ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 164 โอกาสไม่อาจพลาดได้ พลาดแล้วไม่หวนกลับคืน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 164 โอกาสไม่อาจพลาดได้ พลาดแล้วไม่หวนกลับคืน

หญิงชราที่เข็นแผงไม้ค่อยๆ เดินมายังริมทะเลสาบ ผลักประตูของบ้านหินหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแล้วเดินเข้าไป จากนั้นปิดประตู

ภายในบ้าน หญิงชราที่ดูมีฐานะคนหนึ่งกำลังหลับใหลอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนเตียง

หญิงชราเดินเข้าไปหาหญิงชราที่ดูมีฐานะ ใช้นิ้วจิ้มไปบนร่างหญิงชราที่ดูมีฐานะทีหนึ่ง จากนั้นผลักประตูหลังของบ้านหินที่อยู่ติดทะเลสาบออกไป กระโดดลงไปในทะเลสาบ ไม่มีหยดน้ำสาดกระเซ็นขึ้นมาแม้แต่น้อย มีเพียงระลอกคลื่นที่กระเพื่อมขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

หญิงชราที่ดูมีฐานะที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงภายในบ้านกลืนน้ำลายทีหนึ่ง ก่อนจะพลิกตัวตื่นขึ้นมา

…..

ตรงมุมหนึ่งของทะเลสาบที่อยู่ตรงตีนเขาที่อยู่ห่างไกลมีคนผู้หนึ่งลอยขึ้นมา ขณะที่ลู่หงเยียนเดินจากในน้ำขึ้นมาบนฝั่งก็กวาดตามองไปรอบๆ เดินออกมาจากจุดที่เงียบสงัดภายในป่า ขึ้นมาบนทางเดิน เดินนวยนาดไปบนทางเดินที่ปูเอาไว้ด้วยหิน ระหว่างทางมีคนเดินเที่ยวผ่านไปผ่านมาประปราย

เดิมทีที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่เหมาะให้คนมาเที่ยวเล่นแห่งหนึ่งในเมือง

ลู่หงเยียนเดินลงจากเขามาถึงลานจอดรถ สอดตัวเข้าไปนั่งในรถ ขับรถแล่นออกไป

….

หลังมาถึงโรงอีหลิวและลงมาจากรถ จางเลี่ยเฉินที่กำลังยุ่งอยู่กับงานในมือตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมีความสุข “หงเยียนกลับมาแล้วเหรอ”

ลู่หงเยียนเดินเข้าไปหา เอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “ลุงเฉิน วันนี้เป็นวันอะไรเหรอ ทำไมเตรียมกับข้าวเยอะขนาดนี้?”

จางเลี่ยเฉินหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “เมื่อกี้หลังหนูออกไปแล้วประธานฉินก็โทรมา บอกว่าเย็นนี้จะมากินข้าวที่นี่ อีกฝ่ายเป็นถึงประธานหอการค้าตระกูลฉิน เสี่ยวหลินจึเองก็ทำงานอยู่ในหอการค้าตระกูลฉิน อีกทั้งอีกฝ่ายก็คอยดูแลกิจการของโรงอีหลิวมาโดยตลอด จะไม่ให้สนใจก็ไม่ได้”

ฉินอี๋จะมากินข้าวเย็นที่นี่? ลู่หงเยียนกลับค่อนข้างประหลาดใจ เธอเองก็รู้สึกสนใจในตัวฉินอี๋ผู้นี้ อยากจะเห็นหน้าผู้หญิงที่เหมือนจะทำให้ผู้อาวุโสรุ่นก่อนสนใจผู้นี้เหมือนกัน จึงม้วนแขนเสื้อแล้วเสนอตัวช่วยเหลือจางเลี่ยเฉิน

กระทั่งหลินยวนเลิกงานกลับมา เมื่อได้เห็นอาหารที่ถูกเตรียมเอาไว้มากมายขนาดนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปถามว่า “นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

ลู่หงเยียนยิ้มพลางเอ่ย “ประธานฉินบอกลุงเฉินว่าเย็นนี้จะมากินข้าวเย็นที่นี่”

“…..” หลินยวนค่อนข้างงุนงง เหม่อลอยไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เธอจะมาทำไม?”

จางเลี่ยเฉินกล่าว “แกจะสนใจทำไมว่าเธอมาทำไม ก็เธอจะมา เราจะปฏิเสธได้เหรอ?”

หลินยวนหมดคำพูด อดเหลือบมองไปทางลู่หงเยียนไม่ได้ เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าฉินอี๋จะมาเพราะลู่หงเยียน แล้วก็กังวลว่าความแข็งกร้าวดื้อรั้นของฉินอี๋จะทำให้เกิดความไม่พอใจหรือไม่ก็ความกระอักกระอ่วนอะไรขึ้นมา

สรุปแล้วก็คือเขาไม่อยากเจอหน้าฉินอี๋ในสถานการณ์แบบนี้

ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน รู้สึกหวาดกลัวฉินอี๋ขึ้นมาแปลกๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่านี่ใช่ความกลัวหรือไม่ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกบางอย่าง

แต่โชคดี เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้เขาโล่งใจ

โทรศัพท์ของจางเลี่ยเฉินดังขึ้นมา จางเลี่ยเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเอออออย่างเชื่อฟังอยู่ครู่หนึ่ง หลังวางโทรศัพท์ลง เขาก็มองดูอาหารที่เตรียมเอาไว้จำนวนมาก คล้ายเหม่อลอยไปเล็กน้อยเช่นกัน

“ลุงเฉิน ทำไมเหรอคะ?” ลู่หงเยียนเอ่ยถาม

จางเลี่ยเฉินยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ประธานฉินโทรมา บอกว่ามีธุระด่วน มาไม่ได้แล้ว เอาไว้วันหลังค่อยมาใหม่”

ลู่หงเยียนมึนงง “ไม่มาแล้ว?” ก่อนจะเหลือบมองไปยังอาหารที่เตรียมเอาไว้อย่างอดไม่ได้เช่นกัน

เธอยังอยากจะพบฉินอี๋คนนั้นอยู่

“เฮ้อ ช่างเถอะ ถ้าเขาจะมา เราก็ห้ามไม่ได้ ถ้าเขาไม่มา เราก็ไปบังคับไม่ได้เหมือนกัน เตรียมก็เตรียมไปแล้ว ทำต่อเถอะ ถือซะว่าทำเลี้ยงหงเยียนก็แล้วกัน” จางเลี่ยเฉินจำต้องทำตัวใจกว้างอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรอีกครั้ง

หลินยวนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกโล่งใจ

…..

ในเวลานี้ฉินอี๋อยู่ในขบวนรถที่กำลังแล่นออกจากสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลฉิน เธอที่นั่งอยู่ในรถกำลังทอดตามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

เธอมีธุระด่วนจนทำให้ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางจริงๆ หลายครั้งเวลาที่ต้องเผชิญกับเรื่องบางเรื่อง เธอเองก็จนปัญญาเช่นกัน เมื่อต้องเจอกับเรื่องที่มีความสำคัญกว่า เธอก็ได้แต่ต้องปัดแผนการที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าทิ้งไป เวลาที่เหลือเอาไว้ให้เธอใช้สำหรับเรื่องความรักมีไม่มากเท่าไรนัก

ขบวนรถอยู่บนเส้นทางที่มุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลฉิน

ในตอนที่ใกล้จะถึงคฤหาสน์ตระกูลฉิน จู่ๆ ขบวนรถพลันเลี้ยวเข้าไปในคฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ข้างทาง ประตูคฤหาสน์เปิดออก พวกฉินอี๋รีบลงจากรถ ไม่มีการชักช้ารีรอแม้แต่น้อย ต่างเปลี่ยนไปขึ้นรถที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าจนหมด

ไป๋หลิงหลงที่ชิงลงจากรถไปก่อนรีบก้าวไปเปิดประตูรถคันหนึ่งเอาไว้ เพื่อที่ฉินอี๋ที่เดิมตามมาจะได้สอดตัวขึ้นไปบนรถได้เลย

ประตูหน้าเปิดออก ขบวนรถก่อนหน้านี้แล่นออกไป ยังคงตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลฉิน

ส่วนขบวนรถที่เปลี่ยนใหม่หลังจากนั้นไม่ได้กลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลฉิน หากแต่เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง ตรงไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านล่างตีนเขาที่สำนักงานเจ้าเมืองตั้งอยู่

ระหว่างทาง ไป๋หลิงหลงอดเอ่ยเตือนขึ้นมาอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “ท่านประธานคะ เรื่องที่ไปเจอลั่วเทียนเหอ หลังจากนี้คงจะปิดสองตระกูลนั้นเอาไว้ไม่ได้ เกรงว่าพวกเขาคงจะต้องเกิดความสงสัยแน่เลยค่ะ”

ฉินอี๋กล่าว “จะสงสัยหรือไม่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือพวกเขาจะต้องเตรียมแผนอะไรเอาไว้อย่างแน่นอน ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้พานชิ่งกับโจวหม่านเชารอดกลับไปได้ ฉันเองก็ไม่คิดที่จะปิดบังพวกด้วย เพียงแค่อยากจะให้สองตระกูลนั้นรู้ตัวช้าลงหน่อย เพื่อที่สองคนนั้นจะได้กลับไปอย่างปลอดภัยได้ ขอเพียงสองคนนั้นกลับไปอย่างปลอดภัยได้ ด้วยอิทธิพลที่มีอยู่แต่เดิมของพวกเขาแล้ว พวกเขารู้ดีว่าควรทำอย่างไรตัวเองถึงจะปลอดภัย เรื่องหลังจากนี้พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก”

ไป๋หลิงหลงพยักหน้าอย่างเงียบๆ ภายในใจรู้สึกหนักอึ้ง รู้ว่าถึงช่วงเวลาสำคัญในการห้ำหั่นกับหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจวแล้ว ยามนี้ท่าทีของลั่วเทียนเหอเป็นอย่างไรยังมิอาจรู้ได้ แต่เมื่อดูจากท่าทีของฉินอี๋แล้ว คล้ายว่าจะมีความมั่นใจอย่างมากทีเดียว

เมื่อเห็นฉินอี๋กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ไป๋หลิงหลงก็รีบดึงฉากกั้นระหว่างที่นั่งแถวหน้ากับแถวหลังลงมาทันที

ฉินอี๋แต่งหน้าแต่งตัวใหม่ภายในรถ เปลี่ยนไปสวมชุดโบราณ เพื่อไม่ให้ตัวเองดูขวางหูขวางตาเวลาอยู่ต่อหน้าลั่วเทียนเหอ

…..

จู่ๆ ลั่วเทียนเหอที่กำลังเดินชมดอกไม้อยู่ในสวนก็ได้รับรายงาน ประธานหอการค้าตระกูลฉินต้องการขอพบเขา

นังหนูเพิ่งจะเอาชนะการประมูลมาได้ เธอจะต้องอยู่ในช่วงที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดอย่างแน่นอน จู่ๆ ก็มาหาตนเองแบบนี้ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ลั่วเทียนเหอที่ในมือถือจอกสุราเอาไว้ส่งเสียงอืมพร้อมโบกมือเล็กน้อย เพื่อสื่อว่าให้พาเธอเข้ามาได้

จากนั้นไม่นาน ฉินอี๋ที่อยู่ในชุดโบราณก็เดินเข้ามา เธอเข้าไปในศาลาริมน้ำ ประสานมือพร้อมย่อกายลง ทำความเคารพด้วยความนอบน้อมสง่างาม “ฉินอี๋คารวะท่านเจ้าเมืองค่ะ”

ลั่วเทียนเหอกวาดตามองดูเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า การแต่งกายเช่นนี้ทำให้เขาสบายตาเล็กน้อย ไอการแต่งตัวที่ถ้าไม่เปิดแขนก็เปิดต้นขา ไม่ก็เปิดหัวไหล่เผยเนินอก หรือไม่ก็ส้นสูงที่แหลมจนสามารถแทงคนตายได้พวกนั้น ดูแล้วช่างน่าเอือมระอาจริงๆ

ดูเหมือนนังหนูคนนี้จะยังมีความเคารพกริ่งเกรงเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาอยู่ ลั่วเทียนเหอรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ยกมือเพื่อบอกว่าไม่ต้องมากพิธี เอ่ยถามว่า “มาหาฉันในเวลาอาหารเย็นแบบนี้ หรือว่าอยากจะให้ฉันเชิญเธอทานข้าวด้วย?”

“ท่านเจ้าเมืองล้อเล่นแล้วค่ะ” ฉินอี๋ที่ลุกขึ้นยืนกล่าวตามมารยาทเล็กน้อย ก่อนจะหันมองซ้ายมองขวา ท่าทางลังเลคล้ายอยากจะพูดอะไร

เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้คนนอกได้ยิน ลั่วเทียนเหอจึงหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาว่า “พวกนายออกไปก่อน”

กระทั่งคนเดินออกไปแล้ว เขาจึงถามว่า “นังหนู มีเรื่องอะไรถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย”

ฉินอี๋กล่าวด้วยท่าทีเคารพนอบน้อมว่า “ฉินอี๋มีเรื่องมาอาจเอื้อมรบกวนท่านเจ้าเมือง หวังว่าท่านเจ้าเมืองจะเมตตาช่วยเหลือด้วยค่ะ”

ลั่วเทียนเหอกล่าว “เธอวิ่งมาถึงนี้แล้ว ยังจะพูดเรื่องอาจเอื้อมรบกวนอะไรอีก ไม่คิดว่ามันดูเสแสร้งไปหน่อยเหรอ? ฉันเห็นเธอมาแต่เล็ก ยิ่งโตก็ยิ่งเจ้าเล่ห์นะเรา ไม่ต้องมาอ้อมค้อมกับฉันแล้ว อะไรที่ทำได้ฉันก็รับปากเธอได้ แต่อะไรที่ทำไม่ได้ ถึงเธอพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ว่ามา เรื่องอะไร?”

ฉินอี๋เรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ พลันเอ่ยออกมาตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ฉินอี๋อยากขอให้ท่านเจ้าเมืองปล่อยโจวหม่านเชากับพานชิ่งกลับไปด้วยค่ะ”

ลั่วเทียนเหอดูค่อนข้างประหลาดใจ เขาวางจอกสุราลง “ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม นี่เธอกำลังขอร้องแทนพวกเขาเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธออยากให้ฉันจับพวกเขามาหรอกเหรอ?”

ฉินอี๋กล่าว “สถานการณ์ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลง การปล่อยพวกเขาไปคือตัวเลือกที่ดีที่สุดค่ะ”

ลั่วเทียนเหอมีสีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย “นังหนู เธอทำธุรกิจของเธอ ฉันไม่เคยไปก้าวก่าย แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมาก้าวก่ายได้เช่นกัน ฉันจับพวกเขามา ฉันย่อมต้องมีเหตุผลที่จับพวกเขา เรื่องที่เธอไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่งก็อย่าเที่ยวสอดมือเข้ามายุ่ง กลับไปเถอะ!”

เรื่องบางเรื่องเขากับเจ้าแคว้นหนานหรูได้ทำการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต้องการสั่งสอนสองคนนั้นให้คนอื่นได้เห็นว่าจุดจบของคนที่โอหังอวดดีมันเป็นอย่างไร หนานหรูคอยแก้ต่างให้เขาอยู่ข้างบน ส่วนเขาก็คอยจัดการเรื่องข้างล่าง ไม่มีทางยอมปล่อยคนง่ายๆ

แต่ในเมื่อฉินอี๋มาแล้ว เธอไหนเลยจะยอมรามือง่ายๆ จึงกล่าวด้วยความจริงใจไปว่า “ท่านเจ้าเมืองคะ ถ้าปล่อยพวกเขาไปตอนนี้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งหอการค้าตระกูลฉินแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อเมืองปู๋เชวี่ยนะคะ หากพวกเขาไม่ได้กลับไปตอนนี้ เมืองปู๋เชวี่ยจะเกิดความวุ่นวายได้นะคะ!”

“วุ่นวาย?” ลั่วเทียนเหอเลิกคิ้ว “นี่เธอคิดจะใช้คำพูดน่ากลัวมาขู่ฉันเหรอ?”

“มิกล้าค่ะ!” ฉินอี๋ประสานมือพลางกล่าว “บางทีท่านเจ้าเมืองอาจจะยังไม่ทราบ แต่ก่อนหน้าที่ท่านเจ้าเมืองจะจับพวกเขามา ท่านเสมียนใหญ่ที่คอยดูแลกลุ่มดาวโต่วของตระกูลกงหู่กับตระกูลเซียงหลัวได้ไปที่สองตระกูลนั้น เตรียมจะมาคอยสั่งการโจมตีหอการค้าตระกูลฉินด้วยตัวเอง เป้าหมายคืออะไร คิดว่าท่านเจ้าเมืองคงจะทราบดี”

“แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ท่านเจ้าเมืองจะลงมือกะทันหัน จับโจวหม่านเชากับพานชิ่งมา ทำให้ฝั่งนั้นมือไม้ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก”

“หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานที่ต้องการจะโจมตีหอการค้าตระกูลฉินไม่อาจกลายเป็นมังกรที่ไร้หัวได้ แต่เจ้าเมืองก็ไม่ยอมปล่อยคนเสียที ตระกูลกงหู่กับตระกูลเซียงหลัวจึงจำเป็นต้องหาคนที่จะมาดูแลหอการค้าทั้งสองแห่ง ตอนนี้หอการค้าตระกูลโจวเป็นเผิงซีที่เป็นหลานชายของโจวหม่านเชาขึ้นมาเป็นประธาน ส่วนหอการค้าตระกูลพานก็เป็นสวีเฉียนที่เป็นลูกเขยของพานชิ่งขึ้นมาเป็นประธาน ทันทีที่สองคนนี้ขึ้นมาเป็นประธานหอการค้า พวกเขาก็รีบกวาดล้างคนเก่าคนแก่ของโจวหม่านเชาและพานชิ่งออกไปทันที เพื่อที่ตนเองจะได้ควบคุมอำนาจในการบริหารหอการค้าเอาไว้ในมือได้”

“ตอนนี้ทั้งสองคนขึ้นมาเป็นประธานหอการค้าแล้ว พวกเขาย่อมไม่อยากให้พานชิ่งกับโจวหม่านเชารอดชีวิตกลับไป แต่มีคนอยากจะให้พานชิ่งกับโจวหม่านเชากลับไป เพื่อที่กำจัดอุปสรรคในการกุมอำนาจ ทั้งสวีเฉียนและเผิงซีได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมแล้ว จากข้อมูลภายในที่ฉินอี๋ได้รับมา เผิงซีได้ฆ่าหานชิงเอ๋อร์ที่เป็นผู้หญิงของโจวหม่านเชาและเมิ่งซู่ที่เป็นผู้ช่วยของโจวหม่านเชาไปแล้ว ส่วนสวีเฉียนนั้นถึงกับฆ่าลูกสาวทั้งสองคนของพานชิ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือภรรยาของตัวสวีเฉียนเองค่ะ”

ลั่วเทียนเหอได้ฟังก็ตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานนั้นเหมือนจะมีปัญหาภายในกัน แต่ไม่คิดว่ามันจะวุ่นวายถึงขั้นนี้ได้

“ทำไมตระกูลกงหู่กับตระกูลเซียงหลัวถึงปล่อยให้สองคนนั้นทำแบบนี้? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากจะให้เผิงซีกับสวีเฉียนรีบควบคุมหอการค้าทั้งสองแห่งให้ได้โดยเร็ว เพื่อที่จะได้สะดวกต่อการรวมอำนาจสั่งการมาเป็นหนึ่งเดียวได้”

“ท่านเจ้าเมืองเองก็ทราบดี ทันที่ให้สองคนนั้นกุมอำนาจสั่งการของหอการค้าทั้งสองแห่งเอาไว้ได้แล้ว เรื่องต่อไปที่พวกเขาจะทำจะต้องเป็นการขัดขวางไม่ให้หอการค้าตระกูลฉินเติบโตอย่างแน่นอน หอการค้าทั้งสองแห่งจะต้องรวมกำลัง พยายามทำทุกวิถีทางที่จะเข้ามาโจมตีหอการค้าตระกูลฉินในเมืองปู๋เชวี่ยให้ได้ หอการค้าตระกูลฉินไม่อาจนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้ มีหรือที่จะไม่ตอบโต้? เมื่อถึงตอนนั้นคลื่นใต้น้ำที่รุนแรงจะต้องโหมกระหน่ำอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยอย่างแน่นอน เกิดการฆ่าฟันไปทั่ว ฉินอี๋ขอบังอาจถามท่านเจ้าเมือง เช่นนี้แล้วเมืองปู๋เชวี่ยจะไม่วุ่นวายได้อย่างไรคะ?”

“ถ้าหากปล่อยโจวหม่านเชากับพานชิ่งกลับไปแต่แรก ทั้งสองคนกลับไปแล้วก็จะสามารถควบคุมหอการค้าทั้งสองแห่งได้ไม่ยากอะไร ถ้าปล่อยทั้งสองคนช้าเกินไป เผิงซีกับสวีเฉียนก็จะควบคุมหอการค้าเอาไว้ได้ ทั้งสองเหตุการณ์นี้ล้วนไม่เป็นประโยชน์ต่อเมืองปู๋เชวี่ยและหอการค้าตระกูลฉิน แต่ถ้าหากปล่อยพวกเขาสองคนกลับไปในเวลานี้ นั่นกลับไม่เหมือนกัน เผิงซีและสวีเฉียนได้กวาดล้างคนในหอการค้าไปได้ระดับหนึ่งแล้ว หากพานชิ่งกับโจวหม่านเชากลับไปจะต้องทำการต่อสู้อย่างดุเดือดกับคนทรยศสองคนนั้นอย่างแน่นอนค่ะ”

“ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันภายใน ยากจะตัดสินแพ้ชนะได้ในระยะเวลาสั้นๆ สองตระกูลใหญ่เองก็ต้องหาวิธีทำให้ภายในหอการค้าทั้งสองแห่งสงบได้โดยเร็ว ถึงตอนนั้นก็ย่อมไม่มีเวลามานั่งสนใจทางเมืองปู๋เชวี่ย กว่าที่พวกเขาจะตัดสินแพ้ชนะได้ หอการค้าทั้งสองแห่งก็จะต้องเสียหายอย่างมากแน่นอน ต่อให้คิดจะเล่นงานทางเมืองปู๋เชวี่ยอีกก็คงทำอะไรไม่ได้มาก อย่างน้อยระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นก็คงไม่รุนแรงอะไรมากนัก”

“ท่านเจ้าเมืองค่ะ เราจะปล่อยให้เผิงซีกับสวีเฉียนมาเหิมเกริมก่อความวุ่นวายในเมืองปู๋เชวี่ยได้หรือคะ? เวลานี้เป็นโอกาสดีที่จะปล่อยเสือคืนสู่ป่า โอกาสไม่อาจพลาดได้ พลาดแล้วไม่หวนกลับคืนนะคะ!”

ลั่วเทียนเหอนิ่งเงียบไปทันที สีหน้าคล้ายกำลังใช้ความคิด สายตาวูบไหวไปมาไม่นิ่ง

ฉินอี๋กล่าว “ในเมื่อตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลได้ตัดสินใจสนับสนุนให้เผิงซีกับสวีเฉียนขึ้นเป็นประธานหอการค้าแล้ว ฉินอี๋คิดว่าทั้งสองตระกูลจะต้องไม่อยากให้โจวหม่านเชาและพานชิ่งรอดชีวิตกลับไปแน่ เกรงว่าคงจะมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ซ่อนตัวมือสังหารเอาไว้แล้ว พอสบโอกาสที่ทั้งสองคนออกมาจากคุกก็ลงมือสังหาร หากจะปล่อยทั้งสองคน จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้เด็ดขาด เราต้องแอบปล่อยไปเงียบๆ ทันทีที่เสือร้ายกลับคืนสู่ป่า เสือสองตัวย่อมอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ค่ะ!”

…………………………………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน