ตอนที่ 122 หลบเลี่ยงหายนะ
แต่เขามองไม่เห็นรอยยิ้มใดๆ อยู่ในสายตาของหลินยวนเลยแม้แต่น้อย กลับมองเห็นเพียงความรู้สึกเฉยชาที่กำลังมองดูเขาตายไปอย่างเย็นชา
หลัวคังอันเองก็ตระหนักได้แล้วเช่นกัน ที่ตัวเองคาดหวังว่าการร่วมงานกันในช่วงหลายวันมานี้จะก่อเกิดเป็นมิตรภาพ การคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะล้อเล่นและจะปราณีตนเอง นั่นมันเป็นการเอาชีวิตของตนเองมาล้อเล่นชัดๆ
คนที่สามารถหักกระดูกของเขาได้เหมือนการกินข้าว คนที่นึกอยากจะฆ่าคนก็ฆ่าทิ้งทั้งๆ ที่มีคนจากหอการค้าต่างๆ คอยจับตาดูอยู่ คนแบบนี้เหมือนคนที่กำลังล้อเล่นหรือ?
เดิมเขาคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะหวาดกลัวอะไรบ้าง เพราะว่าถ้าเกิดเขาตายไป ความลับที่อีกฝ่ายเป็นคนควบคุมเทพมหาวิญญาณก็จะไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้อีก
แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของหลินยวนก่อนหน้านี้ขึ้นมา หากไม่สามารถฆ่าคนได้อย่างเปิดเผย เช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผลในการฆ่าคน!
ซึ่งความเป็นจริงในตอนที่หลินยวนทำเรื่องแบบนี้ มันก็เป็นการทำให้เขาเข้าใจอย่างอ้อมๆ แล้วว่าฉันไม่มีทางล้อเล่น
ทันที่เขาลงมือ ความพิเศษบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเขานั้นมีความน่าเชื่อถือที่รุนแรงเป็นอย่างมาก
เขากำลังใช้พลังสะกดหลัวคังอันเอาไว้ ทำให้หลัวคังอันไม่สามารถใช้พลังรักษาร่างกายให้มีชีวิตอยู่ได้หลังจากที่ขาดออกซิเจน
ขณะที่รับรู้ได้ว่าลำคอกำลังจะถูกบีบจนหัก ความหวาดกลัวต่อความตายได้ทำให้หลัวคังอันเปล่งเสียง ‘อื้อๆ’ ออกมาในปาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ได้ว่าตัวเองอยู่ห่างจากความตายเพียงคืบเดียว น้องหลินผู้ซึ่งปกติเป็นเหมือนท่อนไม้ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ความจริงแล้วเวลาฆ่าคนก็เป็นเหมือนท่อนไม้เช่นเดียวกัน นึกจะฆ่าก็ฆ่า คล้ายไม่ได้มีความรู้สึกของคนธรรมดาเลย
เขาไม่สามารถพยักหน้าได้ แต่กลับกำลังใช้ลูกตาที่เบิกกว้างกรอกกลิ้งขึ้นลง พยายามดิ้นรนบอกอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งซุ่มเสียง ส่งสัญญาณบอกหลินยวนว่า ฉันบอกแล้ว!
การยอมแพ้แลกมาซึ่งโอกาสในการมีชีวิตรอด นิ้วมือทั้งห้าของหลินยวนคลายออก ดึงมือกลับมา
เท้าทั้งสองข้างที่แนบชิดติดกำแพงร่วงตกลงมา หลัวคังอันเกือบยืนไม่อยู่ ร่างกายส่ายโงนเงน หอบหายใจอย่างแรง
ผลจากการหอบหายใจอย่างแรงทำให้กระดูกที่หักซ้ำอีกครั้งของเขาเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง
แต่ถ้าไม่หอบหายใจก็ทนไม่ไหวเช่นกัน ความรู้สึกนี้มันช่างทรมานจนคล้ายวิญญาณจะหลุดออกจากร่างจริงๆ
เขารีบใช้พลังทำให้ตัวเองสงบลง ขณะที่เพิ่งจะรู้สึกดีขึ้นแล้วหันหน้าไปมอง เขาก็มองเห็นสายตาของหลินยวนที่ก้มมองดูเขาราวกับเป็นมดปลวก
เขาเคยเห็นสายตาแบบนี้อยู่ในดวงตาของหลินยวนอย่างไม่ตั้งใจ เพียงแต่สายตาที่เผยออกมาเป็นครั้งคราวก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสนใจใดๆ เขากลับคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงท่อนไม้ ในเวลานี้ถึงได้เข้าใจว่าตอนที่อีกฝ่ายใช้สายตาเช่นนี้มองดูเขามันหมายความว่าอย่างไร เรียกได้ว่าไม่ได้เห็นชีวิตของเขาอยู่ในสายตาเลย
หลัวคังอันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย รีบถอยหลังโบกมือแล้วกล่าวว่า “ขอฉันคิดก่อนๆ….เสวี่ยหลาน นึกขึ้นมาได้แล้ว ฉันกับเธอเคยมีความสัมพันธ์กัน เคยมีความสัมพันธ์กันนิดหน่อย”
ความสัมพันธ์นิดหน่อย? หลินยวนกล่าวเตือนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ไม่มีโอกาสที่สองนะ”
เขากำลังเตือนอีกฝ่ายว่าถ้าอยากจะเล่นลิ้นก็ลองดู
ในด้านนี้ คำพูดของเขามีความน่าเชื่อถืออย่างน่าประหลาด
หลัวคังอันเข้าใจในคำเตือนของเขา ในใจลอบโอดครวญ ความจริงเขายังอยากจะปิดบังเอาไว้ แต่จู่ๆ อีกฝ่ายเอ่ยชื่อเสวี่ยหลานขึ้นมาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องเขากับเสวี่ยหลานมากน้อยเท่าไรกันแน่ หากตนพูดผิดไปอาจจะต้องเสียชีวิตไปก็เป็นได้
เขาจึงลองถามไปอีกครั้ง “นายอยากรู้เรื่องไหนล่ะ?”
หลินยวนกล่าว “ฉันบอกแล้ว ชีวิตนายเป็นของฉัน ฉันสามารถเอาไปได้ทุกเมื่อ นายลองคิดเอาเองแล้วกัน!”
ภายในใจหลัวคังอันกำลังขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายเขาก็ยังรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร จึงกล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัวว่า “นายยังจำเรื่องที่ก่อนหน้านี้ฉันเคยเล่าให้นายฟังได้ไหม เรื่องที่ฉันถูกผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกจ้างให้มาใส่ความฉันตอนอยู่หลิงซาน? เธอก็คือเสวี่ยหลาน ตอนนั้นเธอยังไม่ได้เป็นเทพธิดาอะไรเลย…”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ฆ่าคนได้โดยไม่มีเหตุผล ชีวิตคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา ตั้งแต่เรื่องที่ได้เจอกับเสวี่ยหลานในเมืองหลวง แล้วก็เรื่องที่มาเจอกันตอนงานตระเวนแสดง รวมไปถึงเรื่องที่ทั้งสองทิ้งเบอร์ติดต่อของกันและกันเอาไว้ ทุกอย่างล้วนบอกเล่าออกมาจนหมด
ก่อนหน้านี้หลินยวนเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น ตอนนี้ได้ยินหลัวคังอันสารภาพออกมาเองว่าพาเสวี่ยหลานเข้ามาทำเรื่องสกปรกพรรค์นั้นในห้องควบคุมของเทพมหาวิญญาณ เขาเองก็นับว่ายอมใจคนผู้นี้เลยจริงๆ ในหัวสมองเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยราคะความใคร่!
“แค่พาเธอมาทำแต่เรื่องอย่างนั้น ไม่มีเรื่องอื่น?” หลินยวนค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้
หลัวคังอันที่เอามือกุมบั้นเอวรีบถอยหลัง กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ไม่มี! นอกจากเรื่องนั้นแล้วยังจะทำเรื่องอะไรได้อีกล่ะ?”
หลินยวนกล่าวอย่างเฉยชา “นายจะบอกว่านอกจากห้องควบคุมแล้ว เสวี่ยหลานไม่ได้ไปที่อื่นในเทพมหาวิญญาณเลย?”
“ไม่มี ไม่มีจริงๆ?” ในช่วงเวลาสั้นๆ หลัวคังอันนึกอะไรไม่ออกจริงๆ แต่ก็เป็นเพราะประโยคนี้ พริบตาที่สัมผัสได้ถึงความคิดที่จะเหยียบเขาให้ตายเหมือนดั่งมดปลวกจากในสายตาของหลินยวน สติปัญญาของหลัวคังอันพลันถูกกระตุ้น คิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที รีบโบกไม้โบกมือพลางกล่าวว่า “มีๆ ฉันนึกออกแล้ว มี”
หลินยวนหยุดฝีเท้า ไม่ได้พูดอะไร รอให้เขาพูดออกมาเอง
หลัวคังอันยกมือขึ้นมากันเอาไว้เหมือนกำลังร้องขอชีวิต มืออีกข้างหนึ่งกุมบั้นเอวเอาไว้ “หลังทำเรื่องนั้นเสร็จแล้ว เธอก็ไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องน้ำ อันนี้นับด้วยหรือเปล่า?”
ห้องน้ำ? หลินยวนเหลียวหน้ากลับไปมอง จากนั้นจู่ๆ พลันพุ่งตัวออกไป ยื่นมือทะลุผ่านการป้องกันของหลัวคังอัน คว้าเข้าไปที่ลำคอของหลัวคังอัน จากนั้นลากออกไป เปิดอุโมงค์ทางเดินห้องควบคุม พาหลัวคังอันไปยังสถานที่ที่เขาบอกว่าเป็นห้องน้ำ
ภายในบริเวณนั้นมองไม่ออกว่าตรงไหนเป็นห้องน้ำ หลินยวนกวาดตามองไปรอบๆ จ้องมองไปยังแผ่นกั้นที่ถูกล็อกตายเอาไว้แผ่นหนึ่ง จากนั้นยื่นมือปล่อยพลังออกไป มือจับของแผ่นกั้นกระเด้งขึ้นมา เขาเหวี่ยงมือทำท่าดึงออก แผ่นกั้นถูกเปิดออกเหมือนประตูห้องโดยสาร เผยให้เห็นช่องสี่เหลี่ยมช่องหนึ่งที่พอให้คนคนหนึ่งมุดเข้าไปได้
มืออีกข้างหนึ่งของเขาปล่อยออกจากลำคอของหลัวคังอัน สกัดจุดไปบนร่าง หลัวคังอันยื่นนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้
จากนั้นหลินยวนจึงย่อตัวแล้วมุดเข้าไป ชะโงกหน้าเข้าไปมองด้านใน เมื่อมองดูจากตรงนี้จะสามารถเห็นโครงสร้างภายในบางส่วนของเทพมหาวิญญาณได้
เพียงแค่ดู เขาก็รู้ว่าเสวี่ยหลานทำอะไรเอาไว้ตรงไหน
เพียงแค่ดู เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ แขนข้างนั้นของเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินถึงขยับไม่ได้
ลูกตาของหลัวคังอันกรอกกลิ้งไปมา ไม่รู้ว่าหลินยวนกำลังทำอะไร
หลินยวนถอยออกมา ยืดตัวขึ้นคลายผนึกบนร่างของเขา จับคอเขาแล้วกดลงไป ดันร่างของเขาเข้าไปในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั่น
หลัวคังอันที่กระดูกหักถูกฝืนจับยัดเข้าไปด้านใน เจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมาก ได้ยินเพียงเสียงของหลินยวนดังอยู่ข้างหู “จู่ๆ แขนของเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินก็ขยับไม่ได้ นายลองดูสิว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน”
พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หลัวคังอันที่ฝืนสะกดความเจ็บปวดเอาไว้จึงได้แต่ต้องกวาดตามองดูภายในโครงสร้างขนาดใหญ่ของเทพมหาวิญญาณ ไม่นานก็มองเห็นทันทีว่าปัญหาอยู่ตรงไหน
หลังฝืนสะกดความเจ็บปวดมุดออกมา เขาเอามือกุมบั้นเอวเอาไว้แล้วตอบว่า “ทำงานผิดปกติน่ะ”
“ทำงานผิดปกติ?” หลินยวนจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จนถึงตอนนี้นายยังคิดว่าเสวี่ยหลานมาเจอนายอีกครั้งเพราะโชคชะตาเหรอ? ยังคิดว่าเธอมาชดเชยให้นายด้วยเจตนาดีเหรอ?”
หลัวคังอันพลันตกใจ เข้าใจอะไรขึ้นมาทันที “นายจะบอกว่านี่เป็นฝีมือของเสวี่ยหลาน?”
หลินยวนกล่าว “นายน่าจะรู้นะว่าอู่เวยเป็นคนที่เฉาลู่ผิงส่งให้มาใกล้ชิดนาย และเบื้องหลังเฉาลู่ผิงก็คือหอการค้าตระกูลโจว หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานอยากจะทำลายหอการค้าตระกูลฉินที่จะเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ อู่เวยรับคำสั่งให้มาล้วงความลับของนาย ถึงได้เห็นว่าในบ้านนายมีโปสเตอร์ของเสวี่ยหลานติดเอาไว้อยู่ นายที่ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องสกปรกไม่ได้ระวังเลยว่าเธอจะมาล้วงความลับ ก็เลยพูดเรื่องที่นายชอบเสวี่ยหลานออกไป แผนการที่จะใช้เสวี่ยหลานมาเล่นงานนายจึงได้เริ่มต้นขึ้น นายคิดว่างานตระเวนแสดงนั่นมันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นเหรอ? นายคิดว่านายบังเอิญได้เจอเสวี่ยหลาน เธอเลยใช้ร่างกายสัญญาว่าจะชดเชยให้นายไปชั่วชีวิตอย่างนั้นเหรอ? นายเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าโลกนี้ไม่มีผู้หญิงหน้าไหนดีสักคน? จู่ๆ กลายเป็นคนที่ไร้เดียงสาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
หลัวคังอันที่เอามือกุมบั้นเอวด้วยความเจ็บปวดพลันตกตะลึง ฟังคำพูดของหลินยวนจนแผ่นหลังรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา แล้วก็คิดไม่ถึงเลยว่าเป้าหมายที่แท้จริงของงานตระเวนแสดงที่เดินทางไปทั่วทั้งดินแดนเซียนในครั้งนี้กลับเป็นคนตัวเล็กๆ อย่างเขาอย่างนั้นเหรอ?
เขารู้สึกยากจะเชื่อได้ แต่หลินยวนได้บอกเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดออกมาอย่างชัดเจน เขานับได้ว่ารู้ซึ้งถึงความน่ากลัวในการใช้เส้นสายจัดการเรื่องราวต่างๆ ของหอการค้าเหล่านั้นแล้ว กระดูกสันหลังรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเป็นระยะ
ในสายตาของเขาที่จ้องมองหลินยวนเผยให้เห็นถึงความรู้สึกตกใจระคนสงสัยเป็นอย่างมาก ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าคนผู้นี้ล่วงรู้เรื่องราวมากน้อยเท่าไร คิดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องโปสเตอร์ที่ติดอยู่ในบ้าน คิดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเสวี่ยหลานที่เขาเล่าให้อู่เวยฟังเพราะความใคร่ก็ยังรู้ได้ ทำไมถึงรู้กระทั่งเรื่องความลับส่วนตัวเหล่านี้ได้ล่ะ นี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้วหรือเปล่า
หลินยวนย่อมต้องรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะเขามองดูเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านของเฉาลู่ผิงอย่างเงียบๆ อีกทั้งก่อนตายเฉาลู่ผิงก็สารภาพเรื่องบางอย่างออกมา เขาย่อมต้องทราบเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี
“นายนี่มันสมควรตายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าตอนที่ถูกผู้พิทักษ์เมืองสอบปากคำจะปิดบังเรื่องที่ตัวเองพูดคุยกับอู่เวยเอาไว้ เดิมทีด้วยความระมัดระวังของหอการค้าตระกูลฉิน ขอเพียงรู้เรื่องเสวี่ยหลาน พวกเขาจะต้องป้องกันไม่ให้เสวี่ยหลานมาก่อเรื่องวุ่นวายได้แน่ เดิมทีนี่เป็นอุบัติเหตุที่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
หลินยวนกล่าวสั่งสอนด้วยน้ำเสียงเย็นชา เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็ยังรู้เลยว่าจะต้องเป็นเพราะหลัวคังอันปิดบังเอาไว้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นการมาถึงของเสวี่ยหลานจะปิดบังหอการค้าตระกูลฉินเอาไว้ได้อย่างไร
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโมโหจริงๆ คือการปิดบังของหลัวคังอันในครั้งนี้ ทำให้เขาเกือบจะต้องลำบากไปด้วย
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าหอการค้าต่างๆ จะหน้าไม่อายถึงเพียงนี้ เปิดฉากสังหารเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินตั้งแต่เริ่มทั้งๆ ที่มีคนจำนวนมากจับตาดูอยู่
โชคดีที่เทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินเสียแขนไปแค่เพียงข้างเดียว ถ้าเกิดทำให้ทั้งร่างเทพมหาวิญญาณใช้การไม่ได้ขึ้นมา ตัวเขาไม่รู้จะไปหลบอยู่ที่ไหน เกรงว่าเมื่อถึงขั้นนั้น ถ้าไม่เปิดเผยตัวก็คงเป็นไปได้ยาก
แต่สำหรับหลัวคังอันแล้ว เขากลับพบว่าหลินยวนรู้ทุกเรื่อง กระทั่งเรื่องที่ตนเองปิดบังผู้พิทักษ์เมืองเอาไว้ก็ยังรู้ นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าหลินยวนน่ากลัวเป็นอย่างมาก
แต่เขากลับไม่ได้รู้เลยว่าความจริงที่ตัวเองสารภาพออกไปนั้นคือสิ่งที่ทำให้ตัวเองหลบพ้นหายนะมาได้
จากคำสารภาพของหลัวคังอัน ประกอบกับความรุนแรงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังก่อเหตุและช่วงเวลาก่อเหตุที่มีอยู่อย่างจำกัดก่อนหน้านี้ทำให้เขามั่นใจว่าหลัวคังอันไม่ได้ถูกซื้อตัวไป ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถปล่อยหลัวคังอันไปได้
แต่การที่เขายอมปล่อยหลัวคังอันไปเพราะเรื่องเหล่านี้ อีกสาเหตุหนึ่งนั้นย่อมเป็นเพราะหลัวคังอันยังมีประโยชน์ในการช่วยอำพรางเรื่องของเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่มีทางปล่อยให้พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์อย่างหลัวคังอันมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้
…..
เจ้าแคว้นหนานหรูลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนัก เจ้าเมืองทั้งสามสิบหกคนที่ดูการประมูลมาเป็นเวลานานขนาดนี้ก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน ทยอยเดินเข้าไปปรึกษาหารือกันภายในตำหนักคุนกว่าง
ก่อนที่จะเดินออกไป ลั่วเทียนเหอที่ลุกขึ้นยืนมองไปทางฉินอี๋เล็กน้อย สีหน้าดูซับซ้อน
การประมูลครั้งนี้ เขาไม่ได้ช่วยอะไรฉินอี๋เลยจริงๆ เรียกได้ว่าคิดจะนั่งดูหอการค้าตระกูลฉินแพ้โดยไม่ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่หอการค้าตระกูลฉินก็ยังเดินมาถึงขั้นนี้ได้
ประธานหอการค้ากลุ่มหนึ่งก็ลุกขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ละคนบ้างก็เหลือบมองไปทางฉินอี๋ บ้างก็เดินออกไปคล้ายไม่เห็นเธออยู่ในสายตา
สีหน้าของโจวหม่านเชากับพานชิ่งดูแย่เป็นอย่างมาก
ผลการประมูลยังไม่ได้ประกาศออกมา มีการแจ้งว่าจะเลือกวันประกาศอีกที
ฉินอี๋รับรู้ได้ถึงท่าทีของทุกคน ข้างๆ มีเสียงของหนานชีหรูอันดังลอยมา “ไม่ต้องสนใจพวกเขาครับ”
ฉินอี๋หมุนตัวไป ค้อมกายทักทายเล็กน้อย “เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่ยอมรามือง่ายๆ หากไม่ถึงท้ายที่สุดจริงๆ เกรงว่าผลการประมูลอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ค่ะ”
หนานชีหรูอันใบหน้าดูสง่างาม มุมปากที่ยกขึ้นมาเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น “หอการค้าตระกูลฉินเอาชนะทุกคนได้ ผ่านการทดสอบจนมาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งที่ควรทำก็ได้ทำไปหมดแล้ว เรื่องที่เหลือปล่อยให้เห็นหน้าที่ของตระกูลหนานชีของผมเองครับ ตระกูลหนานชีของผมก็ไม่มีทางอยู่เฉยๆ แล้วรอคอยแต่ผลประโยชน์เช่นกัน วางใจได้ครับ ในสภาเซียนมีคนของตระกูลผมอยู่ ไม่มีทางปล่อยให้เรื่องไร้เหตุผลมันบิดเบี้ยวจนไม่อาจยอมรับได้ หอการค้าตระกูลฉินทำดีแล้ว หากตระกูลหนานชีของผมทำได้ไม่ดี ความเสียหายทั้งหมดของหอการค้าตระกูลฉิน ทางตระกูลหนานชีของผมจะเป็นคนรับผิดชอบให้เองครับ พวกเราไม่เคยเอาเปรียบคนที่พยายามทำงานให้กับตระกูลหนานชีของเราอยู่แล้ว แต่แน่นอน เราไม่มีทางปล่อยคนที่เปลี่ยนใจไปเปลี่ยนใจมาเช่นเดียวกัน”
…………………………………………………………………………….