ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 93 หนานชีจัดเลี้ยง

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 93 หนานชีจัดเลี้ยง

“นายดูสิ” พานชิ่งหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “หลานผู้บำเพ็ญเพียรของนายคนนี้ไม่ธรรมดา เรื่องต่อสู้อะไรพวกนี้รู้ดีกว่านายมากนัก หอการค้าตระกูลโจวมีผู้สืบทอดแล้ว”

เผิงซีเหลือบมองอีกฝ่าย ไม่กล่าวอะไร แอบสังเกตดูปฏิกิริยาของน้าชาย

โจวหม่านเชานิ่งไปเล็กน้อย ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ก่อนกล่าวว่า “ฉันก็แค่สงสัย ในเมื่อมีโอกาสไปทำอะไรแบบนั้นแล้ว ทำไมถึงทำลายได้แค่แขนข้างเดียว?”

พานชิ่งกล่าว “โอกาส? นายคิดว่ามีโอกาสมากแค่ไหน? เสวี่ยหลานมีเวลาแค่สั้นๆ ในการเข้าไปในเทพมหาวิญญาณ เวลาที่ให้เธอจัดการเรื่องนั้นก็มีอยู่แค่นิดเดียว อีกทั้งยังห้ามแหวกหญ้าให้งูตื่นอีก เธอไม่มีเวลาไปค่อยๆ หาตำแหน่งสำคัญของเทพมหาวิญญาณเพื่อลงมือหรอกนะ เธอไม่เคยสัมผัสกับเทพมหาวิญญาณมาก่อน อีกทั้งยังได้รับการฝึกแค่เพียงไม่นาน สิ่งที่เธอทำได้ก็มีแค่เรื่องง่ายๆ บางเรื่อง นายจะคาดหวังให้เธอทำอะไรได้?”

โจวหม่านเชาครุ่นคิดก็พบว่าจริงดังว่า แต่ก็กล่าวต่อว่า “ฉันขอเตือนนายเอาไว้ก่อนนะ ตอนที่เจ้าสิ่งนั้นมันทำงานขึ้นมา จะให้สะดุดตาเกินไปไม่ได้นะ ถ้าเกิดถูกผู้ตรวจสอบการประมูลพบเข้าแล้วต้องเริ่มประมูลใหม่ล่ะก็ นั่นเท่ากับเป็นการให้โอกาสหอการค้าตระกูลฉินใหม่อีกครั้ง ต่อให้จับไม่ได้ว่าเป็นฝีมือพวกเรา แต่พวกเราก็ยากจะไปทำอะไรได้อีก”

ในตอนที่พูดถึงตรงนี้ พานชิ่งก็คล้ายจะลังเลขึ้นมา “ตอนที่มันทำงานขึ้นมา ฉันเองก็ไม่กล้ารับประกันเหมือนกันว่ามันจะไม่มีอะไรผิดสังเกตเลย”

โจวหม่านเชาโมโหเล็กน้อย “มาถึงตอนนี้แล้ว ไอนี่ก็ไม่กล้ารับประกัน ไอนั่นก็ไม่กล้ารับประกัน นายล้อเล่นอะไรของนายอยู่?”

พานชิงกล่าว “ที่ฉันพูดแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด นายเองก็เพิ่งพูดไม่ใช่เหรอว่าจะปล่อยให้หอการค้าตระกูลฉินมีโอกาสอีกครั้งไม่ได้ สิ่งที่ฉันกังวลกลับไม่ใช่เรื่องนี้ หากแต่เป็นเรื่องท่าทีของเจ้าแคว้นหนานหรูต่างหากที่ฉันกังวล เจ้าแคว้นไม่ยอมประกาศวิธีการประมูลออกมาสักที ถ้าไม่รู้วิธีการประมูล แล้วจะกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามได้ยังไง? ถ้าเกิดระหว่างการประมูลมีโอกาสที่จะกลบเกลื่อนปิดหูปิดตา อย่างนั้นปัญหาที่นายกังวลมันก็ไม่เป็นปัญหาอีก เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้หอการค้าตระกูลฉินจะรู้ตัวว่าถูกคนเล่นลูกไม้สกปรก แต่พวกเขาจะทำอะไรได้ ต่อให้พวกเขาโอดครวญอะไรก็จะกลายเป็นแค่ข้ออ้างของคนแพ้เท่านั้น”

ในเวลานี้พานหลิงเยวี่ยก็พูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่แน่ว่าจะมีโอกาสได้โอดครวญด้วย เรื่องจบไปแล้ว มีความจำเป็นต้องให้คนที่รอดชีวิตกลับไปร้องเรียกความเป็นธรรมอีกเหรอ?”

โจวหม่านเชาคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร

พานชิ่งกล่าว “โจวซยง แผนการอีกแผนที่ทางฝั่งนายเคยบอกไว้ก็ต้องเอาออกมาใช้นะ เตรียมแผนไว้สองชั้น เอาไว้กันพลาด ไอหลัวคังอันนั่นเป็นแค่ตัวตลก ขอเพียงทำให้หอการค้าตระกูลฉินไม่สามารถเปลี่ยนคนได้ ยังจะมีอะไรให้กังวลอีก? คนที่ควรติดต่อ นายติดต่อเอาไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

โจวหม่านเชากล่าว “เรื่องนี้นายไม่ต้องเป็นห่วง ทางฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว”

พานชิ่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แค่นหัวเราะหึหึ “ฉันอยากจะเห็นหน้านังฉินอี๋ตอนที่สำนึกเสียใจนัก”

นั่นเป็นเรื่องในอนาคต เผิงซีอดกล่าวแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งไม่ได้ “ประธานพานครับ ทางตระกูลกงหู่ไม่มีความเห็นต่อเรื่องนี้บ้างเหรอครับ?”

ตระกูลกงหู่ หนึ่งในร้อยตระกูลใหญ่ของดินแดนเซียน การที่หอการค้าตระกูลพานสามารถมีวันนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเพราะความพยายามของตัวเอง แต่ผลที่สุกงอมย่อมมีหมาป่าผู้หิวโหยจ้องจะเขมือบ เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มอำนาจที่มีวิธีมากมายในการจัดการกับเรา หากไม่มีที่พึ่งพิงก็ยากจะยืนอย่างมั่นคงได้ และตระกูลกงหู่ก็คือที่พึ่งพิงของหอการค้าตระกูลพาน

หอการค้าตระกูลโจวเองก็ไม่ต่างกัน ที่พึ่งพิงของหอการค้าตระกูลโจวคือตระกูลเซียงหลัว

ตระกูลเหล่านั้นล้วนเป็นตระกูลเก่าแก่

ความจริงหอการค้าตระกูลฉินเองก็มีที่พึ่งพิงเช่นกัน เพียงแต่ที่พึ่งพิงของหอการค้าตระกูลฉินมิได้เป็นตระกูลเก่าแก่ก็เท่านั้น

หอการค้าตระกูลฉินเติบโตขึ้นมาด้วยมือของฉินเต้าเปียน ในช่วงที่ฉินเต้าเปียนยิ่งใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วเป็นช่วงที่ลั่วเทียนเหอมาเป็นเจ้าเมืองที่เมืองปู๋เชวี่ยแล้ว และลูกศิษย์ของลั่วเทียนเหอก็คือเจ้าแคว้นแห่งแคว้นเซียนคุนกว่าง ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของลั่วเทียนเหอยังคล้ายว่าจะมีองค์จักรพรรดินีคอยหนุนหลังอยู่อีก ตามปกติแล้วจึงไม่มีใครกล้าเหิมเกริมมาหาเรื่องเขาง่ายๆ

ที่โชคดียิ่งกว่านั้นคือลั่วเทียนเหอไม่มีความทะเยอทะยานอะไร ไม่ก่อเรื่องอะไร แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมาก่อเรื่องที่เมืองปู๋เชวี่ยเช่นกัน

แล้วก็เป็นเพราะมีสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หอการค้าตระกูลฉินจึงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ในแง่หนึ่งแล้วลั่วเทียนเหอก็คือที่พึ่งพิงที่ทำให้หอการค้าตระกูลฉินสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงหลังจากที่เติบโตขึ้นมา

เพียงแต่ความทะเยอทะยานของหอการค้าตระกูลฉินในเวลานี้ขยายใหญ่ขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีแนวโน้มที่ลั่วเทียนเหอจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่

พานชิ่งเหลือบมองเผิงซี “จะมีความเห็นอะไรได้ล่ะ? แค่หอการค้าตระกูลฉินพวกเรายังจัดการไม่ได้ ยังจะให้พวกเขามีความเห็นอะไรได้?”

เผิงซีขมวดคิ้ว เหลือบมองไปทางน้าชาย คิดในใจว่าเหตุใดท่าทีของตระกูลกงหู่ถึงได้คล้ายคลึงกับท่าทีของตระกูลเซียงหลัว

ทางหอการค้าตระกูลโจวเองก็ได้รายงานเรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินอาจจะมีวิธีแก้ไขปัญหาข่ายพลังตรงตำแหน่งข้อต่อของเทพมหาวิญญาณกับทางตระกูลเซียงหลัวไปแล้ว แต่ตระกูลเซียงหลัวกลับไม่มีท่าทีอะไร เพียงแต่ให้หอการค้าตระกูลโจวไปจัดการเอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยว่ากัน นี่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของพานชิ่ง เขาแอบรู้สึกว่าเบื้องหลังท่าทีของตระกูลใหญ่เหล่านั้นเหมือนจะแอบซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่

มันคืออะไรกันแน่? ตอนนี้เขามีข้อมูลจำกัด ไม่สามารถทำการวิเคราะห์อะไรได้เลยจริงๆ

และในเวลานี้เอง คนของหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวก็วิ่งขึ้นมาชั้นบน ยื่นบัตรเชิญใบหนึ่งให้แก่ประธานหอการค้าทั้งสอง

“หนานชีหรูอัน? จะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่หอกุยโหลว?” โจวหม่านเชาดูบัตรเชิญแล้วรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นยื่นบัตรเชิญไปให้เผิงซีดู

พานชิ่งที่ได้ดูบัตรเชิญแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน “หนานชีหรูอัน? ลูกนอกสมรสของผู้นำตระกูลหนานซีที่เล่าลือกันคนนั้นน่ะเหรอ?

เมื่อเทียบกับตระกูลอื่นๆ ในร้อยตระกูลใหญ่ของดินแดนเซียนแล้ว การสืบทอดภายในตระกูลหนานชีก็ไม่ได้มีอะไรต่างกับตระกูลอื่นๆ

การจัดการเรื่องราวต่างๆ ในเวลาปกติของตระกูลล้วนเป็นหน้าที่ของผู้นำตระกูล แต่ท้ายที่สุดแล้วอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ภายในตระกูลยังคงอยู่ในมือผู้อาวุโสสูงสุด ตำแหน่งผู้นำตระกูลเมื่อดำรงไปจนถึงระดับหนึ่ง สภาวะการบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ของผู้นำตระกูลในเวลานั้นก็จะอยู่ในระดับเซียนเทพกันแล้ว เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเห็นว่าดำรงตำแหน่งมาพอสมควรแล้ว ก็จะให้ผู้นำตระกูลลงจากตำแหน่งมาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลแทน จากนั้นผู้อาวุโสสูงสุดก็จะทำการเลือกคนที่คิดว่าเหมาะสมจากในตระกูลขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป

มิใช่การส่งต่อให้ผู้สืบทอด หากแต่เป็นการเลือก!

น่าจะเป็นเพราะผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลใหญ่ๆ เหล่านั้นต่างใช้ชีวิตมาเป็นเวลายาวนานอย่างมากแล้ว ลำดับทางอาวุโสหรือการส่งต่อให้ผู้สืบทอดของคนธรรมดาอะไรนั่นไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับผู้อาวุโสสูงสุดเหล่านั้นเลย ไม่เพียงแต่จะเป็นเพราะลำดับรุ่นในตระกูลที่ห่างกันเป็นอย่างมาก แต่ยังเป็นเพราะคนเหล่านั้นล้วนเป็นลูกหลานของตัวเอง ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลก็ไม่ได้ต่างกัน

ส่วนใหญ่แล้วผู้อาวุโสสูงสุดจะเลือกเอาคนที่มีความสามารถในตระกูลมาเป็นผู้นำตระกูล ขอเพียงเป็นคนในตระกูล ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่มีโอกาสกลายเป็นผู้นำตระกูลทั้งสิ้น นี่ถึงจะทำให้ทุกคนมีความพยายาม นี่ต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่มีประโยชน์สูงสุดต่อตระกูล

แต่หนานชีหรูอันกลับเป็นลูกบุญธรรมที่หนานชีเหวินซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันรับมาเลี้ยง ทว่าในโลกภายนอกต่างพากันลือว่าความจริงแล้วเขาเป็นลูกนอกสมรสของหนานชีเหวินกับผู้หญิงคนอื่น เพียงแต่เพราะผิดต่อกฎของดินแดนเซียน เขาจึงต้องรับมาเลี้ยงในฐานะลูกบุญธรรม

คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล บางคนสูญเสียภรรยาและไม่มีลูก อีกทั้งกฎของดินแดนเซียนยังไม่อนุญาตให้แต่งงานและมีลูกใหม่ หลังจากเห็นว่าตระกูลกำลังจะไร้ผู้สืบทอด จึงย่อมต้องมีคนใช้วิธีการพลิกแพลงที่ไม่อาจเปิดเผยได้

เพราะว่าหน้าตาของหนานชีหรูอันค่อนข้างคล้ายคลึงหนานชีเหวิน อีกทั้งหนานชีเหวินยังดีกับลูกบุญธรรมคนนี้อย่างมาก ดังนั้นจึงมีข่าวลือเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา

สรุปแล้วก็คือไม่ว่าหนานชีหรูอันจะเป็นลูกนอกสมรสของหนานชีเหวินจริงหรือไม่ แต่เมื่อมีสถานะลูกบุญธรรมนี้อยู่ เขาก็ไม่มีโอกาสกลายเป็นผู้นำตระกูลได้

แต่คนผู้นี้ก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตอิสระเช่นกัน ปกติไม่สนใจอะไร สำหรับคนส่วนใหญ่ที่พอจะรู้เรื่องราวแล้ว พวกเขาก็เพียงแต่รู้ว่ามีคนผู้นี้อยู่เท่านั้น ไม่ทราบอะไรไปมากกว่านั้น

โจวหม่านเชากล่าวว่า “ถือบัตรเชิญที่มีตราประทับของตระกูลหนานชี แล้วยังชื่อนี้อีก นอกจากเขายังจะมีใครได้?”

พานชิ่งกล่าวอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “พวกเราไม่ได้เป็นมิตรหรือศัตรูกับเขา ไม่เคยรู้จักกันเลย…นายรู้จักหรือเปล่า?” ก่อนจะเห็นโจวหม่านเชาส่ายศีรษะพลางผายมือ จากนั้นกล่าวว่า “นั่นสิ จู่ๆ มาเชิญพวกเราไปทำไม?”

โจวหม่านเชาเองก็รู้สึกแปลกใจ “มาปรากฏตัวในเวลานี้ แล้วยังมาเชิญพวกเราอีก หรือว่าจะมาเพราะเรื่องการประมูลเทพมหาวิญญาณ?”

สายตาเผิงซีเลื่อนออกมาจากเนื้อหาบนบัตรเชิญ “คุณน้าครับ ถ้าไงเราลองไปสืบมาก่อนไหมครับว่าเขาเชิญใครบ้าง จะมีแต่พวกเราหรือว่ายังมีคนอื่นอีก เดี๋ยวพอถึงตอนที่ต้องตัดสินใจจะได้รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร”

……

บัตรเชิญ! ในมือฉินอี๋ที่อยู่ในห้องนอนก็ถือบัตรเชิญที่หน้าตาเหมือนกันเอาไว้ใบหนึ่ง

ไป๋หลิงหลงที่นำบัตรเชิญมาส่งกล่าวถามว่า “ไปไหม?”

ฉินอี๋พับบัตรเชิญ ทำการตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว “ไป”

เมื่อเห็นว่าเธอแทบจะไม่ครุ่นคิดใดๆ ไป๋หลิงหลงจึงรู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่มิตรไม่ใช่ศัตรู แล้วก็ไม่ทำการคิดวิเคราะห์เลยว่ามีอันตรายหรือไม่ ตัดสินใจไปง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ?

คนที่ได้บัตรเชิญไม่ได้มีแค่หอการค้าตระกูลพาน หอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลฉินเท่านั้น แต่หอการค้าทั้งยี่สิบสี่แห่งที่เข้าร่วมการประมูลล้วนแต่ได้รับบัตรเชิญจากหนานชีหรูอันทั้งสิ้น

……

ภายในเมืองคุนกว่างมีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ทะเลสาบแห่งนี้ขึ้นมาจากสายน้ำใต้ดินที่ถูกทำลายในตอนที่ยอดฝีมือต่อสู้กันเมื่อในอดีต

การต่อสู้ได้ฉีกพื้นดินจนแยกออกจากกัน เต่าชราที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนตัวหนึ่งได้คลานขึ้นมาจากด้านล่างรอยแยกของพื้นดิน ร่างกายของมันมีขนาดใหญ่โต บนหลังของมันมีภูเขาหินที่งอกอยู่บนกระดองลูกหนึ่ง มันจะดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเลสาบ ยามที่ดำลงไปใต้ทะเลสาบ ภูเขาหินก็จะจมลงไปในน้ำ ยามที่มันลอยขึ้นมา บนผิวน้ำก็จะมีเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งเคลื่อนที่ไปรอบๆ ทะเลสาบ

ภายหลังมีคนฝึกเต่าชราตัวนี้ให้เชื่อง ทำการเจาะเปิดภูเขาหินบนกระดองของมันให้เป็นอาคาร สร้างให้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงที่วิจิตรงดงามแห่งหนึ่ง ถูกคนขนานนามว่าหอกุยโหลว[1]

งานเลี้ยงจัดขึ้นในวันนี้ หอกุยโหลวเคลื่อนตัวไปหยุดริมฝั่ง สะพานพาดจากชายฝั่งทะเลสาบขึ้นมาบนหอกุยโหลว

บนฝั่งในเวลานี้มีขบวนรถเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คณะของฉินอี๋เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่ลงมาจากรถก็มองเห็นเต่ายักษ์กำลังเงยหน้าพ่นละอองน้ำออกมา ท่ามกลางละอองน้ำมีสายรุ้งปรากฏขึ้นมา คล้ายกำลังต้อนรับแขกผู้มาเยือน แล้วก็คล้ายจะทำการชำระล้างฝุ่นละอองให้กับแขกด้วย ให้สัมผัสและอารมณ์ที่แตกต่างออกไป

ทว่าการกระทำของเจ้าเต่านั้นก็เป็นการต้อนรับแขกจริงๆ เวลาที่มีแขกมา เต่ายักษ์ก็จะเงยหน้าสร้างสายรุ้งขึ้นมาต้อนรับแขก

พวกฉินอี๋เดินมาถึงทางขึ้นสะพาน หลังจากที่แสดงบัตรเชิญและทำการยืนยันตัวตนแล้ว คนอื่นๆ ก็ถูกขวางเอาไว้ อนุญาตให้ฉินอี๋พาผู้ติดตามเข้าไปได้เพียงคนเดียว โดยทางผู้จัดงานบอกว่าป้องกันไม่ให้ภายในหอกุยโหลวมีคนเยอะเกินไปจนวุ่นวาย ขอให้แขกที่มาร่วมงานให้อภัยและให้ความร่วมมือด้วย

ฉินอี๋ย่อมต้องพาไป๋หลิงหลงข้ามสะพานไป

แขกคนอื่นๆ เองก็ทำตามกฎของเจ้าของงานเช่นเดียวกัน

เมื่อมาถึงที่นี่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย งานเลี้ยงของตระกูลหนานชีย่อมต้องมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่

เป็นถึงหนึ่งในร้อยตระกูลใหญ่แห่งดินแดนเซียน เกียรติยศชื่อเสียงยังคงมีอยู่ ไม่มีทางทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ง่ายๆ

หอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจวแทบจะตามอยู่ด้านหลังหอการค้าตระกูลฉิน แล้วก็เป็นเพราะได้ยินว่าหอการค้าตระกูลฉินเองก็ถูกเชิญเช่นเดียวกัน จึงรู้สึกว่านี่คือโอกาส เลยพยายามจะใกล้ชิดเพื่อพยายามดูอีกสักครั้ง

เมื่อเห็นว่าทางผู้จัดงานอนุญาตให้ขึ้นไปบนหอกุยโหลวได้ตระกูลละสองคน เผิงซีที่สายตาวูบไหวเล็กน้อยก็เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างกายโจวหม่านเชาทันที กล่าวว่า “คุณน้าครับ เดี๋ยวผมไปกับคุณน้าเองครับ”

โจวหม่านเชาชะงักไปเล็กน้อย มองไปทางเมิ่งซู่ที่เป็นผู้ช่วยหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายตนเอง ปกติงานเลี้ยงแบบนี้เขามักจะพาผู้ช่วยติดตามเข้าไปด้วย

เผิงซีรีบกล่าวอธิบายทันที “ผมอยากจะเจอฉินอี๋คนนั้นครับ”

โจวหม่านเชาค่อนข้างเชื่อใจในความสามารถของหลานคนนี้ บางทีถ้าหลานคนนี้ได้เจอฉินอี๋ เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาก็ได้ จึงหันไปกล่าวกับเมิ่งซู่ทันที “นายอยู่นี่แล้วกัน”

เมิ่งซู่คำสั่งอย่างเชื่อฟัง “ครับ”

เผิงซีพยักหน้าไปทางเขาเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษ จากนั้นตามน้าของตัวเองข้ามสะพานไป

พานหลิงเยวี่ยที่สำรวจดูรอบๆ หลังลงมาจากรถมองเห็นเผิงซีเดินตามโจวหม่านเชาเข้าไป จึงรีบกล่าวอะไรบางอย่างกับพานชิ่งพร้อมกับชี้ไปที่เผิงซีเล็กน้อย

พานชิ่งมองดูพร้อมพยักหน้า บอกให้ผู้ช่วยคอยอยู่ทางนี้ ส่วนตัวเองพาลูกสาวไป

หอกุยโหลวมีบรรยากาศเรียบง่าย เนื่องจากถูกแช่อยู่ในน้ำบ่อยๆ จึงทำให้มันเกิดเป็นสีสันบางอย่างที่ให้ความรู้สึกพิเศษออกไป

ทันทีที่แขกผู้มาเยือนเข้าไปใกล้หอ พวกเขาก็จะได้กลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นกลิ่นหอมตามธรรมชาติที่จับตัวอยู่บนภูเขาที่อยู่บนกระดองเต่า

……………………………………………………

[1]หอกุยโหลว แปลว่า หอเต่า

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน