ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 200 ลูกพี่ลูกน้องมาแล้ว

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 200 ลูกพี่ลูกน้องมาแล้ว

เมื่อเห็นท่าทีของจางเลี่ยเฉินเช่นนี้ กวนเหอเหนียงก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที “ได้ เดี่ยวฉันจัดการเรื่องนี้เอง” เธอเก็บไม้เก็บมือที่แสดงความยินดี ก่อนจะจ้องไปที่โจ๊กหม้อนั้นอีกครั้งแล้วถามว่า “ยังต้องต้มอีกนานเท่าไร ใกล้เสร็จหรือยัง?”

จางเลี่ยเฉินอ้าปากค้าง คล้ายอยากจะพูดตอกกลับไป แต่สุดท้ายก็สะกดกลั้นเอาไว้อย่างที่ยากจะเห็นได้ในเวลาปกติ

หลินยวนส่งสายตาให้ลู่หงเยียน ลู่หงเยียนเข้าใจ จึงทำเหมือนว่าช่วยจางเลี่ยเฉินสอบถาม เธอถามกวนเหอเนียงว่าลูกพี่ลูกน้องคนนั้นชื่ออะไร อายุเท่าไร เป็นคนที่ไหนทำนองนั้น

ขณะที่ผู้หญิงสองคนคุยกันไม่หยุด ในที่สุดโจ๊กก็ต้มเสร็จเรียบร้อย หลินยวนลุกขึ้นไปหยิบช้อนและชามมา ตักโจ๊กใส่ชามแล้วส่งให้ทุกคน

ฟ้าด้านนอกมืดมากแล้ว เตาไฟที่ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงก็ดับลงแล้วเช่นกัน กวนเหอเนียงกลับไปแล้ว

ลู่หงเยียนช่วยจางเลี่ยเฉินล้างหม้อล้างชามเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะกลับห้องไป หลังจากปิดประตูแล้วก็เดินเข้าไปใกล้หลินยวน เอ่ยถามว่า “พระองค์คิดว่ามีปัญหาหรือเพคะ?”

เธอรู้ว่าหลินยวนไม่ใช่คนที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ในตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยเกลี้ยกล่อมจางเลี่ยเฉิน เธอก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว

หลินยวนนั่งบนเก้าอี้ ทำอะไรบางอย่างกับกำไลข้อมือที่อยู่บนข้อมือ “ฉันกำลังกังวลว่าอาจมีใครพุ่งเป้ามาที่พวกเรา จู่ๆ ก็มีคนมาหาถึงที่ เธอไม่คิดว่ามันน่าสงสัยเหรอ?

ลู่หงเยียนพยักหน้า “ใช่เพคะ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ถ้าเราไม่รู้อะไรอยู่ก่อนแล้ว เราก็คงจะไม่คิดมากอะไร กลับจะคิดว่าเถ้าแก่เนี้ยหวังดี แต่ตอนนี้การที่อีกฝ่ายเข้ามาแบบนี้มันก็น่าสงสัยจริงๆ แล้วอีกอย่าง เถ้าแก่เนี่ยคนนั้น พระองค์รู้จักกับเธอตั้งแต่เล็ก ถ้าลูกพี่ลูกน้องของเธอมีปัญหาจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นบางทีเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นอาจจะมีปัญหาเหมือนกันก็ได้เพคะ”

หลินยวนเอ่ยว่า “ตอนที่ฉันไม่อยู่ เธอต้องระวังตัวให้มากหน่อย”

“เพคะ” ลู่หงเยียนแสดงออกว่ารับทราบ จากนั้นก็หันไปทำอะไรอย่างอื่นต่อ

เธอดึงเอาภาพของคนสองคนที่อยู่ในร้านขายเสื้อผ้าออกมา หยิบโทรศัพท์สำรองออกมาเครื่องหนึ่ง กดหมายเลขหมายเลขหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนเสียงแล้วเอ่ยว่า “นายยังอยู่ในเมืองหมอกหรือเปล่า? ดี เดี๋ยวฉันจะส่งรูปไปให้นายสองรูป มีคนสองคนที่อาจเป็นจอมยุทธ์พเนจร บางทีอาจจะเคยแขวนชื่อไว้ที่เมืองหมอก นายลองไปตรวจสอบดูหน่อย ดูว่ามีข้อมูลของทั้งสองคนหรือเปล่า รีบตอบกลับมาให้เร็วที่สุด” กล่าวจบก็วางสายไป จากนั้นส่งรูปภาพไปสองรูป

กระทั่งได้รับข้อความยืนยันว่าได้รับรูปภาพแล้ว เธอจึงวางสายแล้วไปอาบน้ำ

หลินยวนไม่ได้ถามลู่หงเยียนว่าโทรหาใคร เขาเชื่อว่าถ้าหากเธอโทรหาบุคคลดังกล่าวโดยตรงได้ อย่างนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร

ส่วนอีกฝ่ายก็ทำการตรวจสอบได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลากลางดึก ลู่หงเยียนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ถูกรบกวนด้วยเสียงโทรศัพท์ของเธอ

เธอลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบคว้าโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงขึ้นมา ชำเลืองมองหลินยวนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่เช่นกัน ด้วยกลัวว่าจะไปรบกวนเขา

ไม่รู้ว่าเธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่พอได้เจอหลินยวนครั้งนี้ เธอรู้สึกว่าหลินยวนขยันมากขึ้นกว่าเดิม เธอพบว่าขอเพียงมีเวลาว่าง หลินยวนก็จะทำการบำเพ็ญเพียรทันที

เธอมองดูสายที่เรียกเข้ามา รับสายและแนบโทรศัพท์ไว้ที่หู ก่อนจะเปลี่ยนเสียงแล้วกล่าวว่า “ฉันเอง โอ้ ว่ามา… อืม… อืม… เหยียนฝูกับเซี่ยงเต๋อเฉิง แน่ใจใช่ไหม? ได้ เข้าใจแล้ว ไม่รบกวนแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว”

ขณะที่เธอเพิ่งจะวางสายไป หลินยวนที่หลับตาอยู่ก็พูดขึ้นว่า “ได้เรื่องแล้วเหรอ?”

ลู่หงเยียนคลานเข่าเข้าไปหาเขา ก่อนจะนั่งพับเพียบแล้วเอ่ยว่า “ใช่เพคะ ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์พเนจรจริงๆ ต่างแขวนชื่อไว้ที่เมืองหมอก คนที่ดูเย็นชาชื่อเหยียนฝู ส่วนอีกคนชื่อเซี่ยงเต๋อเฉิง ไม่ถือว่ามีอันดับอะไรในทำเนียบจอมยุทธ์พเนจร แค่เคยสาบานและแขวนชื่อเอาไว้เท่านั้นเพคะ”

หลินยวนเก็บพลังแล้วลืมตาขึ้นมา “ประวัติเป็นยังไงบ้าง?”

ลู่หงเยียนล้มตัวนอนตะแคง วางศีรษะไว้บนตักของเขา “ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเพคะ เติบโตขึ้นมาจากการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเพคะ”

หลินยวนถาม “มีของที่ขายอยู่ที่โรงจอมยุทธ์เยอะไหม?”

ลู่หงเยียนตอบว่า “ไม่มีบันทึกการขายเพคะ”

เมืองหมอกที่ว่านี้ ความจริงแล้วเป็นตลาดมืดของดินแดนเซียน บางคนจะนำเอาสินค้าผิดกฎหมายที่ไม่รู้เอามาได้อย่างไรมาขายที่เมืองหมอก แล้วก็มีบางคนที่ไปซื้อของผิดกฎหมายบางอย่าง อย่างเช่นของที่ลักลอบนำเข้ามาจากโลกมนุษย์

ส่วนการสาบานแขวนชื่อเอาไว้ที่โรงจอมยุทธ์พเนจรที่ว่า พูดอีกอย่างก็คือหากคุณต้องการกลายเป็นจอมยุทธ์พเนจร หากคุณต้องการจะใช้ชื่อจอมยุทธ์ คุณก็ต้องยอมรับกฎเกณฑ์บางอย่าง ไม่อาจทำเรื่องชั่วร้ายได้แม้แต่นิดเดียว หลังจากสาบานแขวนชื่อไปแล้ว คุณก็จะกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในทำเนียบจอมยุทธ์พเนจร ต่อไปของที่คุณเอามาขายก็สามารถเอาไปขายที่โรงจอมยุทธ์พเนจรได้เลย โรงจอมยุทธ์พเนจรจะให้ราคามิตรภาพกับคุณ ทั้งสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้ซื้อ แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าการซื้อขายโดยที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของผู้ซื้อจะทำให้เกิดปัญหาอะไรในภายหลัง

แต่การจะกลายเป็นจอมยุทธ์พเนจรไม่ใช่แค่ว่าสาบานแขวนชื่อแล้วจะจบ คุณต้องเอาประวัติทั้งหมดของคุณให้กับทางโรงจอมยุทธ์พเนจรทำการตรวจสอบด้วย ทันทีที่มีการตรวจสอบพบว่าของที่นำออกไปขายที่โรงจอมยุทธ์พเนจรนั้นได้มาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง หรือถูกทางโรงจอมยุทธ์พเนจรพบว่าไปทำเรื่องอะไรที่ผิดกฎของจอมยุทธ์พเนจรมา ทางโรงจอมยุทธ์พเนจรจะรวมกำลังกันตามไล่ล่าสังหารคุณทันที

ส่วนข้อมูลที่ทิ้งไว้ให้ทางโรงจอมยุทธ์พเนจรตรวจสอบในตอนที่ทำการสาบานแขวนชื่อก็มักจะถูกผู้ไล่ล่าสังหารนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างปัญหา

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่ทำการปลอมแปลงข้อมูลขึ้นมาเช่นกัน อย่างนั้นก็ต้องมาดูกันว่าคุณจะสามารถหลอกทางโรงจอมยุทธ์พเนจรได้หรือไม่

หลินยวนฟังจบก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “สองคนนี้มันมือสะอาดจริงๆ หรือว่าไร้ความสามารถ หรือว่าแอบซ่อนความสามารถเอาไว้ได้อย่างมิดชิดกันแน่?”

ลู่หงเยียนเอามือข้างหนึ่งไปวางไว้บนเข่าของเขา ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายได้เพคะ ท่านอ๋องเห็นปลาใหญ่อยู่ในน้ำลึกมาจนชิน เจอใครก็อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคาม เดี๋ยวเรื่องนี้หม่อมฉันจัดการเองเพคะ หม่อมฉันจะหาเวลาไปทดสอบพวกเขาดูหน่อย ถ้าเหมาะสมล่ะก็ พวกเราอาจใช้งานพวกเขาได้เพคะ”

……

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากหลินยวนออกไปทำงานได้ไม่นาน กวนเหอเหนียงก็มาที่โรงอีหลิวอีกครั้ง อีกทั้งยังพาลูกพี่ลูกน้องที่ชื่ออวี๋สุ่ยชิงคนนั้นมาด้วย เรียกได้ว่ารวดเร็วเป็นอย่างมาก เพิ่งพูดถึงเมื่อวานวันนี้ก็พามาแล้ว ทำเอาลู่หงเยียนที่กำลังจะออกไปข้างนอกจำต้องอยู่ดูสถานการณ์ก่อน

ก็เหมือนอย่างที่กวนเหอเหนียงว่ามา หน้าตานั้นพอใช้ได้ทีเดียว ร่างกายไม่เล็กไม่ใหญ่ ใบหน้าสะอาดสะอ้าน มีริ้วรอยเล็กน้อย ดูอายุน้อยกว่ากวนเหอเหนียงไม่น้อย เดินตามหลังกวนเหอเหนียงด้วยท่าทีประหม่า น้ำเสียงเวลาพูดก็ฟังดูอ่อนโยนแผ่วเบา ดูค่อนข้างเคอะเขินไม่เป็นธรรมชาติ

จางเลี่ยเฉินที่ได้เจอหน้าก็เคอะเขินเล็กน้อยด้วยเช่นกัน ด้ามพัดที่อยู่ในมือคอยเกาเอวด้านหลังอยู่เป็นระยะ

ว่ากันตามตรงแล้ว หน้าตาจางเลี่ยเฉินเองก็ไม่ได้ถือว่าดูแย่เมื่อเทียบกับบรรดาผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกัน

หลังจากนั่งลงดื่มชาไปได้ครึ่งถ้วย เมื่อเห็นทั้งสองคนนั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร กวนเหอเนียงจึงทนไม่ไหว ถามว่า “พวกเธอสองคนเป็นอะไรกันเนี่ย คุยกันสิ!”

ใบหน้าแก่ชราของจางเลี่ยเฉินดูอึดอัดอย่างมาก คอยเหลือบมองดูท่าทีของลู่หงเยียนอยู่เป็นระยะ

อวี๋สุ่ยชิงกลับเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ทุกอย่างแล้วแต่พี่เลย”

กวนเหอเหนียงกดมือลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ อย่างนั้นก็ตกลงกันตามนี้ สุ่ยชิง เธอก็พักอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน ลองทำความรู้จักกันดู ถ้าคิดว่าเหมาะก็อยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ได้ก็แยกทางกัน” กล่าวจบก็เตรียมจะเดินออกไป

จางเลี่ยเฉินมือไม้ปั่นป่วนขึ้นมาทันที ลู่หงเยียนคอยสังเกตดูปฏิกิริยาของแต่ละคนอย่างเงียบๆ

“พี่…” อวี๋สุ่ยชิงยืนขึ้นด้วยความประหม่าพลางตะโกนเรียก ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทางคล้ายกำลังถามว่าพี่จะทิ้งฉันเอาไว้แบบนี้เลยเนี่ยนะ?

กวนเหอเนียงหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีประสบการณ์สักหน่อย จะอายทำไม? เธอเคยแต่งงานมาแล้ว จะแต่งอีกก็ไม่ได้ นี่ก็เป็นแค่การหาเพื่อนเท่านั้น แค่หาเพื่อนสักคนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจ ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง ไม่มีอะไรต้องวุ่นวาย เอาตามนี้แหละ เออใช่ วันนี้ไม่ต้องไปช่วยงานที่ร้านเหล้านะ ทำความคุ้นเคยอยู่ที่นี่ไป พรุ่งนี้ค่อยไปเริ่มช่วยงานฉันที่ร้าน”

จากนั้นก็หันไปหาจางเลี่ยเฉินพลางกล่าวว่า “ตาจางขี้เหนียว ฝากน้องฉันด้วยนะ ดีกับเธอหน่อยล่ะ อย่าขี้เหนียวเกินไปนัก หงเยียน ที่ร้านฉันยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีก ฉันไปก่อนล่ะ” เธอโบกมือทักทายลู่หงเยียนเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดกระโปรงแล้วเดินจากไป

ลู่หงเยียนรีบลุกขึ้นไปส่งเธอ หลังส่งเธอออกไปจากประตูใหญ่แล้วถึงจะกลับเข้ามาในบ้าน เห็นชายหญิงนั่งหันหน้าเข้าหากัน คนหนึ่งมองไปนอกบ้าน คนหนึ่งก้มหน้า ต่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

“เอ่อ ลุงเฉิน…” ลู่หงเยียนพยักพเยิดหน้าไปทางอวี๋สุ่ยชิงเพื่อบอกว่าจะเอายังไงดี?

จางเลี่ยเฉินเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “เดี๋ยวเธอไปเก็บกวาดห้องทางซ้ายมือห้องนั้นหน่อยแล้วกัน ฉันจะรอรับลูกค้าในร้านหน่อย” เขาเองก็ลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกไปเช่นเดียวกัน

ลู่หงเยียนรินชาให้กับอวี๋สุ่ยชิงอีกครั้ง หลังพูดอะไรกับอีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วก็ลุกไปเก็บกวาดห้องที่อยู่ทางซ้ายมือของโถงรับแขก

จากนั้นไม่นาน อวี๋สุ่ยชิงก็ตามมา ชิงลงมือทำงานก่อนแล้วถึงจะเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “คุณหงเยียนคะ ไม่ต้องยุ่งยากหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการเองได้ค่ะ”

ลู่หงเยียนย่อมต้องบอกว่าไม่เป็นไร แต่อีกฝ่ายดึงดันจะแย่งทำงานให้ได้ เธอจึงได้แต่ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายทำไป จากนั้นเธอชวนอีกฝ่ายพูดคุย “น้าอวี๋คะ โรงอีหลิวนี่พออยู่ได้ไหมคะ?”

อวี๋สุ่ยชิงส่งเสียง ‘อื้อ’ กลับมาคำหนึ่ง “อยู่ในเมืองแล้วก็มีสวนด้วย ดีมากเลยล่ะ”

ทั้งสองต่างเป็นผู้หญิง หลังพูดคุยกันไปได้พักหนึ่งก็นับว่าค่อยๆ คุ้นเคยกันขึ้นมา ระหว่างที่พูดคุยกันอวี๋สุ่ยชิงก็ดูผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย ลู่หงเยียนเริ่มพูดหยอกล้อเพื่อให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมา บอกว่าอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เดี๋ยวน้าก็คงไปอยู่ห้องเดียวกับลุงเฉินแล้วล่ะ

ขณะที่หัวเราะคิกคักพูดคุยกัน ลู่หงเยียนฉวยโอกาสทำอะไรบางอย่างตอนที่อวี๋สุ่ยชิงไม่ทันระวัง จู่ๆ ของตกแต่งชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นไม้ก็ตกลงมา ดิ่งลงมาตรงหัวของอวี๋สุ่ยชิง ลู่หงเยียนตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบดึงเธอออกมาพร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับของที่ตกลงมาเอาไว้

ลู่หงเยียนฉวยโอกาสนี้ถ่ายพลังเข้าไปในร่างของอวี๋สุ่ยชิงเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบดูว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเหมือนอย่างที่กวนเหอเหนียงว่ามาจริงๆ หรือเปล่า

ผลปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อวี๋สุ่ยชิงคนนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร

ภายในร้านขายยา จางเลี่ยเฉินที่นอนโบกพัดอยู่บนเก้าอี้ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย สุดท้ายก็นอนไม่ได้ ลุกขึ้นไปสูดอากาศตรงหน้าประตู พลางแหงนมองท้องฟ้าอย่างเหนื่อยใจเป็นระยะ เขายืนกลัดกลุ้มใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยพึมพำกับตัวเองขึ้นมาว่า “ไอเด็กซื่อบื้อสองคนนี้สร้างปัญหาให้ฉันอยู่เรื่อยเลยจริงๆ…”

ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา เขาหันกลับไปมอง เห็นลู่หงเยียนเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยว่า “ลุงเฉิน เรามีแขกมาพัก เดี๋ยวฉันจะไปซื้อกับข้าวมาหน่อย แต่ฉันทำอาหารไม่ได้เรื่อง สงสัยคงต้องรบกวนให้ลุงแสดงฝีมือหน่อยนะ”

จางเลี่ยเฉินส่งเสียงเหอะออกมา “เธอนี่มีมารยาทจริงๆ เลย”

ลู่หงเยียนถอนใจ “ไม่ใช่ว่าฉันมีมารยาท พวกเราไม่กินไม่ดื่มไม่เป็นไร แต่เธอไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อ เดี๋ยวได้หิวจนตาลายแน่”

จางเลี่ยเฉินตอบอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “ไม่ต้องทำ เธอไปที่ร้านเหล้า ‘ละมุนลิ้น’ แล้วเอาอาหารที่ทำไว้เรียบร้อยแล้วมา น้องสาวเขามาทั้งที เลี้ยงข้าวสักมือมันก็ปกติไม่ใช่เหรอ?”

ลู่หงเยียนพูดไม่ออก พบว่าที่คนอื่นเรียกเขาว่าตาแก่ขี้เหนียวนั้นไม่ผิดจริงๆ เรื่องแค่นี้ก็ยังจะประหยัดอีกเหรอ? เธอเอ่ยด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนว่า “ได้ เดี๋ยวฉันออกไปจัดการให้ค่ะ”

หลังกลับมาที่ลานบ้าน เธอก็บอกกล่าวกับอวี๋สุ่ยชิงเล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกไป

ขณะที่ขับรถผ่านหน้าร้านขายเสื้อผ้า เธอเหลือบมองดูเล็กน้อย จากนั้นขณะที่ขับรถก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาหลินยวน บอกเล่าสถานการณ์ให้ฟังเล็กน้อย บอกว่าอวี๋สุ่ยชิงเข้ามาพักในโรงอีหลิวแล้ว

หลังจากวางสายไป เธอก็เร่งความเร็วแล้วตระเวนไปในเมือง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหาร และเธอก็ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการนิดหน่อย เธอต้องหาคนมาใช้งานชั่วคราว

เธอหาที่จอดรถแล้วหายตัวเข้าไปในที่เปลี่ยว ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ได้ปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้ว

……………………………………………………………..

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน