ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 182 ศิษย์ของหลงซืออวี่

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 182 ศิษย์ของหลงซืออวี่

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “แล้วถ้าทางนั้นไม่รับล่ะคะ?”

เหมยชิงหยา “อย่างนั้นก็ติดต่อทางท่านเก้าแล้วกัน ดูว่าเขาจะว่ายังไง…คิดไม่ถึงว่าจะไปเป็นผู้ช่วยอะไรนั่น หอการค้าตระกูลฉินเอาชนะการประมูลได้ เขาเองก็ไปที่เมืองปู๋เชวี่ยเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?”

ไป๋กุ้ยเหริน “แล้วถ้าทางท่านเก้าก็ไม่รับเหมือนกันล่ะคะ?”

เหมยชิงหยา “อย่างนั้นก็ติดต่อท่านห้าแล้วกัน”

ไป๋กุ้ยเหริน “แล้วถ้าท่านห้าก็ไม่รับเหมือนกันล่ะคะ?”

ภายในหอพลันเงียบสงัดลงทันที แสงและเงาที่ลอดผ่านผ้าแพรที่พริ้วไหวไปตามสายลมเข้ามาด้านในได้แต่งเติมความรู้สึกแปลกประหลาดให้ภายในหอขึ้นมาหลายส่วน

เหมยชิงหยาจ้องมองเธออย่างเงียบๆ

เธอยังคงยิ้มแยมมองดูเขา

หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เหมยชิงหยาสะบัดแส้ปัดฝุ่นที่อยู่ในมือทีหนึ่ง เปลี่ยนไปพาดไว้บนแขนอีกข้างหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “นี่เธอกำลังร้องเพลงอยู่เหรอไง?”

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ไม่ชอบฟังคำพูดที่ไม่ถูกใจหรือคะ? แต่ที่ฉันพูดมามันเป็นความจริงนะคะ ศึกในเมืองหลวงทำให้ทุกคนเสียหายอย่างหนัก มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่รับงาน อีกเดี๋ยวท่านก็ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้เจอท่านอีก ฉันพูดให้ชัดเจนไว้ก่อน ข้อสงสัยก็ถามให้ชัดไว้ก่อน จะได้จัดการได้ง่ายไม่ใช่เหรอคะ?”

เหมยชิงหยากล่าว “ก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าไม่มีใครรับ อย่างนั้นก็แล้วแต่พวกเขา แต่ตามหลักแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ เทพมหาวิญญาณของสภาเซียนถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว พวกเขาไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉยๆ แน่ ไม่อย่างนั้นต่อไปจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขา”

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ทราบแล้วค่ะ ยังมีอะไรอีกหรือเปล่าคะ?”

เหมยชิงหยาว่า “ไม่มีแล้ว”

ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ให้ฉันนั่งคุยเป็นเพื่อนท่านต่ออีกหน่อย หรือว่าให้ฉันไปดีคะ?”

เหมยชิงหยาส่ายศีรษะ

ไป๋กุ้ยเหรินว่า “คนที่เข้ามาใหม่สองสามคนรูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย ให้ฉันเลือกมาอยู่เป็นเพื่อนท่านสักคนไหมคะ?”

เหมยชิงหยา “ไม่สนใจ”

“เฮ้อ! ท่านนี่ก็น่าเบื่อจริงๆ เลย” ไป๋กุ้ยเหรินยิ้มพลางถอนใจ ได้แต่ต้องลุกขึ้นมา ยามที่ร่างกายที่อ้วนเผละพยายามจะลุกขึ้นมา ดูแล้วยากลำบากเป็นอย่างมาก พอลุกขึ้นมายืนแล้วก็โค้งคำนับเล็กน้อย จากนั้นถึงจะเดินออกไป

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินลงไปด้านล่าง เหมยชิงหยาเองก็ลุกขึ้นยืน เดินออกไปด้านนอก มายืนอยู่ตรงริมราวกั้น ทอดตามองออกไป

…..

“ครบแล้ว ครบสามสิบกระบวนท่าแล้ว!”

หลัวคังอันหอบหายใจพิงกำแพงพลางส่งเสียงตะโกนออกมาอย่างร้อนใจ ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผลอีกครั้ง ทั่วทั้งร่างอาบชโลมไปด้วยโลหิต

ไหปลาร้าถูกทวนในมือหลินยวนแทงทะลุ ร่างของเขาถูกปักติดอยู่บนกำแพง

หลินยวนถอนทวนออก ทวนที่อยู่ในมือหายไป เก็บกลับเข้าไปในแหวนสารพัดนึก

หลัวคังอันใช้มือข้างหนึ่งกุมไหปลาร้า มืออีกข้างหนึ่งกุมทวนยันร่างเอาไว้ พิงกำแพงพลางแหงนหน้าถอนหายใจ แล้วก็ไม่กล้าอืดอาดยืดยาด เก็บทวนแล้วฝืนกัดฟันเปลี่ยนเสื้อผ้า

ในช่วงหลายวันมานี้ เขาซื้อเสื้อผ้าใหม่บ่อยอย่างชนิดที่ว่าไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต แล้วก็ไม่เคยกินยาเซียนเยอะขนาดนี้มาก่อน เรียกได้ว่าเงินที่เอาไว้ใช้กินใช้เที่ยวเมื่อก่อนนี้ล้วนแต่เอามาใช้กับเรื่องนี้ทั้งหมด ถ้าหากยังมีเงินเดือนเท่าเมื่อก่อนก็คงไม่พอ เพราะยาเซียนมีราคาแพงอย่างมาก โชคดีที่เงินเดือนที่เขาได้จากหอการค้าตระกูลฉินในตอนนี้เพียงพอให้เขาใช้

เมื่อเห็นเขายังยืนอยู่ได้ ไม่ได้คุกเข่าลงไปหรือว่านั่งแผ่ลงไปเหมือนที่ผ่านมา หลินยวนจึงเหลือบมองดูเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของเขา พบว่ารอยฉีกขาดบนเสื้อผ้าก็ลดน้อยลงเช่นกัน หลินยวนจึงกล่าวว่า “ความจริงพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของแกไม่ได้แย่เลย ยิ่งไปกว่านั้นยังยอดเยี่ยมอย่างมากด้วย เหนือกว่าคนส่วนใหญ่ ดูแล้วนี่คงเป็นเหตุผลที่ตอนนั้นแกสอบเข้าหลิงซานได้ ไม่อย่างนั้นทำไมคนส่วนใหญ่อยากสอบเข้าก็สอบเข้าไม่ได้?”

หลัวคังอันด้านหนึ่งก็ฝืนกัดฟันทนความเจ็บปวดพลางเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกด้านหนึ่งก็เอ่ยอย่างกระอักอ่วนว่า “น้องหลิน ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว ตัวฉันเป็นยังไงมีหรือที่ฉันจะไม่รู้ นี่นายกำลังต้อนเป็ดขึ้นคอนอยู่ ไม่ต้องปลอบใจฉันหรอก”

หลินยวนกล่าว “แกมีค่าพอที่ฉันจะให้เกียรติเหรอ?”

“เอ่อ…” หลัวคังอันหมดคำพูด แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะมาพูดอะไรยกยออะไรคนอื่นจริงๆ จึงถอนใจแล้วกล่าวว่า “อย่างนั้นขอบคุณที่นายชมฉันแล้วกัน”

ทำไมคำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนจะไม่ใช่คำขอบคุณ คล้ายมีความรู้สึกต่อว่าแฝงเอาไว้อยู่ แต่หลินยวนไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ เขาอนุญาตให้มีอารมณ์ได้ แต่ไม่อนุญาตให้เขวออกนอกทาง ยังคงต้องทำตามที่ฉันพูด

อีกฝ่ายจะพูดก็พูดไป หลินยวนยังคงเอ่ยเตือนว่า “ได้แผลเหมือนเดิม แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนอย่างก่อนหน้าแล้วใช่ไหม?”

หลัวคังอันผงะไป มองดูบาดแผลที่เต็มไปด้วยคราบเลือดบนร่าง อีกฝ่ายว่ามาแบบนี้ เขาจึงลองยกแขนดู ขยับร่างกายดู ก่อนจะส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมาด้วยความประหลาดใจ “ทำเป็นเล่นไป เหมือนจะไม่เจ็บแบบเมื่อก่อนแล้ว บนทวนนายทายาอะไรเอาไว้หรือเปล่า?”

หลินยวนไม่ได้ตอบคำถามของเขา หากแต่ถามต่อไปว่า “แล้วก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนอย่างตอนแรกแล้วใช่เปล่า?”

พอเอ่ยมาเช่นนี้ หลัวคังอันเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คล้ายเจอคำตอบของคำถามบางอย่างก่อนหน้านี้แล้ว

หลินยวนกล่าว “คนเราล้วนแต่มีความเกียจคร้านที่ไม่อยากเผชิญกับความยากลำบาก มันก็เหมือนกับร่างกายของแกที่ยังมีความหวาดกลัวอยู่ ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของคนเราอย่างหนึ่ง ในตอนที่แกได้รับบาดเจ็บบ่อยๆ แล้วก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมัน แกก็จะสามารถทำความเคยชินกับความเจ็บปวดนั้นได้ แล้วก็สามารถเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวและความลังเลอย่างเยือกเย็นได้เช่นกัน ไม่ได้เป็นเพราะฉันใช้ยาอะไรเลย ก็เหมือนอย่างที่ตอนนี้แกยังมีใจมานั่งคุยกับฉันได้ รู้สึกเจ็บน้อยลงแล้วใช่ไหมล่ะ? ไม่ต้องหลบหลีก แกต้องเคยชินกับมันซะ! แกลองดูเสื้อผ้าของแกสิ รอยฉีกขาดก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัดแล้วใช่หรือเปล่า?”

หลัวคังอันก้มมองดูบนร่างกายตัวเองอีกครั้ง แล้วก็ดูเสื้อผ้าที่ถอดอยู่บนพื้น พออีกฝ่ายพูดมาแบบนี้ เขาก็พบว่ารอยแผลน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก ตอนแรกสุดเสื้อผ้าของเขาเรียกได้ว่าขาดรุ่งริ่งจริงๆ ไม่ได้ต่างอะไรกับขอทานเลย

หลินยวนกล่าว “ฉันยังคงเป็นฉัน ยังคงโจมตีแกด้วยพลังเท่าเดิม แกเองก็ยังเป็นแก แต่ทำไมบาดแผลของแกถึงน้อยลงล่ะ? เพราะความแข็งแกร่งของแกเกิดความเปลี่ยนแปลงยังไงล่ะ พวกเราเพิ่งจะสู้กันไม่กี่ครั้ง แต่แกกลับมีความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ นี่ก็คือพรสวรรค์ของแก”

นี่ชมจริงๆ อย่างนั้นเหรอ หลัวคังอันกลับรู้สึกเขินขึ้นมา เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “น้องหลิน ฉันบอกนายตามตรงแล้วกัน ฉันเองก็โดนนายเล่นงานจนกลัวนั่นแหละ ตอนที่สู้กันเลยใช้ลูกไม้ไปนิดหน่อย”

หลินยวนแล้ว “การสู้กันซึ่งๆ หน้า ไม่มีคำว่าลูกไม้อะไรทั้งนั้น เป้าหมายสูงสุดของการต่อสู้คือการล้มอีกฝ่ายและป้องกันตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายแข่งกันในการต่อสู้ก็คือการดูว่าใครใช้ลูกไม้ได้เก่งกว่ากัน เพื่อที่จะคว้าโอกาสในการล้มอีกฝ่ายเอาไว้ แข่งกันว่าใครสามารถหลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่ายได้รวดเร็วกว่ากัน เมื่อรวมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้วมันก็คือทักษะ แกสามารถเข้าใจและทำได้เร็วขนาดนี้ นี่ก็คือพรสวรรค์ของแก ไม่มีอะไรต้องถ่อมตัว”

หลัวคังอันกะพริบตาปริบๆ ภายในดวงตาทั้งสองข้างฉายแววตื่นเต้นออกมา จึงยิ้มแห้งพลางเอ่ยถามว่า “ความหมายของน้องหลินคือฉันก็มีพรสวรรค์จะเป็นยอดฝีมือเหรอ?”

หลินยวนกล่าว “สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์นี้ เวลาที่พยายามมันก็คือพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่พยายาม ชาตินี้แกก็ไม่มีทางรู้ว่าตัวเองอยู่สูงหรือว่าต่ำ รู้จักแต่เพียงนอนไปวันๆ ต่อให้มีพรสวรรค์ที่ดีแค่ไหนมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหมู วิชาที่ใช้ในการฝึกฝนเป็นแค่พื้นฐาน แต่ทักษะการต่อสู้ที่ดีและใช้ได้จริง หรือพูดอีกอย่างก็คือความสามารถในการต่อสู้จริงอันยอดเยี่ยมนั้นเกิดจากการฝึกฝนและการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในการต่อสู้จริง ต่อให้คุณสมบัติและพรสวรรค์จะดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่รู้จักเอาไปใช้จริงมันก็เปล่าประโยชน์ ซึ่งนี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างมากในวิธีการต่อสู้ของเทพมหาวิญญาณในปัจจุบัน”

“แกสามารถสอบเข้าหลิงซานได้ อีกทั้งอาจารย์ของแกยังแนะนำแกให้เข้าไปอยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงได้ ดูแล้วอาจารย์ของแกคงจะต้องมองเห็นคุณสมบัติและพรสวรรค์ของแกเป็นแน่ และอาจารย์ที่สามารถแนะนำแกให้เข้าไปอยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงได้ ดูแล้วคงจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขารับแกเป็นศิษย์ได้ เห็นทีคงจะต้องเห็นพรสวรรค์บางอย่างของแกเป็นแน่”

“พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็อยากจะถามแกหน่อย อาจารย์ของแกเป็นใครกันแน่? ฉันเคยสืบเรื่องของแกตอนอยู่ที่หลิงซานมาแล้ว แต่สืบได้แค่ว่าแกเป็นนักเรียนรุ่นไหน แล้วก็ยังมีหัวหน้าอาจารย์สองสามคนที่รับผิดชอบดูแลนักเรียนในรุ่นนั้น แต่กลับไม่มีใครนึกออกว่าอาจารย์สายตรงของแกเป็นใคร การที่สามารถปิดบังเรื่องเหล่านี้ได้ แสดงว่าอาจารย์ของแกจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาที่อยู่ในหลิงซาน เขาเป็นใคร? บอกฉันมา!”

การเรียนการสอนของนักเรียนในหลิงซานนั้นเป็นแบบนี้ ทันทีที่เปิดรับนักเรียนก็จะรับนักเรียนเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หนึ่งกลุ่มถือเป็นหนึ่งรุ่น

และทางหลิงซานก็จะจัดอาจารย์กลุ่มหนึ่งให้คอยรับผิดชอบนักเรียนในรุ่นนี้ อาจารย์เหล่านี้จะสอนในสิ่งที่เปิดให้เรียนทั่วไป เมื่อเปิดให้เรียนทั่วไปก็หมายความว่านักเรียนทุกคนจะได้เรียนเหมือนกันหมด เป็นการเรียนระดับพื้นฐาน

แต่เบื้องหลังการเรียนระดับพื้นฐานยังมีสิ่งที่เรียกว่าการสอนตามพรสวรรค์อยู่ อาจารย์ระดับสูงบางส่วนของหลิงซานจะทำการตรวจสอบดูคุณสมบัติและพรสวรรค์ของนักเรียนในรุ่นนี้ เมื่อมีนักเรียนที่ตัวเองชื่นชอบและพึงพอใจ มีคนที่คิดว่าเหมาะสมที่ตนเองจะถ่ายทอดวิชาให้ อาจารย์เหล่านั้นก็จะรับนักเรียนที่มีพรสวรรค์เหล่านั้นมาเป็นลูกศิษย์สายตรงของตัวเอง

แต่มิใช่ว่านักเรียนทุกคนจะได้รับการชื่นชมจากอาจารย์ระดับสูงเหล่านั้น เพราะว่าคุณสมบัติและพรสวรรค์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน คนส่วนใหญ่จะได้เรียนเพียงวิชาที่เปิดให้เรียนทั่วไปของหลิงซาน อย่างเช่นหลินยวนที่ไม่มีอาจารย์ระดับสูงคนไหนในหลิงซานที่เล็งเห็นในความสามารถของเขาเลย

แต่แน่นอน นั่นเป็นเพราะว่าหลินยวนได้รับการถ่ายทอดวิชาจากผู้อาวุโสรุ่นก่อน ก่อนที่จะเข้าไปในหลิงซานเขาก็ได้รับคำสั่งบางอย่างมาจากผู้อาวุโสรุ่นก่อนแล้ว

และการที่หลัวคังอันถูกแนะนำให้เข้าไปอยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่โชคดีในหมู่นักเรียน ถูกอาจารย์ระดับสูงของหลิงซานมองเห็นพรสวรรค์บางอย่างที่อยู่ในตัว

หลินยวนไม่สามารถปล่อยให้ประวัติของหลัวคังอันคลุมเครือไปเรื่อยๆ โดยไม่สืบให้รู้แน่ชัดได้ เขาได้ให้ลู่หงเยียนไปสืบเรื่องนี้แล้ว แต่สืบมาจนถึงตอนนี้ เธอกลับสืบไม่ได้อะไร นี่มันค่อนข้างผิดปกติ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สะดวกที่จะเร่งสืบจนเป็นที่ผิดสังเกตด้วย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังทำการสืบมาเรื่อยๆ

เดิมทีคิดจะสืบประวัติเขาอย่างเงียบๆ ด้วยกลัวว่าจะไปแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่วันนี้ เมื่อวิเคราะห์ดูจากสถานการณ์บางอย่างแล้ว เขาจึงถามออกไปตรงๆ เพราะอยากจะดูว่าหลัวคังอันจะพูดความจริงหรือไม่

หลัวคังอันคล้ายลืมความเจ็บปวดไป นิ่งเงียบไปเล็กน้อย ไม่ยอมพูดอะไรออกมา บนสีหน้ามีความรู้สึกเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นมาหลายส่วน

หลินยวนกล่าว “ฉันจำว่าตอนนั้นแกเคยบอกว่าอาจารย์ของแกตายไปแล้ว เมื่อคำนวณจากช่วงเวลาตอนที่แกเป็นนักเรียนอยู่ในหลิงซานแล้ว คนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่แกว่ามานั้นมีอยู่แค่ไม่กี่คน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่สามารถแนะนำแกเข้าไปในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงได้ อย่างนั้นคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไขนี้ก็มีแค่เพียงคนเดียว อย่าบอกนะว่าอาจารย์ของแกคืออาจารย์หลงที่เป็นหนึ่งในสามอธิการบดีของหลิงซาน?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของหลัวคังอันก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา ผ่อนคลายการควบคุมพลังโดยไม่รู้ตัว ปากแผลเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนจะไม่สามารถปิดบังอะไรน้องหลินได้เลยจริงๆ ใช่ อาจารย์ของฉันคืออาจารย์หลงที่เป็นหนึ่งในสามอธิการบดีของหลิงซาน!”

ถึงแม้จะนึกสงสัยอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินความจริง หลินยวนก็ยังรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “อาจารย์หลงคืออาจารย์ของแกจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?”

เพราะว่าหลงซืออวี่คือหนึ่งในผู้ก่อตั้งหลิงซานขึ้นมา เขาน่าจะไม่มีทางรับลูกศิษย์ง่ายๆ เจ้าสวะนี่เป็นลูกศิษย์สายตรงของหลงซืออวี่จริงๆ หรือนี่?

บอกตามตรง ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่กล้าเชื่อ คิดในใจว่ามันจะเป็นไปได้หรือ? แต่ว่าข้อมูลภายในหลิงซานของคนระดับหลงซืออวี่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครนึกจะไปสืบก็สืบได้ตามใจชอบ ข้อมูลของเขาถือเป็นความลับในระดับหนึ่ง!

หลัวคังอันพยักหน้า ทำการยืนยันออกมาอีกครั้ง

หลินยวนกล่าว “ทำไมในหลิงซานถึงไม่มีใครรู้ว่าแกเป็นนักเรียนของเขาเลย?”

หลัวคังอันยิ้มเจื่อน เอ่ยว่า “ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าสถานะภายในหลิงซานของอาจารย์เป็นอย่างไร ท่านบอกว่าฉันชอบคุยโวโอ้อวด ไม่อยากให้ฉันเอาชื่อท่านไปเที่ยวหาประโยชน์อะไร เลยเตือนฉันเอาไว้ว่าถ้ากล้าเอาชื่อของท่านไปโอ้อวดแบบนั้น ท่านจะไล่ฉันออกจากหลิงซาน แต่ก็โชคดีที่อาจารย์คอยดูแลฉันอย่างเงียบๆ ไม่อย่างนั้นฉันคงถูกพวกคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ฉันไปล่วงเกินเอาไว้เหล่านั้นจัดการไปนานแล้ว”

“ตอนที่เรียนจบ ความจริงอาจารย์คิดว่าสภาวะของฉันยังต่ำต้อย อยากจะให้ฉันบำเพ็ญเพียรอยู่ในหลิงซานต่อ แต่ท่านมองออกว่าฉันไม่อยากอยู่ที่หลิงซานแล้ว สุดท้ายจึงถามฉันว่าอยากไปไหน เรื่องที่ไปอยู่หน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงนั้นเป็นฉันที่อยากไปเอง อาจารย์คิดว่าฉันไม่เหมาะ ท่านคิดว่าฉันควรจะไปหาสถานที่ที่สามารถบำเพ็ญเพียรและฝึกฝนตนเองได้ แต่ฉันคิดว่าอยู่หน่วยผู้พิทักษ์เทพแล้วมันดูน่าเกรงขาม อาจารย์ท่านมีเมตตา ก็เลยช่วยสงเคราะห์ฉันตามความต้องการ แนะนำฉันเข้าไปในหน่วยผู้พิทักษ์!”

…………………………………………………………….

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน