ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 181 สวนชิงหยวน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 181 สวนชิงหยวน

“เอ่อ..” เผยหยวนจี้และอูฉิงเทียนมองหน้ากัน มีสีหน้าท่าทางตกใจ

ฉวี่ซานจวีเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ทหารรักษาการณ์หนึ่งหมื่นนาย เทียบกับทหารรักษาการณ์ของเมืองหลวงแล้วเป็นยังไง? เทพมหาวิญญาณหนึ่งร้อยตน เทียบกับเมืองหลวงแล้วเป็นยังไง? เว่ยผิงกงเทียบกับเมืองหลวงที่มีองค์จักรพรรดินั่งบัญชาการด้วยตัวพระองค์เองแล้วเป็นยังไง? ทั้งทหารรักษาการณ์หนึ่งหมื่นนาย ทั้งเทพมหาวิญญาณหนึ่งร้อยตน ทั้งเว่ยผิงกงอะไรนั่น กระทั่งเมืองหลวงพวกเศษเดนจากราชวงศ์ก่อนยังกล้าโจมตีเลย แล้วพวกเขาจะมากลัวกับทหารแค่นี้เหรอ?”

“เศษเดนจากราชวงศ์ก่อนรู้เรื่องที่สภาเซียนมีข่ายพลังเทพมหาวิญญาณที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น พวกเขาก็เลยลงมือโจมตี ก็เลยลงมือทำลาย มันก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลไม่ใช่เหรอ และถ้าพวกเขาลงมือโจมตีจริงๆ นั่นก็เรียกได้ว่าสมเหตุสมผลอย่างมากแล้ว แล้วแบบนี้จะมาสงสัยพวกเราได้ยังไง? บอกได้แค่ว่าพวกเราโชคดี ไม่มีใครมาสงสัยพวกเราหรอก!”

เผยหยวนจี้และอูฉิงเทียนแววตาวูบไหว เห็นได้ชัดว่าเริ่มคล้อยตาม

แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีความกังวลอยู่ อูฉิงเทียนเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “คนพวกนั้นมันเป็นพวกเดนตาย จะไปหาคนพวกนั้น…กลัวว่าจะเหมือนไปคุยกับเสือเพื่อขอหนังเสือหรือเปล่า!”

เผยหยวนจี้พยักหน้าหงึกๆ ท่าทางเหมือนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ฉวี่ซานจวีพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างอดทน “ทั้งสองท่าน มาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราใกล้จะไม่มีทางให้รอดไปได้แล้ว ยังจะมีอะไรต้องกลัวอีก? อีกอย่าง ขอเพียงพวกเราจัดการให้แนบเนียนและระมัดระวังมากพอ ไม่ให้เศษเดนจากราชวงศ์ก่อนรู้ว่าเป็นพวกเราก็พอแล้ว”

อูฉิงเทียนกล่าวอย่างลังเล “พูดน่ะพูดได้ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่นายคิดน่ะสิ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย เอาแค่เรื่องจะติดต่อพวกเขายังไงก็เป็นปัญหาแล้ว”

ฉวี่ซานจวีนั่งตัวตรงขึ้นมา “อูซยง พูดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว พวกเราทำธุรกิจกันมาถึงขนาดนี้ ไม่ใช่นักธุรกิจตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไร ย่อมต้องพบปะผู้คนมามากมายหลายระดับ จริงอยู่ที่เส้นทางบางเส้นนายกับฉันอาจจะไม่ไปแตะมัน แต่ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าพวกนายสองคนจะไม่รู้เรื่อง มาบอกว่าไม่รู้จะติดต่อพวกเขายังไง คำพูดนี้นายอาจจะหลอกฉันได้ แต่ตัวนายเชื่อที่นายพูดด้วยเหรอ?”

“ถึงขนาดนี้แล้ว ฉันเปิดใจพูดตรงๆ ขนาดนี้แล้ว ถ้าพวกนายสองคนยังมัวแต่อ้อมไปอ้อมมา แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก เรื่องราวมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันขอถามคำเดียว พวกนายสองคนจะทำหรือไม่ทำ?”

“เอ่อ…” เผยหยวนจี้และอูฉิงเทียนต่างดูลังเล นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้ารีบร้อนด่วนตัดสินใจล่ะก็ กระทั่งตัวพวกเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ

ฉวี่ซานจวีลุกพรวดขึ้นมา “หากว่าไม่ทำ อย่างนั้นก็เชิญพวกนายสองคนกลับไปได้ ฉันไม่ส่งล่ะ เรื่องวันนี้ถือเสียว่าฉันไม่เคยพูดอะไร รอให้สามตระกูลนั่นมาสูบเลือดพวกเรา กินเนื้อพวกเรา แทะกระดูกพวกเราก็แล้วกัน อย่างไรซะฉันก็มีหอการค้าตระกูลเผยกับหอการค้าตระกูลอูเป็นเพื่อน ต่อให้แซ่สวี่ต้องตายก็ไม่เหงาแล้ว! ทั้งสองคน เชิญว่ามาได้เลย!” กล่าวพร้อมกับทำท่าทางส่งแขก

เผยหยวนจี้และอูฉิงเทียนมองหน้ากันเหลอหลา สื่อสารกันทางสายตา

หลังอูฉิงเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือส่งสัญญาณไปทางฉวี่ซานจวี สื่อว่าให้นั่งลงก่อน “ฉวี่ซยง อย่าเพิ่งใจร้อน นั่งลงก่อน เรื่องนี้ใจร้อนไม่ได้ ถ้านายใจร้อนมันจะทำให้พวกฉันลำบากใจ นั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกัน”

“ใช่ๆ” เผยหยวนจี้รีบเอ่ยสำทับพร้อมกับผายมือเชิญนั่ง

“ได้” ฉวี่ซานจวีนั่งลงอีกครั้ง “พวกนายยังอยากจะพูดอะไร มีคำชี้แนะอะไร ฉันรอฟังอยู่”

อูฉิงเทียนกล่าวว่า “เรื่องที่นายพูดมาทำให้พวกฉันตกใจไม่น้อย ก็เลยยังตั้งตัวไม่ได้ พวกเราไหนเลยจะมีคำชี้แนะอะไรได้ แต่ในเมื่อฉวี่ซยงเชิญพวกเรามาแล้ว ทั้งยังเสนอแผนนี้ออกมาอีก เห็นทีคงจะคิดไตร่ตรองในหลายๆ เรื่องมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ฉันอยากจะขอถามฉวี่ซยงหน่อยว่าทำไมเศษเดนจากราชวงศ์ก่อนพวกนั้นถึงต้องฟังพวกเราด้วยล่ะ หรือพวกเขาจะยอมให้พ่อค้าอย่างพวกเรามาชี้นิ้วบงการให้ทำนั่นทำนี่? ฉันกลัวว่าพวกเราจะขี่หลังเสือไม่ได้ แล้วยังจะถูกเสือกินน่ะสิ!”

ฉวี่ซานจวีกล่าว “พวกเขาย่อมไม่ยอมฟังพวกเราง่ายๆ แต่พวกเราก็มีวิธีที่จะทำให้พวกเขายอมฟังอยู่ วิธีที่ว่าคืออะไร ก็เงินที่อยู่ในมือพวกเราไม่ใช่เหรอ? ที่สามตระกูลที่อยู่เบื้องหลังพวกเราอยากจะกลืนกินพวกเรา ก็ไม่ใช่เพราะเงินที่อยู่ในมือพวกเราหรอกเหรอ? ขอเพียงให้เงินมากพอ ไม่ว่าใครก็ต้องลองคิดดูทั้งนั้นแหละ หรือว่าคนพวกนั้นทำอะไรไม่ต้องใช้เงิน กลุ่มคนที่อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จะไปปล้นชิงอย่างโจ่งแจ้งได้เหรอ? พวกเขาก็ต้องใช้เงินเหมือนกันนั่นแหละ!”

เผยหยวนจี้จับคางพลางครุ่นคิด “ถ้าให้เงินแล้วยอมไปสู้ อย่างนั้นพวกเขาไม่กลายเป็นนักสู้หรอกเหรอ? อย่างนั้นสภาเซียนก็แค่ให้เงินพวกเขาเพื่อให้พวกเขาหยุดก่อเรื่องก็ได้แล้วสิ จากที่นายว่ามา ถ้ามันเพราะเรื่องเงินเพียงอย่างเดียวล่ะก็ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย”

ฉวี่ซานจวีกล่าว “แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะเงินเท่านั้น นายไม่ลองคิดดูล่ะว่าพวกเขาทำอะไร ก็เหมือนอย่างที่ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ สภาเซียนมีข่ายพลังเทพมหาวิญญาณที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว การประมูลนั้นถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งดินแดนเซียน แล้วมีหรือที่พวกเขาจะไม่ตื่นตัวขึ้นมา! มีหรือที่พวกเขาจะไม่คิดทำลายข่ายพลังที่ว่านี้ทิ้ง?”

“คนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับหอการค้าตระกูลฉินมากกว่าพวกเรานั้นมีอยู่ไม่มาก ถ้ามีพวกเราคอยช่วย ใช้เครือข่ายข่าวสารทางธุรกิจของพวกเรา เอาข้อมูลทุกๆ ด้านให้พวกเขา ปูทางเอาไว้ให้พวกเขา ช่วยพวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการลงมือ ทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลอะไร อีกทั้งมีเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ให้ เรื่องดีๆ แบบนี้จะไปหาจากที่ไหน แล้วทำไมพวกเขาถึงจะไม่ลงมือ?”

พอพูดแบบนี้ ทั้งเผยหยวนนจี้และอูฉิงเทียนก็มองหน้ากัน ท่าทางดูค่อนข้างหวั่นไหวทีเดียว

อูฉิงเทียนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามอีกว่า “แล้วต้องให้เงินเท่าไรถึงจะเหมาะสม?”

ฉวี่ซานจวีกล่าว “ถ้าจะจ่ายเงินให้คนเหล่านั้นลงมือ นั่นย่อมไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ถ้าใช้เงินนิดหน่อยก็สามารถจัดการได้ ฉันก็คงไม่เรียกพวกนายมาคุยเรื่องที่ไม่ควรทำแบบนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันเรียกพวกนายสองคนมา แต่จะจ่ายเงินมันก็ต้องมีขอบเขต เรื่องนี้ลองคุยกันก่อนได้ สำหรับฉันมากสุดคือไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันล้านมุก ถ้าอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นล้านมุกได้ยิ่งดี!”

เผยหยวนจี้สูดปาก “หนึ่งหมื่นล้านมุก นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยนะ! เอาไปให้คนอื่นเปล่าๆ แบบนี้ มันออกจะ…”

ฉวี่ซานจวีกล่าว “ไม่ใช่ว่าออกคนเดียว แต่สามคนออกเท่าๆ กัน เงินแค่ไม่กี่พันล้านมุกหอการค้าตระกูลเผยจะไม่มีปัญญาจ่ายเชียวเหรอ? ถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเงินไม่กี่พันล้านสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ล่ะก็ มันก็ดีกว่าถูกตระกูลใหญ่ที่ถูกข้างหลังนายกินจนกระทั่งเศษกระดูกก็ไม่เหลือหรือเปล่า? ถ้าจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว ขอเพียงธุรกิจของพวกเรายังอยู่ ต่อให้ขาดทุนไปก็ยังหากลับมาได้ ลองคิดดูดีๆ เรื่องง่ายๆ แค่นี้คงไม่ต้องให้ฉันสอนเผยซยงคิดใช่ไหม?”

ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปอีกครั้ง กำลังทำการชั่งน้ำหนัก

ฉวี่ซานจวียกชาขึ้นมาจิบ มองดูสีหน้าท่าทางของคนนี้ทีคนนั้นที หลังรอไปครู่หนึ่ง เขาก็วางถ้วยชาลงไปบนโต๊ะดังเคร้ง “จะมัวชักช้าไม่ได้ ถ้าขืนชักช้าต่อไป เกิดสามตระกูลนั้นหมดหวังที่จะเล่นงานหอการค้าตระกูลฉิน พวกเขาจะต้องหันกลับมาเล่นงานพวกเราแน่ จะทำหรือไม่ทำ พวกนายรีบให้คำตอบมาเถอะ!”

สีหน้าของอูฉิงเทียนตึงเครียด กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับสายตาที่เฝ้ารอคอยของฉวี่ซานจวี เอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ทำ!”

จากนั้นสายตาของทั้งสองคนก็หันไปจ้องมองคนที่ยังไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา

เผยหยวนจี้แยกเขี้ยว “ยังมีวิธีอื่นอีกไหมล่ะ? ถ้าไม่มี อย่างนั้นได้แต่ต้องเอาตามนี้!”

“ดี” ฉวี่ซานจวีดีใจจนปรบมือออกมา

หลังจากนั้นทั้งสามคนก็พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หารือเรื่องรายละเอียด

…..

ณ สถานที่แห่งหนึ่งในเมืองหลวง กำแพงสูงใหญ่ สวนทอดตัวลึกเข้าไป

กำแพงสีเทา หลังคามุงกระเบื้อง ที่แห่งนี้มีชื่อว่าสวนชิงหยวน

ภายในส่วนลึกของสวนมีต้นไม้ตั้งเรียงราย กลิ่นหอมอบอวล มีหอสูงใหญ่ บนหอสูงมีผ้าแพรที่พลิ้วไหวไปตามสายลม

ด้านนอกหอสูงมีระเบียงทางเดินที่วนเป็นวงกลม ตรงริมราวกั้นทรงโค้ง ชายสวมชุดเสื้อคลุมสีเขียวคนหนึ่งกำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างช้าๆ ใบหน้าหล่อเหลามีชีวิตชีวา หนวดเคราสีดำห้อยยาวลงมา

ชุดเสื้อคลุมสีเขียวที่พลิ้วไหวตามฝีเท้าที่ก้าวเดินดูคล้ายชุดนักพรต แส้ปัดฝุ่นที่ถืออยู่ในมือวางพาดไว้บนข้อพับแขน คนผู้นี้ก็คือท่านเจ้าสวนแห่งสวนชิงหยวน เหมยชิงหยา

เมื่อเดินไปทางตะวันออก ภายในเรือนแห่งหนึ่งมีชายหนุ่มหน้าตาดีกำลังนั่งบรรเลงพิณ บนใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม ฝึกส่งสายตาเย้ายวน

เมื่อเดินไปทางเหนือ ตรงหน้ากำแพงแถบหนึ่งมีหญิงสาวจำนวนหนึ่งกำลังหันหน้าเข้าหากำแพง หากฟังดูดีๆ จะได้ยินเสียงท่วงทำนองของบทเพลงดังแว่วมา

เมื่อเดินไปทางตะวันตก จะเห็นว่าบนระเบียงของศาลาริมน้ำหลังหนึ่งมีหญิงสาวจำนวนหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่ มีหญิงวัยกลางคนคอยถือแท่งไม้ยืนสอนอยู่ข้างๆ หากเคลื่อนไหวได้ไม่ดีก็จะถูกแท่งไม้ตี

เมื่อเดินไปทางทิศใต้ก็จะเห็นสระน้ำแห่งหนึ่ง หญิงสาวยืนเรียงแถวอยู่ในน้ำ ร่างกายครึ่งท่อนจมอยู่ในน้ำ ครึ่งบนสวมใส่เพียงผ้าเอี๊ยม พยายามประคองร่างกายให้ตั้งตรง ระหว่างข้อศอกและชายโครงหนีบเข็มเอาไว้ กำลังฝึกท่วงท่าการเดินอยู่ภายในน้ำ หากหนีบเข็มแน่นเกินไปก็จะแทงตัวเองจนเจ็บ แต่ถ้าหนีบเอาไว้ไม่แน่นจนเข็มตกลงไปในน้ำก็ต้องถูกทำโทษ

เดิมทีสวนชิงหยวนแห่งนี้คือสถานที่สำหรับฝึกฝนการร้องและการเต้น คนที่มาล้วนแต่สมัครใจมา แต่ถึงแม้จะสมัครใจก็ไม่แน่ว่าจะเข้ามาได้ รูปร่างหน้าตาต้องเข้าตาสวนชิงหยวนด้วย

การฝึกฝนเองก็ยากลำบากเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเก็บค่าใช้จ่ายในการร่ำเรียนที่สูงลิ่ว แต่ก็ยังมีคนแห่กันมาเรียนเป็นจำนวนมาก

นั่นเป็นเพราะสวนชิงหยวนแห่งนี้ผลิตเทพธิดาที่มีชื่อเสียงออกมาเป็นจำนวนมาก คนที่อยากไล่ตามชื่อเสียงและเกียรติยศเหล่านั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน หลายๆ คนพยายามทุกวิถีทางเพื่อรวบรวมเงินค่าเรียนเข้ามาเรียน

บนทางเดินเล็กๆ เสื้อผ้าสีขาวกองหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ออกมา หญิงอ้วนวัยกลางคนคนหนึ่งมาถึง ส่งยิ้มขึ้นไปให้เหมยชิงหยาที่ยืนอยู่บนระเบียงด้านบน

เหมยชิงหยาหลุบตามองลงมา เหลือบมองอย่างเฉยชา หมุนตัวสะบัดแส้ปัดฝุ่นเล็กน้อย ชุดเสื้อคลุมพลิ้วไหว เดินเข้าไปในหอ นั่งคุกเข่าลงด้านหลังโต๊ะตัวหนึ่ง

เสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งดังลอยขึ้นมา หญิงชุดขาวที่เหมือนก้อนเนื้ออ้วนๆ คนนั้นเดินเข้ามา เห็นเธออ้วนแบบนี้ แต่เสียงกลับใสกังวาน มีเสียงที่ทำให้ทั่วทั้งดินแดนเซียนต้องตกตะลึง แต่เนื่องเพราะรูปร่างหน้าตา เธอจึงมาเป็นครูฝึกสอนอยู่ในสวนชิงหยวน

ชื่อจริงของเธอคืออะไร หลายๆ คนต่างลืมไปแล้ว รู้เพียงแต่ว่าเธอคือไป๋กุ้ยเหริน[1]แห่งสวนชิงหยวน

ไป๋กุ้ยเหรินเดินมาตรงหน้าโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงไปอย่างยากลำบาก ยากจะคุกเข่าลงไปได้ แทบจะต้องดึงขาขึ้นมากว่าจะนั่งขัดสมาธิได้ ทั้งยังยื่นมือไปเทน้ำชาให้เหมยชิงหยาอย่างยากลำบาก

แส้ปัดฝุ่นที่อยู่ในมือเหมยชิงหยายื่นออกมา ขวางมือของเธอเอาไว้ “ฉันเคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องวุ่นวาย เธอก็ไม่ฟังเลย”

ไป๋กุ้ยเหรินยังคงยิ้มแย้ม “ท่านไม่ต้องการมันก็เรื่องหนึ่ง มารยาทที่ควรมีมันก็อีกเรื่องหนึ่ง ท่านไปไหนมาไหนไร้ร่องรอย ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาสักครั้ง ควรจะแสดงความเคารพค่ะ”

เหมยชิงหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เข้าเรื่องเลย”

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “หอการค้าตระกูลฉินที่สร้างความวุ่นวายขึ้นมาในการประมูลนั่นน่ะค่ะ มีคนกำลังคิดจะเล่นงานหอการค้าตระกูลฉิน ก็เลยมาหาพวกเรา บอกว่ายินดีจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อให้เราทำลายหอการค้าตระกูลฉิน รวมไปถึงสถานที่ที่สภาเซียนส่งกองกำลังไปคุ้มกันด้วย อยากจะให้พวกเราทำลายทิ้งทั้งหมด อีกทั้งบอกว่ายินดีจะให้ข้อมูลเพื่อช่วยสนับสนุนด้วย”

เหมยชิงหยา “เป้าหมายคือเทพมหาวิญญาณ?”

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “น่าจะเป็นเช่นนั้นค่ะ”

เหมยชิงหยาว่า “ดูเหมือนจะยังมีคนไม่ยอมแพ้เรื่องการประมูลสินะ ใจกล้าไม่เบา กระทั่งสถานที่ที่เว่ยผิงกงไปบัญชาการด้วยตัวเองก็ยังคิดจะเล่นงาน เป็นใครกัน?”

ไป๋กุ้ยเหริน “ดูระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใครค่ะ เบื้องต้นดูแล้วคงจะเป็นหอการค้าที่ทำธุรกิจพวกนั้น แต่ก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีใครกำลังใช้เรื่องนี้มาสร้างความวุ่นวาย งานนี้จะรับหรือไม่รับ อีกฝ่ายกำลังรอคำตอบอยู่ค่ะ?”

เหมยชิงหยากล่าวว่า “ข่ายพลังของเทพมหาวิญญาณที่ทำการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ออกมาแล้ว หากไม่รับ นั่นกลับจะไม่สมเหตุสมผล ให้ใครไปจัดการเหมาะสมที่สุด?”

ไป๋กุ้ยเหริน “ตามแต่ท่านเห็นสมควรเลยค่ะ”

เหมยชิงหยากล่าว “มีข่าวท่านเก้าหรือยัง?”

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “หายตัวไปพักหนึ่งค่ะ แต่เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะเผยร่องรอยออกมา มีการใช้คนไปจัดการอะไรบางอย่างที่สถานีออกอากาศของเมืองหลวง สังหารคนไปจำนวนหนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้อยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ยค่ะ ไปเป็นผู้ช่วยให้กับผู้หญิงที่ชื่อจูลี่ที่เป็นผู้อำนวยการของปู๋เชวี่ยวิดีโอ หรือก็คือคนที่ลั่วเทียนเหอเรียกไปช่วยก่อตั้งปู๋เชวี่ยวิดีโอขึ้นมาคนนั้นนั่นแหละค่ะ”

เหมยชิงหยาค่อนข้างประหลาดใจ “หอการค้าตระกูลฉินอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ย เขาก็ไปที่เมืองปู๋เชวี่ยเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ? ไปเป็นผู้ช่วย หมายความว่ายังไง?”

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ไม่ทราบค่ะ ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่เขาอยู่ใกล้สุด ให้ติดต่อเขาไหมคะ?”

เหมยชิงหยากล่าว “แล้วท่านสิบสามล่ะ? ยังไม่พบร่องรอยเหรอ?”

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ไม่พบร่องรอยเลยค่ะ ท่านก็รู้ว่านี่คะว่าจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ลงมือโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก คนที่คิดจะติดตามหรือเข้าใกล้เขาล้วนแต่ไม่มีใครรอดชีวิต ตายหมดทุกคน ท่านยังคิดเรื่องเขาอยู่อีกหรือคะ? บางทีเขาอาจจะไปแล้วจริงๆ ก็ได้นะคะ”

เหมยชิงหยากล่าว “ติดต่อคนของเขา ถามว่ารับงานไหม ลองดูปฏิกิริยาว่าเป็นยังไง”

………………………………………………………

[1]กุ้ยเหริน หมายถึง ผู้สูงศักดิ์

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน