ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 143 ฉันกำลังยุให้พวกคุณแตกคอกันอยู่

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 143 ฉันกำลังยุให้พวกคุณแตกคอกันอยู่

จู่ๆ แสงไฟภายในห้องพลันดับลง ด้านนอกเหลือเพียงแสงดาวและแสงเดือน

หลิ่วจวินจวินเดินออกมาจากในห้อง เดินไปยังระเบียงที่จัดเป็นสวนดอกไม้ ก่อนจะเดินไปยืนอยู่ข้างกายฉินเต้าเปียนแล้วเอ่ยเตือนว่า “ลูกเขยของพานชิ่งมาแล้วค่ะ”

ฉินเต้าเปียนนั่งลง จ้องมองไปยังศาลาที่ตั้งอยู่ในสวนดอกไม้ เห็นเงาร่างคนคนหนึ่งนั่งอยู่ในศาลา

หลิ่วจวินจวินหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง ปิดไฟทั้งหมดภายในห้อง แสงดาวและแสงเดือนที่อยู่ด้านนอกยิ่งดูสว่างขึ้น แล้วก็ทำให้ทางด้านนี้ตกอยู่ในความมืดมิด ยิ่งมองเห็นสถานการณ์ทางด้านนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลิ่วจวินจวินที่เดินกลับออกมาจัดกระโปรงของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างโต้ะน้ำชา สังเกตการณ์เป็นเพื่อนฉินเต้าเปียน

ไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นคนสองคนเดินออกมาจากทางเดินของสวนดอกไม้ ตรงไปยังศาลาหลังนั้น หลิ่วจวินจวินเอ่ยเสริมว่า “เสี่ยวอี๋กับหลิงหลงมาแล้ว”

ภายในศาลา สวีเฉียนที่นั่งรออย่างเงียบๆ ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของผู้หญิง พอหันหน้ากลับไปมองก็พบว่าเป็นฉินอี๋กับไป๋หลิงหลง เขาเองก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เอ่ยทักทายว่า “ประธานฉิน”

ฉินอี๋ที่เดินเข้ามาในศาลาผายมือเชิญให้สวีเฉียนนั่ง ส่วนตัวเองก็นั่งลงเช่นเดียวกัน กระทั่งอีกฝ่ายค่อยๆ นั่งลง เธอจึงจ้องดวงตาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “เราเคยเจอกันมาก่อน”

นี่คือความเคยชินของเธอ เวลาคุยธุระเธอมักจะชอบจ้องมองดวงตาของคนอื่น และในแววตาที่สุกสกาวของเธอก็จะเผยให้เห็นถึงความหนักแน่นมั่นคง

สวีเฉียนพยักหน้า “ใช่ครับ เราเคยเจอกันมาก่อน”

ฉินอี๋ “ถ้าฉันจำไม่ผิดละก็ เมื่อหลายปีก่อนฉันเคยติดตามคุณพ่อไปขอพบประธานพาน แล้วก็เป็นผู้ช่วยสวีที่ขวางพวกเราเอาไว้”

สวีเฉียนเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “คุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่มีทางตัดสินใจทำแบบนั้นด้วยตัวเองได้”

ฉินอี๋กล่าว “ฉันเข้าใจค่ะ พานชิ่งไม่อยากพบพวกเรา หลังจากนั้นคุณก็เลยหาข้ออ้างมาปฏิเสธพวกเรา”

สวีเฉียนสูดหายใจเข้าลึกๆ “ประธานฉินคงจะไม่ได้เรียกผมมาเพื่อคิดบัญชีเมื่อในอดีตใช่ไหมครับ?”

เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่ผู้ติดตามของเขาล้วนถูกผู้คุ้มกันประจำคฤหาสน์ตระกูลฉินขวางเอาไว้ด้านนอก อนุญาตให้สวีเฉียนเข้ามาด้านในแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น

ในเมื่ออยากมาเยือนคนอื่นถึงถิ่นแบบนี้ เขาก็ได้แต่ต้องตามใจเจ้าบ้าน เข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลฉินเพียงคนเดียว

อีกทั้งก่อนเข้ามายังถูกตรวจค้นร่างกายด้วย เครื่องบันทึกเสียงที่นำติดตัวมาเลยถูกยึดไป

ฉินอี๋ “คิดบัญชี? คุณดูถูกฉัน แล้วก็ดูถูกตัวคุณเองด้วย ฉันอยากช่วยคุณนะคะ”

ภายในใจของสวีเฉียนมีเรื่องร้อนใจ ไม่มีอารมณ์จะมาเล่นลิ้นกับเธอ “ประธานฉินครับ ในเมื่อคุณล่อผมมาที่นี่ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ว่ามาครับ ทำอย่างไรถึงจะช่วยท่านประธานของพวกเราออกมาได้ หรือไม่ก็บอกมาเลยว่าคุณมีเงื่อนไขอะไร ลองว่ามาก่อนได้ครับ”

ถูกต้อง เขาถูกล่อมาที่นี่ จู่ๆ ฝั่งนี้ก็บอกว่ามีวิธีช่วยเหลือพานชิ่ง ตัวเขาที่อับจนหนทางจึงได้แต่ต้องมาที่นี่เพื่อลองดู

ถึงแม้ทั้งสองฝั่งจะเป็นศัตรูกัน แต่ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว เขาไม่เชื่อว่าตระกูลฉินจะกล้าทำอะไรเขาในบ้านของตนเอง

“ท่านประธาน?” ฉินอี๋พยักหน้าเล็กน้อย “ฉันชอบคำที่คุณใช้เรียกพานชิ่งนะคะ เรื่องงานส่วนเรื่องงาน ไม่จำเป็นต้องเอาความรู้สึกส่วนตัวอะไรมาปะปน คนที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จหรอกค่ะ”

สวีเฉียนกล่าวเตือนอีกครั้ง “ประธานฉินให้คนมาบอกผมว่าคุณสามารถช่วยท่านประธานของพวกเราได้ใช่ไหมครับ?”

ฉินอี๋กล่าว “เรื่องที่เกิดขึ้นภายในค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองปู๋เชวี่ยเป็นฝีมือใคร ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ เจ้าเมืองลั่วเป็นใคร? ถ้าคุณรู้จักเขาสักนิดล่ะก็ เขาคือคนที่หัวโบราณสุดๆ และไม่มีทางทำเรื่องที่ผิดกฎง่ายๆ ฉันอยู่เมืองปู๋เชวี่ยมานาน แล้วก็ติดต่อกับเจ้าเมืองลั่วมาเป็นเวลาหลายปี เขาเป็นคนแบบไหน ฉันรู้ดีมากกว่าคุณอยู่แล้วค่ะ ในเมื่อเจ้าเมืองลั่วทำแบบนี้ คุณคิดว่าพานชิ่งจะยังรอดออกมาได้อีกเหรอคะ? ไม่มีทางที่เขาจะมีชีวิตรอดออกมาได้หรอกค่ะ! ฉันช่วยชีวิตพานชิ่งไม่ได้หรอกค่ะ และฉันก็ไม่จำเป็นต้องช่วยเขาด้วย คุณคิดว่ายังไงล่ะคะ?”

ใบหน้าของสวีเฉียนพลันมีความรู้สึกโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นมา เขาลุกขึ้นทันที ก้มลงมองเธอพร้อมกล่าวเสียงเข้มว่า “คุณล้อผมเล่นเหรอครับ?”

“ฉันไม่มีเวลาหรอกค่ะ โดยเฉพาะในตอนที่หอการค้าตระกูลฉินอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ แม้แต่เวลาพักผ่อนก็ยังมีไม่พอด้วยซ้ำ แล้วคุณคิดว่าคุณมีค่าอะไรถึงทำให้ฉันต้องเจียดเวลามาล้อคุณเล่นล่ะคะ? อย่างน้อยคุณในตอนนี้ก็ยังไม่มีค่าพอให้ฉันทำแบบนั้นหรอกค่ะ!” ฉินอี๋กล่าวจบก็ยื่นมือออกมา ผายมืออีกครั้งเพื่อบอกให้เขาใจเย็นลงก่อน เชิญเขานั่งลงอีกครั้ง!

ดวงตาของสวีเฉียนเผยให้เห็นความรู้สึกลังเล เขาคิดๆ แล้วก็พบว่าจริงอย่างว่า อีกฝ่ายไม่มีความจำเป็นต้องเรียกตนมาเพื่อปั่นหัวเล่น สุดท้ายจึงค่อยๆ นั่งลงอีกครั้ง “คุณจะเอายังไงกันแน่?”

ฉินอี๋กล่าว “ฉันพูดไปแล้วว่าต้องการช่วยคุณ แต่แน่นอน เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อหอการค้าตระกูลฉินฉันก็ไม่มีทางทำเช่นกันค่ะ ฉันเองก็กำลังช่วยเหลือตัวเองอยู่เช่นกัน”

สวีเฉียนว่า “ไม่ต้องอ้อมค้อมแล้วครับ”

ฉินอี๋ “ถ้าพานชิ่งไม่สามารถรอดกลับไปได้ คุณคิดว่าใครควรจะเป็นคนดูแลหอการค้าตระกูลพานหลังจากนี้เหรอคะ?”

สวีเฉียนกล่าวเสียงคร่ำเคร่งว่า “คุณอย่ามาใช้ลูกไม้นี้! ลั่วเทียนเหอบอกว่ายอกย้อนดูหมิ่นก็ยอกย้อนดูหมิ่นอย่างนั้นเหรอ? หอการค้าตระกูลพานเองก็ไม่ใช่ว่าจะยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ เหมือนกันหรอกนะครับ ผมไม่เชื่อว่าลั่วเทียนเหอจะกล้าฆ่าคนโดยไม่ให้โอกาสตรวจสอบความจริงหรอกครับ! เรื่องราวยังไม่ชัดเจน แต่หุนหันพลันแล่นฆ่าคน ถึงเป็นลั่วเทียนเหอก็อย่าได้คิดว่าจะรอดไปได้!”

ฉินอี๋ “ได้ค่ะ อย่างนั้นสมมติว่าพานชิ่งรอดกลับไปได้ แล้วยังไงคะ? มีประโยชน์อะไรกับคุณไหมคะ?”

“ขอตัวครับ!” สวีเฉียนหันหลังแล้วเดินออกไป เขารับรู้ได้แล้วว่าหัวข้อสนทนานี้มันไม่ถูกต้อง

ฉินอี๋เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “เซียงหลัวเซ่อน่าจะติดต่อคุณไปแล้วใช่ไหมคะ? เขาถามคุณเรื่องที่พานชิ่งเสนอเงื่อนไขให้หอการค้าตระกูลฉินหรือเปล่าคะ? เมื่อสักครู่นี้ เซียงหลัวเซ่อก็ติดต่อฉันมาเช่นกันค่ะ”

สถานะของเซียงหลัวเซ่อกับกงหู่จ้าวเท่าเทียมกัน เป็นเสมียนใหญ่ของตระกูลเซียงหลัวในกลุ่มดาวโต่ว และหอการค้าตระกูลพานก็อยู่ภายใต้การดูแลของเซียงหลัวเซ่อ

สวีเฉียนหยุดฝีเท้า ค่อยๆ หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง สายตาจ้องมองไปที่เธอ อยากรู้ว่าที่เธอพูดมามันหมายความว่าอย่างไร

ตอนนี้พานชิ่งอยู่ในกำมือของลั่วเทียนเหอ อีกทั้งท่าทีของลั่วเทียนเหอก็แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก หอการค้าตระกูลพานไม่สามารถตอบโต้กลับด้วยท่าทีแข็งกร้าวได้ หากจะช่วยพานชิ่งออกมา อาศัยเพียงอำนาจของหอการค้าตระกูลพานนั้นยังไม่พอ พวกเขาจำเป็นต้องใช้อำนาจของตระกูลเซียงหลัวที่อยู่เบื้องหลังด้วย

ฉินอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฉันบอกเซียงหลัวเซ่อว่าพานชิ่งมีลูกสาวสามคน จะเลือกลูกสาวคนไหนมาเป็นผู้ช่วยก็ได้ทั้งนั้น ทั้งน่าเชื่อถือและไว้ใจได้ แล้วทำไมเขาต้องเลือกคุณมาเป็นผู้ช่วยและให้พานหลิงเวยแต่งงานกับคุณด้วยคะ? เหตุผลก็ง่ายๆ เป็นเพราะความสามารถของคุณเหนือกว่าพวกเธอทั้งสามคนอย่างไรล่ะคะ ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะคะ หรือว่าไม่ใช่?”

แววตาของสวีเฉียนวูบไหวไปมา เขายิ่งไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้มันหมายความว่าอย่างไร

แต่แน่นอน เขาเองก็ไม่ปฏิเสธว่าความสามารถของตนเหนือกว่าความสามารถของลูกสาวทั้งสามคนของพานชิ่ง

คนที่มีตำแหน่งสถานะแล้วรู้จักตัวเองดีพอนั้นมีอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

ฉินอี๋สังเกตดูคำพูดและสีหน้าของสวีเฉียน เอ่ยต่อว่า “สำหรับตระกูลเซียงหลัวแล้ว ใครเป็นคนดูแลหอการค้าตระกูลพานนั้นไม่สำคัญค่ะ สิ่งสำคัญคือคนคนนั้นจะเชื่อฟังตระกูลเซียงหลัวหรือไม่ ฉันคิดว่าพานชิ่งไม่เหมาะจะเป็นประธานหอการค้าตระกูลพานอีกต่อไป ฉันเลยแนะนำตระกูลเซียงหลัวว่าให้คุณเป็นประธาน หวังว่าตระกูลเซียงหลัวจะสนับสนุนคุณขึ้นรับตำแหน่ง”

สวีเฉียนหัวเราะออกมา เป็นการหัวเราะดูแคลน เป็นการหัวเราะเย้ยหยัน ที่มากกว่านั้นคือเป็นการเหน็บแนม “คุณมีอำนาจตัดสินใจเลือกประธานหอการค้าตระกูลพานด้วยหรือครับ ประธานฉินละเมออยู่หรือเปล่าครับ?”

ฉินอี๋กล่าว “นี่จึงเป็นเหตุผลที่เซียงหลัวเซ่อมาถามถึงเรื่องที่พานชิ่งเสนอเงื่อนไขให้กับทางหอการค้าตระกูลฉินอย่างไรล่ะคะ เพราะฉันรับปากไปแล้วว่าจะประนีประนอมกับทางหอการค้าตระกูลพาน แล้วก็ยินดีแบ่งผลประโยชน์หนึ่งในสามจากการประมูลให้แก่หอการค้าตระกูลพาน แต่มีเงื่อนไขคือต้องให้คุณขึ้นเป็นประธาน แต่แน่นอนว่าผลประโยชน์อีกหนึ่งในสามจะแบ่งให้แก่หอการค้าตระกูลโจวด้วย นี่คือผลลัพธ์ที่หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวอยากจะเห็นในตอนแรก แล้วก็น่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ตระกูลเซียงหลัวกับตระกูลกงหู่อยากจะเห็นด้วยเช่นเดียวกัน”

“ในการประมูลมีหอการค้ามากน้อยเท่าไรที่แย่งชิงผลประโยชน์ที่มากมายมหาศาลขนาดนี้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ขอแค่มีอำนาจ แล้วก็มีการสนับสนุนของตระกูลเซียงหลัว ใครจะเป็นประธานของหอการค้าตระกูลพานยังสำคัญอีกหรือคะ? สิ่งที่สำคัญคือสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจว หอการค้าทั้งสองแห่งอาจจะพังทลายลงตอนไหนก็ได้ ถ้าสามารถลดความเสี่ยงและรักษาผลประโยชน์ที่มีอเอาไว้ได้ อีกทั้งยังได้รับผลประโยชน์อีกตั้งมากมาย คุณคิดว่าตระกูลเซียงหลัวจะเลือกคุณหรือเลือกพานชิ่งล่ะคะ?”

สวีเฉียนไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่อยู่ในใจอย่างไร แต่เขากลับบังคับตนเองให้พูดจาถากถางออกไป “ก่อนหน้านี้ประธานฉินไม่ตกลง พอการประมูลประสบความสำเร็จ คุณกลับมาตอบตกลง ตระกูลเซียงหลัวจะเชื่อคำพูดเหลวไหลของคุณเหรอครับ?”

ฉินอี๋เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ฉันไม่วางใจให้พานชิ่งเป็นประธานหอการค้าตระกูลพานต่อไปค่ะ พานหลิงอวิ๋นตายที่เมืองปู๋เชวี่ย พานชิ่งเกลียดฉันหรือไม่ เรื่องนี้คุณน่าจะรู้ดีกว่าฉันนะคะ…” คำพูดที่เอ่ยหลังจากนั้นเหมือนกับคำพูดที่เธอพูดกับกงหู่จ้าวไปก่อนหน้านี้ แล้วก็เป็นเหตุผลที่เธออธิบายให้เซียงหลัวเซ่อฟังก่อนหน้านี้

ใบหน้าของสวีเฉียนเต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัย หอการค้าตระกูลฉินยอมอ่อนข้อให้จริงๆ เหรอเนี่ย?

ฉินอี๋กล่าว “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผลประโยชน์ ตระกูลเซียงหลัวจะเลือกอย่างไร ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมาก ถ้าตระกูลเซียงหลัวเลือกคุณ ต่อให้คุณไม่ตอบตกลง แต่คุณจะปฏิเสธได้เหรอคะ? สมมุติว่าพานชิ่งไม่รอด กลับไปไม่ได้ หอการค้าตระกูลพานควรจะให้ใครเป็นคนดูแล คุณเคยคิดเรื่องนี้ไหมคะ? ต่อให้พานชิ่งรอดกลับไปได้ หากเขาทราบเรื่องที่ตระกูลเซียงหลัวต้องการให้คุณมาแทนที่เขา คุณคิดว่าพานชิ่งจะปล่อยคุณไปไหมล่ะคะ?”

“ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นอีกหลายปี พานชิ่งจะมอบหอการค้าตระกูลพานให้คุณดูแลไหมคะ? หากมอบให้ภรรยาของคุณ เกรงว่าช้าเร็วหอการค้าตระกูลพานก็คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นหอการค้าตระกูลสวี ในความคิดของฉัน ความเป็นไปได้ที่หอการค้าตระกูลพานจะถูกส่งต่อให้กับพานหลิงเยวี่ยนั้นมีเยอะมากกว่าค่ะ”

ใบหน้าของสวีเฉียนดูไม่ค่อยดี หลังจากใบหน้าคร่ำเคร่งอยู่สักพัก เขาก็กัดฟันพร้อมเอ่ยว่า “คิดว่าผมเป็นเด็กสามขวบหรือไง อย่ามาคิดยั่วยุให้พวกเราแตกคอกันเลยครับ”

ฉินอี๋กล่าว “คุณพูดถูกค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังยุให้พวกคุณแตกคอกันอยู่ ถ้าไม่มีประโยชน์ต่อหอการค้าตระกูลฉินแล้วล่ะก็ ฉันคงไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาทำแบบนี้หรอกค่ะ การที่พานชิ่งเป็นประธานนั้นไม่ส่งผลดีต่อหอการค้าตระกูลฉิน แต่การที่คุณขึ้นเป็นประธานนั้นมีประโยชน์ต่อหอการค้าตระกูลฉิน ดังนั้นฉันเลยหวังว่าคุณจะขึ้นเป็นประธานได้ เมื่อคุณขึ้นรับตำแหน่งประธานก็จำเป็นต้องทำการปรับโครงสร้างภายใน หอการค้าตระกูลฉินถึงจะมีเวลา หอการค้าตระกูลฉินจะถึงหลีกเลี่ยงการปะทะกับหอการค้าตระกูลพานได้ หอการค้าตระกูลฉินถึงจะร่วมมือกับตระกูลเซียงหลัวและตระกูลกงหู่เพื่อต่อต้านตระกูลหนานชีได้อย่างวางใจ นี่ก็คือเจตนาของฉันค่ะ มีอะไรผิดหรือคะ? หากมายืนอยู่ในจุดที่ฉันยืนอยู่ ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไปเสนอเงื่อนไขในการช่วยเหลือคุณกับทางตระกูลเซียงหลัวทำไมคะ?”

ถูกหรือผิด สวีเฉียนล้วนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำพูดเหล่านี้ในเวลานี้ได้ เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ลาก่อน!”

ฉินอี๋ “คิดว่าอีกไม่นานเซียงหลัวเซ่อก็คงจะมาถามความคิดของคุณ หวังว่าผู้ช่วยสวีจะพิจารณาดูดีๆ ฉันรอร่วมงานกับประธานสวีอยู่นะคะ”

สวีเฉียนไม่ได้พูดอะไร ครั้งนี้เขาเดินออกไปจริงๆ

แขกไปแล้ว ฉินอี๋จึงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

ไป๋หลิงหลงที่อยู่ด้านข้างพูดว่า “เขาจะตอบตกลงไหม?”

ฉินอี๋กล่าว “เขาจะตกลงหรือไม่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเขาเคยมาเจอฉันเป็นการส่วนตัวที่นี่ ทางพานหลิงเยวี่ยคือตัวแปรสำคัญ พ่อของเธอไม่มีชีวิตรอดกลับไป อีกทั้งสวีเฉียนอยากจะขึ้นเป็นประธาน พานหลิงเยวี่ยจะต้องขัดขวางอย่างถึงที่สุดแน่! ถึงแม้สวีเฉียนจะไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ขอเพียงมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ทันทีที่พานหลิงเยวี่ยรู้ตัว สวีเฉียนก็ไม่มีทางให้ถอยอีก!”

ไปหลิงหลงคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

………

บนระเบียง เมื่อเห็นฉินอี๋กับไป๋หลิงหลงเดินออกไปจากสวนดอกไม้ ฉินเต้าเปียนที่นั่งมองอย่างเงียบๆ พลันกล่าวพึมพำขึ้นมาว่า “ลูกอี๋คิดจะใช้ประโยชน์จากสวีเฉียนกับเผิงซีมาสร้างความวุ่นวายขึ้นภายในหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจว!”

หลิ่วจวินจวินที่รับรู้เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้วเช่นกัน เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวต้องกัดหอการค้าตระกูลฉินเหมือนสุนัขจนตรอกแน่ ลูกอี๋เลยใช้ความเคลื่อนไหวของลั่วเทียนเหอมาชิงลงมือกับหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวก่อน นี่ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร”

ฉินเต้าเปียนแค่นเสียงเหอะออกมา “เรื่องแบบนี้ต้องปิดบังผมด้วยหรือไง?”

หลิ่วจวินจวินยิ้ม “คุณนี่นะ…คุณไม่ลองคิดดูหน่อยล่ะคะ ในเรื่องการวางแผนต่างๆ พวกคุณพ่อลูกมักจะเห็นไม่ตรงกันตลอด เธอก็ต้องกันคุณออกไปแล้วลงมือทำด้วยตัวคนเดียวแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ถ้าไม่ปิดบังคุณ หอการค้าตระกูลฉินจะมีโอกาสเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ไหมล่ะคะ?”

ฉินเต้าเปียนหันหน้ามากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “แล้วเธอไม่ลองคิดดูบ้างล่ะว่าใครเป็นคนวางรากฐานหอการค้าตระกูลฉินให้เธอ”

หลิ่วจวินจวินปลอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ก็คุณไงคะ คนทั่วทั้งโลกเขารู้กันทั้งนั้นแหละค่ะ คุณลองเปลี่ยนไปคิดอีกมุมหนึ่งสิคะ ไม่ว่าจะเป็นหอการค้าตระกูลพานหรือว่าหอการค้าตระกูลโจว จะมีหอการค้าสักกี่แห่งที่สามารถมอบอำนาจให้คนรุ่นหลังดูแลได้อย่างวางใจ? ลูกอี๋สามารถพาหอการค้าตระกูลฉินเติบใหญ่มาได้ถึงขนาดนี้ คุณควรจะปลื้มใจที่มีลูกสาวแบบนี้ถึงจะถูกนะคะ”

……………………………………………………………………….

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท