมื่อต้องเจอกับปากที่พูดไม่หยุดของหลัวคังอัน เขาก็เริ่มจะรับมือไม่ไหวเหมือนกัน พูดมากจริงๆ!

แต่หลัวคังอันกลับไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย นึกอยากกินโจ๊กก็ลุกไปตักเอง นึกอยากดื่มชาก็ลุกไปเทเอง เห็นอะไรก็หยิบขึ้นมาดูเอง ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นคนนอกเลย

สุดท้ายจางเลี่ยเฉินจึงได้แต่ต้องเหลือบมองดูท้องฟ้าเป็นระยะ หาวออกมาเป็นระยะ ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว

หลัวคังอันมองออกว่าอีกฝ่ายดูคล้ายเหนื่อยล้าอยากพักผ่อน เขาเองก็ไม่ถึงกับเป็นคนที่คิดไม่เป็น จึงได้แต่ต้องบอกลา

เขาออกจากประตูขึ้นรถไป แถมยังพิงกระจกรถโบกมือลาจางเลี่ยเฉินที่ออกมาส่ง กล่าวว่า “ลุงเฉิน ไว้ผมมาหาลุงใหม่นะ”

“ได้ๆๆ” จางเลี่ยเฉินยิ้มไม่ค่อยจริงใจเท่าไร

หลัวคังอันที่ขับรถออกมาวนเวียนอยู่ในเมือง แถมยังจงใจขับผ่านไนต์คลับแห่งนั้นด้วย สุดท้ายพบว่าไนต์คลับถูกปิดไปแล้ว จึงต้องล้มเลิกความคิดที่จะหาความสุขไป ตรงกลับไปยังที่พักของตัวเอง

เขาจอดรถแล้วลงมาจากรถ มองเห็นภายในบ้านมีแสงไฟ นึกว่าตัวเองคงลืมปิดไฟตอนก่อนจะออกจากบ้าน

กระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูแล้วล้วงหยิบกุญแจออกมา หลัวคังอันถึงได้พบเห็นความผิดปกติ เขาตกตะลึงไป มองหารูเสียบกุญแจไม่เจอ

เขารีบก้าวเท้าลงบันไดไป กวาดตามองไปรอบด้าน ก่อนจะหันมองดูบ้านของตัวเองที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง กล่าวพึมพำว่า “ก็บ้านฉันนี่นา เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”

ไม่เพียงแต่จะหารูเสียบกุญแจไม่เจอ แต่เขาพบว่าประตูทั้งบานถูกเปลี่ยนไป

เขาวิ่งขึ้นบันไดไปจ้องมองดูล็อกประตู พบว่าไม่เพียงแต่ประตูที่ถูกเปลี่ยน แต่ล็อกประตูก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นระบบล็อกแบบใช้รหัสด้วย จึงกล่าวพึมพำขึ้นมาอีกครั้งว่า “หอการค้ามาเปลี่ยนเหรอ?”

หอการค้าตระกูลฉินจัดที่พักตรงนี้เอาไว้ให้เขา บางทีอาจจะเพื่อความปลอดภัย จึงตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการแห่งหนึ่งของผู้พิทักษ์เมือง

หอการค้าเปลี่ยนประตูแล้วไม่ยอมบอกรหัสเขามันหมายความว่าอย่างไร?

แต่จะว่าไปแล้ว ปกติตัวล็อกแบบนี้สามารถป้องกันคนธรรมดาได้ แต่มันไม่สามารถป้องกันผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเขาได้

มือของเขากดลงไปบนตัวล็อก ถ่ายพลังเข้าไป มีเสียงแคร่กๆ ดังขึ้น ตัวล็อกเปิดออก จากนั้นผลักประตูเข้าไป

ทันทีที่เข้าประตูไปก็พบเห็นถึงความผิดปกติ ภายในห้องคล้ายมีของบางอย่างเพิ่มขึ้นมา แล้วก็ยังได้กลิ่นหอมของกับข้าวด้วย

ปัง! เขาปิดประตู เดินสำรวจดูอย่างระแวดระวัง

และเสียงปิดประตูก็ทำให้คนที่อยู่ในบ้านรู้ตัว ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากในห้องครัว มิใช่ใครอื่น เป็นจูเก่อม่าน

เธอสวมชุดนอนสีขาวที่คลุมลงมาถึงต้นขา ด้านล่างขาที่เรียวยาวขาวผ่องสวมรองเท้าแตะคู่หนึ่ง คล้ายเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ผมยังคงเปียกชื้นอยู่ ภายในมือถือทัพพีอยู่อันหนึ่ง

หลัวคังอันตกตะลึง เขารีบหันหน้ากลับไปมองประตูบ้านทันที

“กลับมาแล้วเหรอ ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม รอเดี๋ยวนะ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” จูเก่อม่านยิ้มหวานเหมือนดอกไม้ คล้ายไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เดินถือทัพพีกลับเข้าไปในห้องครัว

“เดี๋ยวก่อน” หลัวคังอันตะโกนเรียกเธอ “เธอไม่มีกุญแจแล้วเข้ามาได้ยังไง?”

จูเก่อม่านร้องอ้อ “ฉันให้คนมาเปลี่ยนประตูน่ะ รหัสผ่านคือวันที่คุณกับฉันรู้จักกัน”

ใบหน้าของหลัวคังอันกระตุกขึ้นมา รู้สึกหมดคำพูดเป็นอย่างมาก ไม่มีกุญแจก็เลยเปลี่ยนประตูบ้านเขา มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?

“แยกกันอยู่คนละที่มันไม่ดี ฉันก็เลยย้ายมาที่นี่” จูเก่อม่านกล่าวทิ้งท้ายก็เดินถือทัพพีเข้าไปในห้องครัว

“ไม่ใช่ เธอ…” หลัวคังอันกวาดตามองไปรอบๆ พบว่าในห้องมีข้าวของเครื่องใช้ของผู้หญิงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยจริงๆ จากนั้นจึงเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เปิดประตูออกดู พบเสื้อผ้าแขวนอยู่เต็มตู้ แล้วก็ยังมีรองเท้าอีกหลายคู่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

เขาเป็นผู้ชาย ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก เสื้อผ้ากับรองเท้าก็มีอยู่แค่ไม่กี่ชุดไม่กี่คู่ ห้องแต่งตัวจึงโล่งเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้มันกลับมีเสื้อผ้ารองเท้าวางอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่ที่มองเห็นล้วนแต่เป็นเสื้อผ้ากับรองเท้าผู้หญิง

เขารีบวิ่งไปดูที่ห้องนอนด้านบน พบว่าผ้าปูเตียงถูกเปลี่ยนเป็นสีชมพู หมอนสองใบถูกวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย

จู่ๆ บ้านนี้ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของคู่สามีภรรยา

หลัวคังอันคล้ายหมดความอดทน รีบวิ่งไปที่ห้องครัว พุ่งเข้าไปหาจูเก่อม่านที่กำลังทำอาหารอยู่หน้าเตาแล้วตะโกนใส่เธอว่า “ใครอนุญาตให้เธอย้ายมา?”

จูเก่อม่านที่ยืนอยู่ตรงหน้าอาหารที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อกัดริมฝีปากไม่พูดไม่จา เธอก้มศีรษะเล็กน้อย ทัพพีที่อยู่ในมือก็กวนไปมาอย่างช้าๆ

แสร้งทำเป็นแม่บ้านแม่เรือนอะไร! หลัวคังอันโมโหแล้ว เขาเดินก้าวเข้าไป ปิดไฟที่เตา กระชากทัพพีที่อยู่ในมือจูเก่อม่าน คว้าข้อมือของเธอแล้วลากออกไปจากห้องครัว ก่อนจะตะโกนถามเธอว่า “ฉันถามเธอ เธอไม่ได้ยินเหรอ?”

จูเก่อม่านดึงมือที่ถูกเขาบีบจนเจ็บกลับมา ลูบนาฬิกาข้อมือที่อีกฝ่ายเคยส่งให้เธอ ก่อนจะเหลือบตามองขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ฉันย้ายมาไม่ได้เหรอ?”

หลัวคังอันรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก กล่าวว่า “เธอบ้าไปแล้วเหรอ? เราตกลงกันชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราเลิกกันแล้ว แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรย้ายเข้ามา มีสิทธิ์อะไรเปลี่ยนประตูบ้านของฉัน?”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้ตัวว่าตัวเองทำเกินไปที่เปลี่ยนประตูบ้านหรือเปล่า จูเก่อม่านจึงก้มหน้ากล่าวเสียงเศร้าว่า “เรื่องอู่เวย คุณทำไม่ถูก แต่ตอนเช้าที่ฉันไปทะเลาะต่อหน้าคนตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนั้น ทำให้คุณเสียหน้าต่อคนระดับสูงของหอการค้า ฉันเองก็ทำไม่ถูก คุณเพิ่งจะมาเมืองปู๋เชวี่ยได้ไม่กี่วัน ยังไม่มีความรู้สึกผูกพันอะไรกับอู่เวย ที่อู่เวยเข้าใกล้คุณก็เป็นเพราะจงใจวางกับดักคุณ จะโทษคุณทั้งหมดก็ไม่ได้ ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแล้ว คุณเองก็คงไม่มีทางจะไปอยู่กับอู่เวยได้อีก”

“ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว พวกเราต่างก็โมโหจนลืมตัวไปชั่วขณะ การที่หลุดปากพูดอะไรไม่ดีออกไปตอนที่ลืมตัวมันก็เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ เรื่องที่แล้วไปแล้วก็ให้มันแล้ว พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ”

“พรุ่งนี้พวกเราไปทำงานด้วยกันเหมือนเดิม คุณวางใจได้ เดี๋ยวตอนเข้างานฉันจะไปอธิบายกับทุกคน บอกว่าฉันเข้าใจคุณผิด”

หลัวคังอันรู้สึกหมดคำพูด ขยับคอเสื้อของตัวเองเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่ต้องอธิบาย ฉันเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่กลัว! ในเมื่อเรื่องราวมันเปิดเผยไปแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก ฉันจะบอกเธอให้นะ ฉันไม่เคยคิดที่จะแห้งตายอยู่ที่ต้นไม้ต้นเดียว จะให้ฉันหยุดอยู่กับผู้หญิงคนเดียวไปตลอดชีวิตน่ะเหรอ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!”

เขาไม่คิดจะกลับไปคืนดี เรื่องราวถูกเปิดเผยออกไปแล้ว ถ้ากลับมาอยู่ด้วยกันอีกล่ะก็ ต่อไปถ้าเขาออกไปหาความสุขอีก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาเขาจะอธิบายได้ลำบาก แบบนั้นมันจะยุ่งยาก

เขาคิดว่าสำหรับจูเก่อม่านแล้ว ตัวเองเป็นแค่แขกที่ผ่านมาคนหนึ่ง เขาเองก็ไม่คิดจะทำให้เธอต้องมาเสียเวลาอยู่กับเขานานนัก ในจุดนี้เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีหลักการคนหนึ่ง

จูเก่อม่านพลันเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงเรื่อ “คุณจะบอกฉันว่าคำพูดที่คุณเคยบอกฉันก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นเหรอ?”

“เหอๆ” หลัวคังอันขบขันขึ้นมา ก่อนจะถอยไปนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก หยิบเอาซิการ์ขึ้นมาจุดมวนหนึ่ง ขายกขึ้นมาไขว่ห้างแล้วพ่นควันออกมา จากนั้นผายมือพลางกล่าว “มาพูดเรื่องโกหกไม่โกหกอะไร เธอไม่คิดว่ามันตลกเหรอ? คนมีเงินไม่ใช่คนโง่หรอกนะ เธอเคยเห็นคนโง่กลายเป็นคนมีเงินไหมล่ะ? มันก็มีแค่ยอมหรือไม่ยอมแกล้งโง่ต่อหน้าผู้หญิงเท่านั้นแหละ”

“ใช่ ฉันไม่ใช่คนดีอะไร แล้วเธอล่ะ? เธอมาเข้าใกล้ฉันเพราะอะไร หรือว่าตัวเธอเองไม่รู้? เราสองคนต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไร แต่รู้แล้วเก็บเอาไว้ในใจก็พอ ทำไมต้องพูดออกมาด้วย ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกแย่ ฉันเองก็ไม่ได้เอาเปรียบเธอ พวกเราต่างคนต่างเอากันแค่พอประมาณก็พอ ถ้าเธอยังได้คืบจะเอาศอกมากกว่านี้มันจะเกินไปนะ”

จูเก่อม่านกล่าวอย่างโมโหว่า “ใช่ ฉันยอมรับว่าตอนแรกฉันอยากหาผู้ชายฐานะดีๆ หน่อย แต่หลังจากที่ได้อยู่กับคุณ ฉันก็อยากอยู่กับคุณไปทั้งชีวิตจริงๆ ตอนที่คุณต้องการตัวฉัน ฉันบอกคุณอย่างชัดเจนแล้วว่าฉันต้องการผู้ชายที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้ คุณรับปากฉันแล้ว คุณรับปากแล้วฉันถึงได้ยอมคุณ คุณได้ฉันไปแล้ว คุณก็รู้ว่าคุณเป็นผู้ชายคนแรกของฉัน! ฉันสาบานเลยว่าฉันชอบคุณจริงๆ!”

เธอไม่ได้รู้เลยว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้ เป็นเพราะหลัวคังอันคือผู้ชายคนแรกของเธอ หลัวคังอันถึงได้รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจ หาได้ยาก เขาถึงได้ไม่แยกกับเธอทันทีที่มีความสุขด้วยกันเหมือนอย่างผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่อย่างนั้นมีหรือที่เขาจะพัวพันอยู่กับเธอนานขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นตามนิสัยของเขาคงจะแยกทางกันไปนานแล้ว

หลัวคังอันแค่นหัวเราะขึ้นมา “คนแรกคนที่สองอะไร อย่ามาใช้วิธีนี้เลย เธอเองก็ไม่ต้องพูดเหมือนตัวเองสูงส่งนักหรอก! ฉันใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ ผู้หญิงแบบไหนฉันก็เจอมาหมดแล้ว ผู้หญิงไม่มีดีสักคน! ตอนที่ฉันลำบาก ในสายตาผู้หญิงอย่างพวกเธอฉันก็ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น จะเหยียดหยามดูแคลนยังไงก็ได้ ฉันก็เหมือนกับหมาตัวนึงที่ไปกระดิกหางขอความเมตตา ต่อให้ควักหัวใจออกมาก็ไม่มีประโยชน์! ตอนนี้มาทำดีกับฉัน ก็เป็นเพราะว่าเห็นว่าฉันมีเงิน เป็นเพราะคิดว่าจะได้ประโยชน์จากตัวฉัน เพราะฉะนั้น เลิกเสแสร้งมาทำเป็นจริงใจอะไรต่อหน้าฉันได้แล้ว ถ้ายังเสแสร้งต่อไปมันน่าขยะแขยง ฉันไม่หลงกลหรอก!”

มือที่คีบซิการ์เอาไว้อยู่ชี้ไปด้านนอก “เก็บของของเธอแล้วออกไปซะ รีบออกไป ออกไปเองจะดีกว่า ถ้าให้ฉันลากออกไปมันจะดูไม่ดีนะ!”

จูเก่อม่านร้องไห้สะอึกสะอื้น หันหน้าแล้ววิ่งไป วิ่งขึ้นไปด้านบนพลางเช็ดน้ำชา เข้าไปในห้องนอน

หลัวคังอันนั่งไขว่ห้างสูบซิการ์ นึกว่าในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็จะไปเก็บของเพราะคิดได้เสียที

แต่ใครจะไปรู้ว่าจูเก่อม่านจะวิ่งกลับลงมาอีกครั้ง เปิดขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกต่อหน้าหลัวคังอัน จากนั้นกรอกผงอะไรบางอย่างเข้าไปในปากตัวเองแล้วกลืนลงไป เสร็จแล้วขว้างขวดลงพื้นจนแตก “วันนี้ฉันไม่คิดจะมีชีวิตออกไปจากที่นี่! ในเมื่อคืนดีกันไม่ได้ ฉันก็ไม่มีหน้าจะไปเจอคนที่หอการค้าแล้ว ฉันตายไป คุณก็อย่าได้คิดว่าจะเป็นสุข!”

หลัวคังอันร้องโอ้ด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “มาพูดเรื่องตายเตยอะไรไม่น่าฟังเลย ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง เราต่างก็ได้ในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว ได้แล้วก็แยกย้ายกันไปเถอะ คนโง่ที่ผู้หญิงอย่างพวกเธออยากได้ยังมีอยู่อีกเยอะ อย่ามาเสียเวลากับฉันเลย ฉัน…” จู่ๆ เขาพลันตกตะลึง พบว่าท่าทางของจูเก่อม่านดูแปลกไป

…………………………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน